หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 59
เฉียวเจาสั่งให้ปิงลวี่ออกไปแล้วให้อาจูช่วยนวดขมับ ถึงค่อยๆ ผ่อนคลายไปทั้งเนื้อทั้งตัว
ในที่สุดก็ออกจากเรือนได้อย่างอิสระแล้ว ต่อจากนี้นางต้องคิดหาหนทางพบกับพี่ชายสักหน
ตกลงว่าพี่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้างนะ…
ภายในห้องเงียบเชียบมาก เสียงลมหายใจแผ่วเบาทอดยาวดังลอยมาทีละน้อย
อาจูลดมือลง นางหยิบผ้าห่มผืนบางๆ ห่มลงบนร่างของเฉียวเจา แล้วจรดฝีเท้าก้าวออกจากประตูห้องไป
บางครั้งนางรู้สึกว่าคุณหนูเหนื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจากเหตุใด
อาจูยืนอยู่ใต้ซุ้มระเบียงทางเดินแหงนคอมองฟ้า
ท้องนภาในต้นฤดูร้อนมักโปร่งใสไร้เมฆหมอก ประหนึ่งว่าไม่มีความมืดหม่นใดๆ คงอยู่ได้อย่างยาวนาน
ต้นทับทิมในลานเรือนผลิดอกตูมกระจัดกระจาย ไม่แน่ว่ามันจะเบ่งบานพราวสะพรั่งเมื่อไรก็เป็นได้
อาจูยื่นสองมือออกมา แสงแดดอาบไล้ไปทั่วปลายนิ้วมือของนาง
ฉะนั้นนางพยายามทำให้ดีขึ้นอีกได้ คุณหนูจะได้เหน็ดเหนื่อยน้อยลง
ปิงลวี่แค่นเสียงฮึ นางมองค้อนอาจูวงหนึ่งแล้วหมุนกายเดินออกไป
นางจะไปติดสินบนคนครัวในเรือนครัวให้ทำขนมโก๋ดอกท้อให้คุณหนู พอคุณหนูได้กินมันแล้วจะโฉมงามปานบุปผา เทียบกับที่นางตัวดีอาจูนั่นทำบีบๆ นวดๆ ส่งเดชไม่กี่ครั้งแล้วต้องดีกว่าเป็นกองแน่
ในเรือนชิงซง ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งฟังคำรายงานของชิงอวิ๋นสาวใช้อาวุโสอย่างตั้งใจ แววตาของนางไหววูบหนึ่ง
ตอนเจ้าไปที่เรือนคุณหนูสาม นางก็แต่งกายพร้อมพรักแล้วหรือ
เจ้าค่ะ แม้แต่ปิงลวี่ก็ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์แล้ว ข้ายืนอยู่ตรงเรือนฝั่งซ้ายไม่ถึงครู่เดียวก็ออกจากเรือนได้
หญิงชราพยักหน้าแล้วบอกให้ชิงอวิ๋นออกไป
ในห้องเหลือแต่ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกับหรงมามาคนสนิท
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอ้าปากกล่าว ดูทีว่าหลานเจาจะฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้ นางถึงมั่นอกมั่นใจเรื่องที่จะได้ไปวัดต้าฝูแต่แรกแล้ว
หรงมามาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม คนเป็นสตรีฉลาดสักหน่อยเป็นเรื่องดีนะเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่าจะได้เหนื่อยใจน้อยลงบ้าง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพยักหน้า หากฉลาดจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ดีโดยแท้
ถ้าเป็นแค่อวดฉลาดล่ะก็ โง่เขลาอยู่บ้างยังดีเสียกว่า ดังเช่นท่านเซียงจวินของจวนตะวันออก ไม่เคยแก้นิสัยของพวกเชื้อพระวงศ์ที่เห็นของดีก็ต้องยื้อแย่งเอามาเสียที สุดท้ายได้แต่กลายเป็นตัวตลก ซ้ำร้ายทำให้หลานสาวพลอยเดือดร้อนไปด้วย
น่าสงสารหลานเจียวนัก
ในความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง ไม่ว่าปกติหลีเจียวจะมีเล่ห์กลอุบายอะไร แต่ในงานวันประสูติของพุทธองค์ก็คงไม่กล้ากระทำเรื่องแย่งเอาหน้าอย่างโจ่งแจ้ง คราวนี้ที่เด็กสาวต้องมารับเคราะห์เพราะท่านเซียงจวินซึ่งเป็นท่านย่าของตนก่อเรื่องแท้ๆ
ในเรือนฟู่จวินของจวนตะวันออก หลีเจียวเล่าถึงความเคราะห์ร้ายที่ประสบในวัดต้าฝูจบ อู่ซื่อก็ลุกพรวดขึ้นกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง ไร้เหตุผลสิ้นดี! ข้าจะไปหาฮูหยินผู้เฒ่า…
สาวใช้คนสนิทรีบทัดทานอู่ซื่อ นายหญิง ท่านจะวู่วามไม่ได้นะเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่าจะทำถึงเพียงใดก็ยังเป็นมารดาสามีของท่าน…
อู่ซื่อโกรธจนมือไม้สั่น ในชั่วขณะนี้คนที่เยือกเย็นใจกว้างต่อหน้าบุตรสาวเป็นนิจแม้แต่น้ำเสียงยังเจือสะอื้น เป็นมารดาสามีก็ทำตามใจชอบได้กระนั้นหรือ มีคนเป็นท่านย่าอย่างนี้ที่ใดกัน นี่…นี่นางทำลายชีวิตบุตรสาวข้าแล้ว
อู่ซื่อทรุดตัวกลับลงไปนั่งบนตั่ง โอบบุตรสาวไว้แล้วเริ่มร่ำไห้
หลีเจียวไม่เคยเห็นมารดาเป็นเช่นนี้มาก่อน นางตกใจจนลืมร้องไห้ กลับช่วยพูดปลอบเป็นพัลวัน ท่านแม่ ท่านอย่าร้องไห้…ท่านย่าต้องชดเชยให้ข้าแน่ ใช่ ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ…
เมื่อคิดไปถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวัดต้าฝู สำหรับหลีเจียวแล้วเป็นดั่งฝันร้าย นางกระถดตัวซุกอกมารดาโดยไม่รู้ตัว ราวกับทำเช่นนี้แล้วจะสามารถปิดกั้นสายตาเยาะเย้ยเหยียดหยามต่างๆ นานาซึ่งนางเติบใหญ่ปานนี้ยังแล้วไม่เคยพบเห็นมาก่อนได้
เด็กโง่…
ชื่อเสียงถูกทำลายต่อหน้าเหล่าฮูหยินสูงศักดิ์ทั้งเมืองหลวงจะเอาสิ่งใดมาชดเชยเล่า อนาคตของบุตรสาวนางต้องดับวูบไปเพราะยายเฒ่าร้ายกาจผู้นั้น
ดวงตาของอู่ซื่อทอประกายวาวโรจน์ด้วยความชิงชัง สาวใช้คนสนิทเห็นแล้วเย็นยะเยือกในอก
อู่ซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาแล้วกลับมาสุขุมหนักแน่นดังเก่า นางดึงตัวหลีเจียวออกจากอกพลางกล่าวว่า เจียวเจียว ไม่ร้องไห้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรท่านย่าทำลงไปเช่นนี้ก็ด้วยคำนึงถึงเจ้า วันหน้าเจ้ายังคงต้องกตัญญูต่อท่านย่าให้มากๆ นะ
เมืองหลวงสับสนวุ่นวาย พักนี้เก็บตัวเจียวเจียวไว้กับเรือนก่อน รอผ่านไปสักสองปีให้ผู้คนลืมเลือนเรื่องนี้แล้ว ค่อยคิดวิธีสรรหาคู่ครองที่พึ่งพาได้ให้นางเป็นอันสิ้นเรื่อง ต่อให้ต้องออกเรือนไปต่างเมืองก็ไม่เป็นไร
เมื่อคิดถึงตรงนี้ อู่ซื่อก็เจ็บปวดใจระลอกหนึ่ง
บุตรสาวที่นางฟูมฟักอุ้มชูปานแก้วตาดวงใจจนเติบโต ไหนเลยจะเคยคิดว่าต้องออกเรือนไปต่างเมือง!
ล้วนเป็นเพราะยายเฒ่าร้ายกาจผู้นั้น วันหน้าต้องมีสักวันที่นางต้องชดใช้!
อื้อ ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ
เริ่มแรกท่านย่าทำด้วยความหวังดีต่อนาง หากมิใช่อู๋เหมยซือไท่สั่งให้นางเขียนอักษรต่อหน้า มีหรือจะเผยพิรุธ
นางคงลืมสายตาเยาะเย้ยของคุณหนูฮูหยินพวกนั้นไม่ลงไปตลอดชาติ ทั้งที่นางไม่เคยคิดถึงเรื่องสวมรอยแทนชัดๆ
จริงสิ ถ้ามิใช่หลีซานคัดลอกพระธรรมเล่มนั้นเพื่อความมีหน้ามีตา ก็คงไม่มีวันเกิดเรื่องในวันนี้ขึ้น
อำนาจบารมีของท่านย่านางไม่กล้าขัดขืน มารดายังสอนนางไม่ให้ตำหนิโทษท่านย่าอีก หลีเจียวซึ่งคับข้องหมองใจพลันพบที่ระบายอารมณ์ในพริบตา
หลีซานเป็นต้นเหตุผู้เดียว ตั้งแต่นางถูกล่อลวงไปแล้วกลับจวนมาก็ไม่เคยเกิดเรื่องดีๆ ขึ้น
ไฉนนางไม่ตายๆ ไปเสียที่ข้างนอกนะ!
ท่านแม่ ข้าอยากไปจวนตะวันตกเจ้าค่ะ นางจะไปคิดบัญชีกับหลีซาน เรื่องอะไรจะปล่อยให้หลีซานเหยียบศีรษะนางขึ้นไปเชิดหน้าชูตาอย่างไร้ที่สิ้นสุด
อู่ซื่อเห็นสีหน้าขึ้งเคียดของบุตรสาวก็ประจักษ์แจ้งแก่ใจ นางส่ายหน้าพลางพูด ไม่ต้องไปที่จวนตะวันตกแล้ว วันหน้าเจ้าออกจากเรือนให้น้อยลง เช่นนี้ผู้คนจึงจะค่อยๆ ลืมเรื่องในวันนี้ไปเอง
ท่านแม่ ข้าแค่อยากไปที่จวนตะวันตก…
แม่รู้ว่าเจ้าอยากไปที่นั่นเพราะอะไร แต่ว่านะเจียวเจียว เรื่องนี้ต่อว่าต่อขานผู้อื่นไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งจวนตะวันตกยังมีท่านย่าเล็กของเจ้าอยู่ วันนี้ไม่เหมือนกับวันวาน นางไม่ปล่อยให้เจ้าทำตามอำเภอใจหรอก
หากฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยังอ่อนข้อให้เกียรติจวนตะวันออกเฉกแต่ก่อน คัมภีร์พระธรรมของคุณหนูสามคงไม่ถูกส่งออกไปแล้ว
วันหน้าอยู่ในจวนตั้งใจร่ำเรียนสิ่งที่สตรีพึงเรียนรู้ รอวันหน้าเจ้าออกเรือนไป ปกครองเรือนได้ดี กตัญญูต่อมารดาสามี และให้กำเนิดบุตรชายหลายๆ คน เรื่องพวกนี้ก็ไม่นับว่ามีอะไรแล้ว
หลีเจียวหลุบตารับฟัง หากในใจกลับหนาวเหน็บไปหมด
ความหมายของท่านแม่คือหลังจากนี้ไม่ให้นางออกนอกเรือนแล้วหรือ
ในบรรดาคุณหนูจวนสกุลหลี คนที่สมควรถูกกักบริเวณคือหลีซานชัดๆ นางถูกล่อลวงไปจนเสียชื่อเสียง ก็น่าจะไล่ให้ไปอยู่ที่คฤหาสน์ชานเมืองไกลๆ ตามยถากรรม เหตุใดท้ายที่สุดกลายเป็นนางถูกกักบริเวณเล่า
เจียวเจียว เจ้าเข้าใจที่แม่พูดหรือไม่
ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ หลีเจียวไม่เงยหน้าขึ้นอยู่จนแล้วจนรอด
เมืองหลวงในวันนี้ไม่มีเสียงอึกทึกวุ่นวายดังเช่นยามปกติ บรรยากาศหนักอึ้งเคร่งเครียดมากขึ้นหลายส่วน เพราะการมาถึงของหีบศพทหารพลีชีพ
เซ่าหมิงยวนกลับถึงจวนจิ้งอันโหว ชำระกายขับไล่ความอ่อนล้าทั้งตัวไปแล้ว เขารอจนค่ำมืดไร้เสียงผู้คนถึงเรียกเซ่าเหลียงกับเซ่าจือมาถามความ
ท่านแม่ทัพ ยังต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งถึงเข้าไปพำนักในจวนกวนจวินโหวได้ขอรับ เซ่าจือรายงาน
ชายหนุ่มผงกศีรษะเบาๆ เขามองไปทางเซ่าเหลียงแล้วกล่าวด้วยสุ้มเสียงแหบพร่า แล้วทางพวกคนทรยศนั่น สืบได้เบาะแสอะไรหรือไม่
ท่านแม่ทัพ ซูลั่วเฟิงเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีญาติพี่น้องที่ใดแต่แรก ข้าไปจนทั่วหมู่บ้านที่เขาเกิดแล้วไม่พบอะไรที่เป็นประโยชน์ รู้แค่ว่าเขาเข้าไปทำมาหากินในเมืองเป่ยติ้งตอนอายุสิบสองปี ต่อมาเป็นเพราะชกต่อยเก่งก็เลยจับพลัดจับผลูเข้าไปอยู่ในกองทัพขอรับ
เช่นนี้หมายความว่าเบาะแสขาดหายไปแล้วหรือ
เซ่าเหลียงมีสีหน้าละอายใจ เขาก้มศีรษะลงเล็กน้อย
เซ่าจือทำเสียงถ่มทำลายอย่างชิงชังแล้วบริภาษด่าทอ เหตุใดเจ้าคนบัดซบนั่นต้องให้ร้ายท่านแม่ทัพเยี่ยงนี้!