หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 61
ท่านแม่ทัพ…
เซ่าหมิงยวนก้มหน้าลงเนิ่นนานกว่าจะเงยขึ้น ใบหน้าเผือดขาวยิ่งกว่าหยกเย็น เรือนสกุลเฉียวโดนไฟไหม้หรือ
ขอรับ ข่าวแพร่ออกมาในวันที่ท่านออกไปนอกเมือง เรือนสกุลเฉียวที่จยาเฟิงโดนไฟไหม้วอดวายไม่เหลือหลอแล้ว ฮ่องเต้ทรงส่งผู้แทนพระองค์ไปสืบสวนว่าเป็นฝีมือคนหรือไม่ขอรับ เซ่าจือกล่าวตอบ
ตอนนี้คุณชายเฉียว…อยู่ที่จวนเสนาบดีโค่วใช่หรือไม่
ท่านแม่ทัพเดาไม่ผิด ขณะนี้คุณชายเฉียวกับน้องสาวคนเล็กอยู่ที่จวนเสนาบดีโค่ว แต่ว่า…
พูด! เรียวปากบางของเซ่าหมิงยวนเผยอขึ้น
คนภายนอกล้วนเล่าลือกันว่าคุณชายเฉียวเสียโฉมเพราะช่วยน้องสาวขอรับ
พอเสียโฉมแล้ว นั่นมิใช่แค่ใบหน้าอัปลักษณ์แต่เพียงอย่างเดียว แต่จะหมดสิทธิ์สอบเข้ารับราชการ สำหรับบัณฑิตแล้วนี่เป็นเรื่องโหดร้ายมากที่สุด เท่ากับว่าการมุมานะบากบั่นเล่าเรียนเขียนอ่านมาอย่างยาวนานล้วนกลายเป็นสูญเปล่า ไม่มีโอกาสเป็นมัจฉาข้ามประตูมังกร* อีกแล้ว
ท่านแม่ทัพ ท่าน…หักห้ามใจ… เซ่าจือพูดปลอบอย่างระมัดระวัง
พวกเขาแจ่มแจ้งดีกว่าใครๆ ว่าท่านแม่ทัพยิงธนูสังหารฮูหยินเองกับมือแล้วต้องทนทรมานกับความรู้สึกผิดในใจมานาน บัดนี้ได้ยินข่าวร้ายเช่นนี้อีก คงต้องทุกข์ใจอย่างยิ่งยวดแน่นอน
เซ่าจือส่งสายตาไปให้เซ่าเหลียง
ไฉนเวลานี้เจ้าผีแสนรู้ในยามปกติกลายเป็นน้ำเต้าถูกเลื่อยปากทิ้ง** ไปเสียแล้ว
เซ่าเหลียงฝืนฉีกยิ้มออกมา ท่านแม่ทัพ อยากดื่มสุราหรือไม่ขอรับ ข้าเพิ่งซื้อมาสองไหจากหอชุนเฟิงที่มีชื่อเสียงโด่งดัง…
เซ่าหมิงยวนโบกมือไปมา เขาคลายยิ้มบางๆ ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าออกไปเถอะ
เซ่าจือกับเซ่าเหลียงสบตากันแล้วจำต้องออกจากห้องไปเงียบๆ
ภายในห้องว่างโล่ง เปลวเทียนไหวระริก แสงโคมสลัวลงทีละน้อย
เซ่าหมิงยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เท้าแขนหักไปแล้วเป็นเวลานาน จู่ๆ เขาก็ยกมือขึ้นปิดหน้า
เขาไม่ขยับตัวเป็นนานจวบจนทั้งห้องมืดสนิทถึงลุกขึ้นเอนกายลงนอนบนตั่ง
ยามค่ำคืนของเมืองหลวงมีชีวิตชีวากว่าในแดนเหนือเป็นอันมาก ยามนี้ได้ยินเสียงร้องของแมลงแผ่วเบาลอยมาแว่วๆ ละม้ายลำนำเพลงราตรีท่วงทำนองทุ้มนุ่มอ้อยอิ่งขับกล่อมคนให้เข้าสู่ห้วงนิทรา
ชายหนุ่มพลิกกายคราหนึ่ง ผ่านไปชั่วครู่ก็พลิกไปอีกข้างหนึ่ง
บาดแผลตรงชายโครงเริ่มเจ็บแปลบๆ เขายื่นมือไปกดก็ไม่หาย เลยปล่อยมันไปเช่นนั้น
มีคนเคยถามว่าผู้ก้าวเข้าสู่สมรภูมิแล้วจะคุ้นชินกับการรบราฆ่าฟันไปเองใช่หรือไม่
เขาไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นเช่นไร แต่เขาไม่เคยคุ้นชิน แค่ว่าไม่อาจไม่จับอาวุธขึ้นมา
ก็เหมือนกับรอยแผลน้อยใหญ่บนร่างกาย ถึงแผลเก่าหายแล้วเป็นแผลใหม่เพิ่ม เขาก็เจ็บปวดอยู่ดี
ไม่มีผู้ใดคุ้นชินกับความเจ็บปวดทรมานได้ ก็เพียง…อดทนจนเคยชิน
เซ่าหมิงยวนใคร่ครวญว่าพรุ่งนี้เขาจะไปจวนเสนาบดีโค่วเพื่อพบกับพี่ชายภรรยาสักหน่อย
เมื่อมีความคิดนี้แล้ว เขาก็หลับใหลไปอย่างช้าๆ
เฉียวเจาถูกหลีกวงเหวินปลุกให้ตื่นขึ้น
ท้องฟ้าเพิ่งทอแสงรำไร เฉียวเจาสะลึมสะลือเอ่ยถามบิดาซึ่งรออยู่นอกห้องด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า ท่านพ่อ เช้าตรู่ปานนี้มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ
หลีกวงเหวินมีสีหน้าตื่นเต้น เจาเจา พ่อได้ยินว่าเจ้ามีฝีมือเขียนอักษรได้ดี เมื่อวานได้รับอนุญาตให้เข้าพบอู๋เหมยซือไท่หรือ
ต้องโทษที่เมื่อวานเขาเลิกงานแล้วไปร้านหนังสือเปิดอ่านเรื่องเล่าปกิณกะจนเพลิดเพลิน รอเมื่อกลับจวนกินอาหารเย็นเสร็จ ได้ยินเรื่องน่าตกใจของบุตรสาวโดยไม่ตั้งใจก็เป็นเวลาดึกเกินไป เขาจะไปหานางก็ไม่เหมาะสม จึงจำต้องอดทนรอถึงเช้าวันนี้
เจ้าค่ะ หลังบรรลุเป้าหมายก้าวแรกในที่สุด จิตใจของเฉียวเจาก็ผ่อนคลายทันทีทันใด นางรู้สึกยังนอนไม่เต็มอิ่มจนกระทั่งขณะนี้ยังงัวเงียอยู่บ้าง
ได้ยินท่านย่าบอกว่าลายมือของเจ้าราวกับถอดแบบมาจากอาจารย์เฉียวเลยหรือ
เฉียวเจาถึงตั้งสติได้ นางกล่าวเสียงเรียบๆ ท่านย่าพูดชมเกินไปแล้ว ข้าคัดตามแบบอักษรของอาจารย์เฉียวได้แค่องค์ประกอบ เรื่องเอกลักษณ์เด่นยังห่างชั้นไกลลิบเจ้าค่ะ
หลีกวงเหวินส่ายหน้าไปมา เจาเจาอย่าถ่อมตัวเกินไป ในเมื่อลายมือของเจ้าเข้าตาอู๋เหมยซือไท่ได้ มันจะต้องยอดเยี่ยมมากแน่นอน มาๆ พวกเราย้ายไปที่ห้องหนังสือกัน ให้พ่อได้ดูสักหน่อย
เขาพูดพลางล้วงห่อผ้าจากแขนเสื้อ พูดประหนึ่งอวดสมบัติ พ่อยังเอาแท่นฝนหมึกที่ยืมเจ้าไปมาด้วย
เฉียวเจายกมือนวดคิ้วอย่างหมดปัญญา นางไต่ถามหลีกวงเหวิน ท่านพ่อ วันนี้เป็นวันพักของท่านหรือเจ้าคะ
วันพัก? ไม่ใช่นะ หลีกวงเหวินกล่าวโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ
อ้อ เฉียวเจามองสีท้องฟ้านอกหน้าต่างแล้วฉงนสงสัยยิ่ง ตอนยามนี้ถึงเวลาไปที่ว่าการแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ
หลีกวงเหวินพยักหน้า ถึงเวลาไปที่ว่าการแล้ว แต่ข้าลาหยุด
วันนี้ท่านพ่อมีธุระหรือเจ้าคะ
ในเมื่อมีธุระจึงลาหยุด แล้วมาหานางแต่เช้าด้วยเหตุใดกัน
หลีกวงเหวินถูกถามเช่นนี้ก็อึ้งงันไปอึดใจเดียวก่อนตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ มีธุระสิ ก็มิใช่มาดูตัวอักษรของเจาเจาหรอกหรือ
อย่างนี้ก็ลาหยุดได้? เป็นเหตุผลตามอำเภอใจเกินไปสักหน่อยหรือไม่
วันหน้าต้องเอ่ยเตือนท่านแม่ให้ส่งของขวัญไปกำนัลผู้บังคับบัญชาของท่านพ่อบ้าง ต้องให้เขาได้แต่งตำราพงศาวดารไปจนเกษียณอายุราชการ
หลีกวงเหวินพูดเร่งให้เฉียวเจาไปที่ห้องข้างปีกซ้าย พลางลงมือฝนหมึกเองและกล่าว แท่นฝนหมึกอันนี้เป็นของชั้นหนึ่งโดยแท้ ฝนได้เร็ว น้ำหมึกเนียนละเอียด กระทั่งฝนหมึกยังเป็นความสนุกเพลิดเพลินอย่างหนึ่ง จึงมีเพียงอักษรที่ดีเท่านั้นถึงจะคู่ควรกับมันได้
เฉียวเจาแย้มมุมปากออก ที่แท้ถ้านางเขียนตัวอักษรได้ไม่ดี ท่านพ่อที่เคารพคงตั้งใจจะ ‘ยืม’ ไปเรื่อยๆ
ขณะที่หลีกวงเหวินมองมาด้วยสายตากระตือรือร้น เฉียวเจาใช้ความคิดครู่หนึ่งแล้วยกพู่กันเขียนคำกลอนคู่แผ่นหนึ่ง
‘ทุกเสียงลมเสียงฝนเสียงท่องตำราดังเข้าหู
ทุกงานบ้านงานเมืองงานแผ่นดินเอาใส่ใจ’
ลายมือเยี่ยม! หลีกวงเหวินตาเป็นประกาย เขาตบมือพูดชมเชย จากนั้นก็ตบมืออีกที คำกลอนดี!
คำกลอนคู่นี้เฉียวเจาไม่ใช่คนแต่งอย่างแน่นอน แต่พอเขียนด้วยตัวอักษรลายเส้นพลิ้วไหวอ่อนช้อยนี้กลับชวนให้จิตใจฮึกเหิมอย่างปราศจากสาเหตุ
หลีกวงเหวินเคลิ้มลอยไปแล้ว เขาพึมพำอ่านซ้ำๆ หลายรอบ พาความรู้สึกในใจท่วมท้นเต็มตื้น พ่อตัดสินใจแล้วว่าวันหน้าจะขยันพากเพียรเพื่อความก้าวหน้า ทำอะไรเพื่อบ้านเมืองปวงประชาบ้าง จะได้ไม่ผิดต่อคำกลอนคู่ที่บุตรสาวข้าเขียนไว้แผ่นนี้
เฉียวเจาตกใจยกใหญ่ อย่านะ ยอมรับก็ได้!
เอ่อ…ท่านพ่อ อันที่จริง…ข้าเขียนคำกลอนคู่บทนี้ให้ตนเอง มิใช่เขียนให้ท่านเจ้าค่ะ
เอ๊ะ? จิตใจซึ่งท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกของหลีกวงเหวินสงบลง ในดวงตาเขาเปี่ยมไปด้วยแววชื่นชม เจาเจา ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเขียนตัวอักษรได้ดีถึงเพียงนี้ อืม…จริงๆ แล้วก็ไม่ค่อยคล้ายตัวอักษรของอาจารย์เฉียวนะ
ข้ายังพยายามไม่พอเองเจ้าค่ะ คำกลอนคู่บทนี้ต่างหากเป็นลายมือของนางเอง
ไม่ๆ ดีมากแล้ว หลีกวงเหวินยังจับจ้องคำกลอนคู่แผ่นนั้นโดยไม่ละสายตา เขากล่าวด้วยความทึ่ง ดีเหลือเกิน
ตอนเขาอายุเท่านี้ยังเขียนตัวอักษรเช่นนี้ออกมาไม่ได้เลย
ตัวอักษรของอาจารย์เฉียวย่อมต้องดีที่สุดเป็นธรรมดา แต่ทักษะเชิงอักษรวิจิตรนั้น ต้องฝึกคัดลอกตามแบบไปจนมีเอกลักษณ์เด่นเป็นของตนเองในท้ายที่สุดถึงนับได้ว่าบรรลุแล้ว เจาเจา ตัวอักษรของเจ้านี้ไม่เหลือกลิ่นอายของการประดิษฐ์ปั้นแต่งให้เห็นแล้ว หากฝึกฝนต่อไปไม่ถึงสิบปีก็กลายเป็นยอดฝีมือได้
เฉียวเจาแย้มยิ้ม ขอบคุณท่านพ่อที่ให้กำลังใจเจ้าค่ะ
หลีกวงเหวินพลันรู้สึกภาคภูมิใจในความสำเร็จไปด้วย เขาพูดอย่างถ่อมตัว แม้ว่ากำลังใจจากพ่อจะสำคัญมาก แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่ายังคงเป็นความขยันหมั่นเพียรของเจ้า วันหน้าก็ต้องรักษามันไว้ต่อไปนะ จริงสิ เจาเจาบอกว่าคำกลอนคู่บทนี้เขียนให้ตนเอง บุตรสาวข้าก็เริ่มใส่ใจเรื่องของแผ่นดินแล้วหรือนี่
นี่ล้วนเป็นเพราะได้ฟังเรื่องเล่าของท่านมามาก ก็ท่านพ่อเล่าเรื่องสนุกนี่เจ้าคะ เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ ยามอยู่กับบิดาผู้นี้ นางยิ่งมายิ่งรับมือได้คล่องแคล่วดังใจคิดขึ้นทุกทีแล้ว
อื้ม…เป็นอย่างนี้เองหรือ มุมปากของหลีกวงเหวินโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้าง
ว่าแล้วเชียว ไปอ่านเรื่องเล่าที่ร้านหนังสือบ่อยๆ ต้องได้ผล!
จริงสิ ท่านพ่อ เมื่อวานข้าฟังท่านย่าเล่าเรื่องอดีต ท่านเอ่ยถึงแม่ทัพผู้หนึ่ง แต่น่าเสียดายที่จำไม่ใคร่ได้แล้ว ท่านพ่อเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ
* มัจฉาข้ามประตูมังกร เป็นสำนวน หมายถึงประสบความสำเร็จในการชอบขุนนาง
** น้ำเต้าถูกเลื่อยปากทิ้ง เป็นสำนวน หมายถึงคนที่นิ่งขรึมพูดไม่เก่ง