หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 610
บทที่ 610
ตอนออกจากคุก หลีกวงเหวินยังมีสีหน้างุนงง
ไฉนออกมาได้รวดเร็วเพียงนี้ ข้ายังไม่ทันเตรียมใจให้ดีเลย
“ใต้เท้าหลี เชิญเถอะ”
หลีกวงเหวินแค่นเสียงฮึ เอามือไพล่หลังก้าวขาเดินออกไปข้างนอก
อันว่าครั้งแรกมักเงอะงะ ครั้งต่อๆ ไปจะคุ้นเคยเอง วันหน้าเขายังต้องมาสถานที่อัปมงคลแห่งนี้อีกเป็นแน่ ใครใช้ให้ฮ่องเต้วันๆ ไม่ใส่ใจงานบ้านงานเมือง ไม่กระทำหน้าที่ของผู้เป็นเจ้าแผ่นดิน คิดแต่จะขึ้นสวรรค์ไปเป็นเซียนเล่า!
มาคราวหน้าควรจะหยิบหมอนที่เขาใช้เป็นประจำติดตัวมาด้วย
แผนการในใจนายท่านใหญ่สกุลหลีหายวับไปเหลือแต่ความตื่นตกใจเมื่อเห็นบุตรสาวรออยู่หน้าประตู
สีหน้าของหลีกวงเหวินนิ่งขึงไป กระทั่งดวงตาก็ไม่กลอกไปมาแล้ว
เฉียวเจารู้สึกผิดปกติ จึงส่งเสียงเรียกขานเบาๆ “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
หรือว่าจะโดนทารุณทรมานอย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ในคุกของกององครักษ์จินหลิน…
ได้ยินเสียงเรียกของเฉียวเจา หลีกวงเหวินคล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน เขาโอบไหล่บุตรสาว “เจาเจา เจ้ามาได้อย่างไร”
“ท่านพ่อ…” ท่าทางหวาดหวั่นพรั่นกลัวของหลีกวงเหวินทำให้นางรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด
หลีกวงเหวินโอบเฉียวเจาไว้พร้อมกับถลึงตามองเจียงสืออีอย่างระแวดระวัง “พวกเจ้าพาตัวบุตรสาวข้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด ข้าจะบอกให้นะ ถ้าพวกเจ้าจับนางเข้าไป ข้าจะไม่ไปที่ใดทั้งนั้น”
เฉียวเจาถึงรู้ต้นสายปลายเหตุที่บิดาตื่นตระหนกในเวลานี้ นางอดยิ้มไม่ได้ “ท่านพ่อ ข้ามารับท่านเจ้าค่ะ”
หลีกวงเหวินอึ้งงันไป “รับข้า?”
“ใช่เจ้าค่ะ ตอนนี้หมดเรื่องแล้ว ข้ามารับท่านกลับเรือน”
หลีกวงเหวินพรูลมหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง “กลับเรือน พวกเรากลับเรือนกัน ท่านย่ากับท่านแม่เจ้าต้องเป็นห่วงแทบแย่แล้ว”
พอเห็นท่านพ่อตาที่เคารพจูงว่าที่ภรรยาออกเดินไปอย่างอดใจรอไม่ไหว เซ่าหมิงยวนลูบๆ จมูกแล้วเร่งรีบไล่ตามไป
หลีกวงเหวินเพิ่งสังเกตเห็นว่ายังมีคนตัวโตๆ ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยอีกคน “หมิงยวนก็มาด้วยหรือนี่ พอดีสองวันนี้ข้าอยู่ในคุกกินอะไรไม่อร่อยเลย วันนี้พวกเราสองคนมาดื่มสุรากันให้หนำใจเถอะ”
“ได้ขอรับ ท่านอยากดื่มสุราอะไร ข้าจะดื่มเป็นเพื่อน”
“มีกระเพาะหมูผัดพริกหวานแกล้มสุราจึงจะดี”
“ข้าทำเองขอรับ”
…
เมื่อเห็นพวกเขาเดินห่างไปไกลขึ้นเรื่อยๆ เฉียวเจาคลายยิ้มอย่างจนใจแล้วยกชายกระโปรงเดินตามไป
ด้านพวกฉือชั่นมองหน้ากันไปมา
“ไปเถอะ ไปลิ้มรสกระเพาะหมูผัดพริกหวานที่ถิงเฉวียนทำกัน” ฉือชั่นหมุนกายไปเป็นคนแรก
หยางโฮ่วเฉิงเบะปาก “ช่างเห็นนารีดีกว่ามิตรโดยแท้ หลายปีมานี้พวกเราต่างไม่เคยได้กินอาหารที่ถิงเฉวียนทำเองกับมือเลย”
เซ่าหมิงยวนที่พูดคุยอยู่กับหลีกวงเหวินเหลียวมาตวัดสายตามองหยางโฮ่วเฉิง
เขาสงบปากสงบคำทันใด
เจียงสืออีมองคนทั้งกลุ่มเดินไปไกลอย่างเงียบๆ จากนั้นเบือนหน้ามองประตูใหญ่ของคุกแวบหนึ่ง
“ท่านสิบเอ็ด?” องครักษ์จินหลินที่อยู่ด้านข้างเรียกขานเสียงหนึ่ง
เจียงสืออีเดินไปทางจวนสกุลเจียงด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึกใด
ยามนี้เหล่าชาวจวนตะวันตกของสกุลหลีมาชุมนุมตัวที่เรือนชิงซงเพื่อปรึกษาหารือกันอยู่
“ท่านแม่ ท่านอย่าได้ร้อนใจ ข้าไหว้วานคนไปขอความเมตตาแล้ว ถึงแม้พี่ใหญ่จะออกมาไม่ได้ในชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แต่ตอนอยู่ในคุกคงไม่ได้รับความลำบากมากนักขอรับ” หลีกวงซูพูดกล่อม
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งฟังแล้วมีสีหน้าหนักอึ้งดุจเก่า “ที่ข้ากังวลใจคือท่านผู้บัญชาการเจียงจบชีวิตกะทันหัน เขาเป็นคนออกคำสั่งจับตัวพี่ใหญ่ของเจ้าไป พอเขาตายลงวันหน้าไม่ว่าใครรับสืบทอดต่อตำแหน่งผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน เกรงว่าคงไม่ขัดขืนความประสงค์ของเขาปล่อยพี่ใหญ่ของเจ้าออกมา”
“ท่านร้อนใจไปก็เปล่าประโยชน์ รอให้คลื่นลมระลอกนี้ผ่านพ้นไป ข้าจะไหว้วานคนลองหาหนทางเองขอรับ” หลีกวงซูพูดพลางกวาดตามองเหอซื่อแวบหนึ่งแล้วกล่าวอย่างมีนัยลึกซึ้ง “น่าเสียดายที่กวนจวินโหวถูกองครักษ์จินหลินพาตัวไปด้วย ไม่เช่นนั้นยังคิดหาวิธีดูได้”
ท่านแม่ปั้นหน้าบูดหน้าบึ้งใส่ข้าเพราะเรื่องปิงเหนียง แต่พอถึงคราวคับขันมิใช่ต้องอาศัยข้าใช้เส้นสายสัมพันธ์ช่วยคนหรือ
หลีกวงซูคิดคำนึงเช่นนี้แล้วถอนใจเบาๆ “ท่านแม่ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าไม่กล้าบอกท่านขอรับ”
“เรื่องอะไร”
“คือว่า…” หลีกวงซูชายตามองเหอซื่อซ้ำอีกครา
นางกลอกตาขึ้นอย่างเหลืออด “น้องรองมองข้าบ่อยๆ ด้วยเหตุใด”
ไม่รู้ว่าข้าหงุดหงิดใจอยู่หรือ!
หลีกวงซูหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายทันควัน เพราะอะไรพี่สะใภ้ใหญ่ยังคงพูดจาโดยไม่ยั้งคิดอยู่อีก พูดเช่นนี้เหมือนว่าเขาคิดไม่ซื่ออะไรอยู่กระนั้น
หลีกวงซูทั้งกระอักกระอ่วนทั้งโกรธเคือง เขาหลุบตาลงซ่อนแววตายิ้มเยาะแล้วกล่าวทอดถอนใจ “ท่านแม่ ข้าส่งคงไปเฝ้าดูที่ที่ว่าการกององครักษ์จินหลินไว้มิใช่หรือ ผลปรากฏว่า…”
“เจ้ามีอะไรก็พูดสิ!” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพูดอย่างรำคาญ
“ข้าบอกแล้วท่านอย่าพลุ่งพล่าน...”
“เจ้าวางใจได้ หลายวันมานี้ข้าพลุ่งพล่านอยู่ตลอด ชินเสียแล้ว”
“คนที่ไปเฝ้าอยู่ที่นั่นมารายงานว่าคุณหนูสามถูกองครักษ์จินหลินพาตัวไปแล้วขอรับ”
“เจ้าว่าอะไรนะ!” เหอซื่อลุกพรวดขึ้นยืน
“ระวังหน่อย!” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งสะดุ้งตกใจ
หลิวซื่อช่วยประคองเหอซื่อ “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ”
เหอซื่อเอามือพยุงท้องไว้ นางจับจ้องหลีกวงซูตาเขม็ง “เจาเจาถูกองครักษ์จินหลินพาตัวไปจริงๆ หรือ”
“ข้าจะกล้าโกหกพี่สะใภ้ใหญ่ได้อย่างไร องครักษ์จินหลินที่พาคุณหนูสามไปบอกว่าท่านเจียงอู่อยากพบนาง”
“เจียงอู่?” เหอซื่อก้าวขาจะเดินออกไป
หลิวซื่อรีบรั้งตัวนางไว้ “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านจะไปที่ใด”
“ข้าจะไปหามีดหั่นผักสักเล่มไปแลกชีวิตกับเจ้าเจียงอู่นั่น!”
“เหลวไหล!” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งตวาดเสียงห้วนกร้าวอย่างหาได้ยาก
เหอซื่อมองมารดาสามีอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
“องครักษ์จินหลินพวกนั้นเหมือนสุนัขบ้า ลงไม้ลงมือกับใครไม่ได้บ้าง เจ้านึกว่าตั้งครรภ์อยู่ พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรอย่างนั้นหรือ”
“แต่เจาเจาจะทำอย่างไร พวกเขาจับท่านพี่ไปก็ช่างเถิด เพราะอะไรไม่ละเว้นแม้แต่เจาเจา” เหอซื่อปิดหน้าร่ำไห้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถลึงตามองหลีกวงซูอย่างดุดัน เขาเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าเหอซื่อด้วยเหตุใด ปกติบุตรชายคนรองเป็นคนหัวไวเพียงใด เหตุใดกลับจากหลิ่งหนานแล้วกลายเป็นโง่งมไปแล้ว
สีหน้าของหลีกวงซูฉายแวววิตกกังวล หากในใจลอบยิ้มเยาะ ตอนนี้ท่านแม่คงรู้แล้วกระมังว่ายามคับขันต้องพึ่งพาผู้ใด
เพลานี้เองหลิวซื่ออดพูดขึ้นไม่ได้ “ฮูหยินผู้เฒ่า พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าว่าพวกท่านล้วนอย่าเพิ่งร้อนใจ รออีกประเดี๋ยวไม่แน่ว่าสถานการณ์อาจพลิกผันก็เป็นได้นะเจ้าคะ”
“เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรู้สึกได้รางๆ ว่าถ้อยคำนี้ของหลิวซื่อมีนัยล้ำลึกแฝงอยู่อย่างชัดเจน
หลิวซื่อจะบอกข้อสรุปที่ได้จากการสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างในยามปกติออกมาอย่างโจ่งแจ้งก็ไม่เป็นการดี นางเพียงเอ่ยปลุกปลอบอย่างอ้อมค้อมว่า “สองวันก่อนท่านผู้บัญชาการเจียงท่านนั้นจับพี่ใหญ่ไปมิใช่หรือเจ้าคะ ผลปรากฏว่าไม่ถึงสองวันก็ตายแล้ว ตอนนี้ท่านเจียงอู่พาตัวคุณหนูสามของเราไปแล้ว ข้าตรึกตรองอยู่ว่าดีไม่ดีรออีกสองวันเขาอาจมีอันเป็นไปด้วยก็ได้ เช่นนั้นกององครักษ์จินหลินของพวกเขาจะรั้งตัวเด็กสาววัยเยาว์นางหนึ่งเช่นคุณหนูสามของเราไว้ด้วยเหตุใดกัน”
การตายของเจียงถังทำให้นางอกสั่นขวัญผวาอยู่นานเชียวนะ เป็นไปตามคาดผู้ใดล่วงเกินคุณหนูสามก็ต้องเคราะห์ร้าย ดูทีว่าเจียงอู่ผู้นั้นคงจะต้องซ้ำรอยเจียงถังแน่แล้ว
“ไร้สาระ!” หลีกวงซูแค่นหัวเราะ มุมปากมีรอยยิ้มเย้ยหยัน แต่ก่อนเขายังรู้สึกว่าหลิวซื่อมีไหวพริบดี ใครจะรู้ว่าบัดนี้ดูไปก็แค่สตรีโฉดเขลาผู้หนึ่ง
หลิวซื่อยิ้มเยาะ “ท่านไม่เข้าใจมิได้แสดงว่าไร้สาระ”
“เจ้าอย่าสร้างปัญหาอีกเลย ช่างไม่ติงว่าอับอายขายหน้าจริงๆ!” น้ำเสียงของหลีกวงซูหงุดหงิดมากขึ้น
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอาจไม่เชื่อคำพูดของลูกสะใภ้คนรอง แต่ก็ทนดูท่าทีของบุตรชายตนเองไม่ได้ นางพูดเอ็ดเขา “เจ้าพูดจากับภรรยาอย่างไรกันนี่”
สีหน้าของหลีกวงซูบึ้งตึง ในใจท่านแม่เขามีความสำคัญไม่เท่าพี่ใหญ่ก็แล้วกันไปเถอะ ไฉนตอนนี้ยังเทียบหลิวซื่อไม่ได้แล้ว นี่ตกลงว่าเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของใครกันแน่
ขณะที่บรรยากาศในโถงกำลังตึงเครียด หงซงสาวใช้อาวุโสวิ่งเร็วรี่เข้ามา “ฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านใหญ่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเผยสีหน้ายินดี
หงซงพยักหน้าหงึกหงัก “จริงเจ้าค่ะ ไม่ใช่แค่นายท่านใหญ่ที่กลับมาแล้ว ยังมีคุณหนูสามกับท่านเขยสามและคุณชายอีกหลายท่าน…”
ไม่รอให้หงซงพูดจบหญิงชราก็ออกเดินนำหน้าพาทุกคนไปด้านนอกทันที
“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้วขอรับ” พอเห็นมารดาเฒ่า หลีกวงเหวินมีน้ำตารื้นขอบตาอย่างช่วยไม่ได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองสำรวจบุตรชายคนโตขึ้นๆ ลงๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเต็มตื้น “กลับมาก็ดีแล้ว แม่ยังเป็นห่วงอยู่ว่าเป็นตายอย่างไรองครักษ์จินหลินพวกนั้นก็ไม่ปล่อยคน”
“เจาเจาเป็นคนช่วยลูกออกมาขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทำหน้าฉงนใจ “หลานเจา เจ้าถูกผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านเจียงอู่พาตัวไปมิใช่หรือ”
ด้านหลีกวงซูก็ประหลาดใจเหลือจะกล่าว
เฉียวเจาเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ท่านเจียงอู่ตายแล้วเจ้าค่ะ”