หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 611
บทที่ 611
เฉียวเจากล่าวคำนี้จบแล้วก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศในเรือนชอบกลๆ อย่างไร้สาเหตุ พวกฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมิได้มองนาง แต่หันไปมองหลิวซื่อเป็นตาเดียวกัน
นายหญิงรองยกมือจับปอยผมเหน็บหลังใบหู คลี่ยิ้มอย่างสบายอารมณ์
เห็นหรือไม่ เจียงอู่ผู้นั้นตายแล้วจริงๆ!
หลีกวงซูแลมองภรรยาที่ทำสีหน้าเป็นปกติ ค่อยมองหลีกวงเหวินที่มีท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราว สุดท้ายหยุดสายตาที่ใบหน้าของเฉียวเจา
เขาพิศดูเด็กสาวตรงหน้าอย่างละเอียด
ความยโสโง่เขลาในอดีตไม่หลงเหลือร่องรอยอยู่บนตัวนางแล้ว นัยน์ตาสีดำสุกใสสงบนิ่งคู่นั้นราวกับแฝงไว้ด้วยความลับมากมายชวนให้ค้นหา
ห้าปีที่เขาไม่อยู่นี้ ดูเหมือนในเรือนจะเกิดความเปลี่ยนแปลงมากเกินไปจริงๆ
“หลานเจาเอ๊ย ท่านเจียงอู่ตายได้อย่างไรหรือ” หลังจากนิ่งงันไปอึดใจหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเอ่ยถามขึ้น
เฉียวเจาชายตามองหลีกวงซูปราดหนึ่งก่อนตอบอย่างกำกวม “เกิดเหตุบางอย่างขึ้นภายในหมู่พวกเขาเจ้าค่ะ แต่เรื่องราวโดยละเอียดนั้นคนนอกไม่อาจรู้แน่ชัดได้ เอาเป็นว่าพอท่านเจียงอู่จบชีวิต พวกเขาก็ปล่อยข้ากับท่านพ่อออกมาแล้ว”
หลิวซื่อตบมือ พอเห็นทุกคนมองมาก็เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณหนูสามของเราโชคดีจริงๆ นี่ก็คือคนดีผีคุ้มนั่นเอง”
เหอซื่อเม้มปากอย่างชอบใจ “ใช่น่ะสิ สวรรค์ยังมีตา ไหนเลยจะปล่อยให้คนชั่วได้สมดังใจหมายเล่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอมยิ้มพลางพยักหน้า
หลีกวงซูย่นหัวคิ้วเข้าหากันน้อยๆ
มีเลศนัย หลิวซื่อต้องรู้อะไรบางอย่างเป็นแน่!
“ท่านเขยก็ต้องลำบากแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเริ่มไต่ถามทุกข์สุขกับเซ่าหมิงยวน
“ข้ามิได้ทำอะไรเลยขอรับ รู้สึกละอายใจนัก”
หลีกวงเหวินรำคาญบทสนทนาตามมารยาทเหล่านี้ เขาจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ท่านแม่ ข้าไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะขอรับ ประเดี๋ยวหมิงยวนจะดื่มสุรากับข้า”
“ไปเถอะ ข้าจะให้ทางเรือนครัวตระเตรียมอาหารดีๆ ให้พวกเจ้าเอง”
“ไม่ต้องขอรับ เขามีฝีมือทำอาหารอยู่มาก ให้เขาเข้าครัวเองก็ได้”
หลีกวงเหวินบอกได้สนิทปาก แต่คนอื่นๆ อ้าปากค้างไปแล้ว
“พี่ใหญ่ อันว่าบุรุษพึงห่างไกลครัวไฟ จะให้ท่านโหวเข้าครัวได้อย่างไรกัน” หลีกวงซูเอ่ยปากขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
พี่ใหญ่สติไม่ดีใช่หรือไม่ บุตรสาวหมั้นหมายกับกวนจวินโหวก็นึกจริงๆ ว่าตนเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของอีกฝ่ายแล้วหรือ
ต่อให้เป็นจิ้งอันโหว เกรงว่าคงไม่เคยให้กวนจวินโหวเข้าครัวมาก่อน
หลีกวงเหวินมองน้องชายพลางถอนใจเฮือกหนึ่ง “น้องรอง เจ้ายิ่งเล่าเรียนยิ่งโง่เขลาใช่หรือไม่ คำกล่าวว่าบุรุษพึงห่างไกลครัวไฟใช้กับเรื่องนี้ได้หรือ ยุคโบราณยังมีบุตรยอดกตัญญูที่ยังแต่งกายสีสันฉูดฉาดคล้ายเด็กน้อยให้บิดามารดาเบิกบานใจเลยนะ”
หลีกวงซูกำมือเป็นหมัด
ไม่กลัวอับอายขายหน้าผู้คนจริงๆ หากเป็นเมื่อยี่สิบปีก่อนข้าต้องชกพี่ใหญ่โง่งมผู้นี้ให้คว่ำกับพื้นให้ได้
“หากท่านอยากชม ข้าก็ทำได้นะขอรับ” เซ่าหมิงยวนอมยิ้มกล่าวขึ้น
หลีกวงซูอึ้งงัน “…” เมืองหลวงซับซ้อนเกินไป ข้าอยากกลับหลิ่งหนานแล้ว!
“ท่านย่า ข้าไปช่วยทำด้วยเจ้าค่ะ” เฉียวเจาอ้าปากพูดขึ้น
หนึ่งชั่วยามให้หลังหลีกวงเหวินกินอย่างอิ่มหนำสำราญใจแล้วเอ่ยกับบุตรสาว “ไปส่งหมิงยวนเถอะ วันนี้เขาดื่มไปไม่น้อย”
เฉียวเจาออกไปส่งพวกเซ่าหมิงยวนที่หน้าประตู
จูเยี่ยนมือหนึ่งพยุงฉือชั่นมือหนึ่งประคองหยางโฮ่วเฉิง “ถิงเฉวียน ข้าพาพวกเขาสองคนกลับไปเอง”
“ให้เฉินกวงไปส่งพวกเจ้าเถอะ” สหายรักรู้กาลเทศะเช่นนี้สร้างความพึงพอใจให้เซ่าหมิงยวนเป็นอันมาก
หลังยืนมองส่งพวกจูเยี่ยนสามคนห่างไปไกลแล้ว เฉียวเจาเบนหน้ามาถามเขา “ยังไหวหรือไม่ ข้าเห็นวันนี้ท่านดื่มสุราไม่น้อย”
“ไม่เป็นไร วันนี้ข้าจะนอนค้างที่นี่” เมื่อหยุดยืนอยู่หน้าประตูเรือนด้านข้างจวนสกุลหลี เซ่าหมิงยวนถามนางยิ้มๆ “ไม่ตามไปส่งข้าข้างในหรือ”
เฉียวเจามองค้อนเขาวงหนึ่ง “ส่งสิ”
คนผู้นี้ดื่มสุราแล้วชอบทำได้คืบเอาศอก
ในเรือนอบอุ่นดุจวสันตฤดู พอเข้าไปก็สวมเสื้อคลุมกันหนาวไว้ไม่ไหวแล้ว เซ่าหมิงยวนปลดผ้าคลุมออกแล้วกอดเฉียวเจาไว้หมับ
ชายหนุ่มเอาปลายคางที่มีไรหนวดเขียวๆ ถูไถกับข้างแก้มนุ่มนิ่มของเด็กสาว ชั่วพริบตาที่กลิ่นสุราคละเคล้ากลิ่นใบป้อเหอหอมสดชื่นลอยมาปะทะใบหน้า นางก็หมดทางถอยหนีแล้ว
เฉียวเจาหน้าแดงพยายามผลักไสเขาออก “อย่าทำเป็นแกล้งเมานะ”
วงแขนของบุรุษดุจปลอกเหล็กพันธนาการนางไว้จนขยับกายไม่ได้ เสียงพูดแกมคับข้องหมองใจดังขึ้นเหนือศีรษะ “เจาเจา เจียงสือซานมีจิตปฏิพัทธ์ต่อเจ้า”
ตัวเด็กสาวแข็งทื่อไปทันใด
“ข้าไม่ค่อยชอบใจเลย” ชายหนุ่มเอาคางเกยกับกระหม่อมนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงคับข้องใจมากยิ่งขึ้น
เฉียวเจาทั้งกระดากกระเดื่องทั้งทำอะไรไม่ถูก นางพึมพำขึ้น “ข้าขอโทษ…”
ในสถานการณ์เฉกนี้นางไม่รู้ว่าสมควรพูดอย่างไรดี รู้สึกไม่วายว่าการอธิบายก็คือกลบเกลื่อน
“เจ้าคนผู้นั้นไม่มีอะไรดีสักเท่าไร แต่สายตากลับไม่เลว” เซ่าหมิงยวนเบะปาก
“ข้าไม่ได้คิดอะไรกับเขา…”
เซ่าหมิงยวนยกนิ้วมือกดริมฝีปากนางพร้อมกับส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ข้ารู้ เจ้าชมชอบข้าผู้เดียว”
เฉียวเจากลั้นยิ้มไม่อยู่ “หลงตนเอง”
เขาดึงนางนั่งลงแล้วกล่าวอย่างเต็มปากเต็มคำ “พูดตามความจริงเท่านั้นเอง”
“ท่านดื่มสุรามากไปแล้ว” นางมองชายหนุ่มที่ตาฉ่ำปรือด้วยฤทธิ์สุราแล้วจนใจเต็มที
เซ่าหมิงยวนสั่นศีรษะ “ข้าสติแจ่มใสดีอยู่ วันนี้สิ่งที่เจียงสือซานกล่าวกับเจียงอู่ทำให้ข้าแน่ใจเรื่องหนึ่งได้แล้ว”
“เรื่องใดหรือ”
“การตายของเจ้าเกี่ยวข้องกับกององครักษ์จินหลิน” เขากล่าวถึงตรงนี้แล้วรีบพูดแก้ “ไม่ถูก ต้องเป็นเจ้าในร่างเดิม…”
“เอาล่ะ พูดจุดสำคัญเถอะ”
“คนที่ไปรับเจ้าตอนนั้นเป็นรองแม่ทัพผู้หนึ่งใต้อาณัติข้านามว่าซูลั่วเฟิง…” ดวงตาของเขามีแววโกรธเกรี้ยวจุดวาบขึ้น “ภายหลังสืบพบว่าซูลั่วเฟิงมีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสตรีในหอคณิกานามว่าอิงอิงที่เมืองเป่ยติ้ง ข้าส่งองครักษ์ไปจับตาดูที่นั่นไว้ตลอด จากข่าวที่องครักษ์ข้าส่งมาให้เป็นระยะ ประกอบกับที่เจียงสือซานเอ่ยถึงเรื่องที่เจียงอู่บกพร่องในหน้าที่ ตอนนี้มั่นใจได้แล้วว่าคนที่ลงมือกับเจ้าก็คือกององครักษ์จินหลิน”
เฉียวเจาฟังแล้วนิ่งเงียบไปอย่างช่วยไม่ได้
ตามสายตาคนทั่วหล้านางในอดีตเป็นเพียงสตรีสามัญผู้หนึ่งที่แต่งเข้าจวนโหว จุดประสงค์ที่กององครักษ์จินหลินลงมือกับนางมีเพียงประการเดียวคือจะกำราบและควบคุมเซ่าหมิงยวน
แล้วคนเพียงคนเดียวที่จะบงการให้กององครักษ์จินหลินทำเช่นนี้ได้ก็คือโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไปเป็นนานถึงกำหมัดทุบโต๊ะทีหนึ่งพร้อมกล่าวสบถ “สมควรตาย!”
บางครั้งเขาอยากบอกให้พวกรักแผ่นดินภักดีต่อฮ่องเต้อย่างดวงตามืดบอดเหล่านั้นไปตายเสียให้หมด แล้วจัดการสังหารคนผู้นั้นทิ้งเสียต่างหากคือสิ่งที่ถูกต้อง!
ทว่าเขาทำไม่ได้
เขาไม่ยี่หระต่อคำประณามสาปแช่งว่าเป็นโจรกบฏคนทรยศ แต่ถ้าทำอย่างนั้นจริงๆ ต้าเหลียงต้องระส่ำระสายครั้งใหญ่เป็นแน่แท้ ถึงตอนนั้นข้าศึกทั้งเหนือใต้จะฉวยจังหวะรุกรานเข้ามา คนที่เดือดร้อนยังคงเป็นราษฎรตาดำๆ อยู่ดี และชีวิตอันสงบสุขของครอบครัวเจาเจาก็จะไม่คงอยู่อีกแล้ว
เฉียวเจายื่นมือไปวางทาบฝ่ามือใหญ่ “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็อย่าไปคิดถึงมันอีกเลย วันหน้าพวกเราทุกคนต้องอยู่อย่างมีความสุข”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าอย่างขึงขัง
“จริงสิ เรื่องของท่านอารองข้ามีข่าวส่งกลับมาหรือยัง” เฉียวเจาเปลี่ยนเรื่องพูด
“ว่าจะบอกเจ้าพอดี อนุที่ท่านอารองของเจ้าพากลับมามิใช่บุตรสาวของรองนายอำเภออะไรเลย ตัวตนที่แท้จริงของนางคือม้าผอมหยางโจว” พอกล่าวถึงตรงนี้เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามอย่างลังเล “เจาเจา เจ้ารู้ว่าม้าผอมหยางโจวคืออะไรใช่หรือไม่”
“ม้าที่ค่อนข้างผอมหรือ”
เซ่าหมิงยวนอ้าปากแล้วหุบปาก
“ไม่ถูกหรือ” เด็กสาวทำหน้าซื่อตาใส
“เอ่อ… คือว่า…” ใบหูของแม่ทัพหนุ่มแดงเรื่อ เขาใช้ความคิดอย่างเร็วรี่เพื่อหาคำอธิบายเหมาะๆ
เฉียวเจาหลุดหัวเราะพรืด
ชายหนุ่มถึงคิดตามทัน เขาทำหน้าไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีขณะกล่าวว่า “เจาเจา อย่าซุกซน”
“เอาล่ะ ข้าไม่กระเซ้าท่านแล้ว บอกให้ข้าฟังอย่างละเอียดเถอะ”