หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 619
บทที่ 619
เฉียวเจาไม่เคยใคร่ครวญปัญหานี้มาก่อนจริงๆ
เซ่าหมิงยวนจะรับอนุหรือไม่น่ะหรือ นางรู้สึกเสมอว่านี่หาใช่ปัญหาที่จำเป็นต้องกังวลใจไม่ ด้วยคนผู้นั้นไม่เคยทำให้นางบังเกิดข้อสงสัยนี้เลย
เด็กสาวยังเบิกตากว้างรอคอยคำตอบของเฉียวเจาอย่างใจจดใจจ่อ
เฉียวเจายื่นมือไปยีผมนุ่มนิ่มของนางพลางกล่าวยิ้มๆ “น้องเยียน ความจริงปัญหานี้ไม่มีคำตอบที่ถูกที่สุดหรอก ด้วยสภาพการณ์ของสตรีแต่ละคนไม่เหมือนกัน พบเจอคนไม่เหมือนกัน ทางเลือกก็ย่อมจะไม่เหมือนกันเป็นธรรมดา”
หลีเยียนได้ยินแล้วกระวนกระวายใจมากขึ้น ถ้าเกิดนางเคราะห์ร้ายเป็นพิเศษ เจอกับบุรุษอย่างท่านพ่อกับอนุแบบปิงเหนียงเข้าจะทำเช่นไร
เฉียวเจาหยั่งเดาความคิดในใจหลีเยียนได้รางๆ นางคลายยิ้มกล่าวว่า “แต่มีจุดหนึ่งที่พี่เจาบอกเจ้าได้ ใต้หล้านี้อนุที่กล้าสังหารคนเฉกเช่นปิงอี๋เหนียงนั้นพบได้น้อยนัก แทนที่เจ้าจะวิตกกับปัญหาชิงดีชิงเด่นระหว่างภรรยาเอกกับอนุ มิสู้ขบคิดให้ละเอียดว่าปิงอี๋เหนียงทำเช่นนี้เพื่ออะไร”
หลีเยียนฟังแล้วนิ่งขึงไป นางพูดพึมพำว่า “นั่นสิ ปิงอี๋เหนียงทำเช่นนี้เพื่ออะไรกัน”
เพื่อไม่ต้องดื่มยาขับเลือดถึงกับสังหารสาวใช้ทีเดียวสองคนแล้วหลบหนีไป ทว่านางหนีไปเช่นนี้ก็ไม่มีทางอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าท้ายที่สุดนางหนีออกไปไม่ได้ และพบกับจุดจบด้วยการเอาศีรษะพุ่งชนกำแพงจนสิ้นชีพ
หลีเยียนยิ่งคิดยิ่งรู้สึกงุนงง กลับกลายเป็นลืมปัญหาก่อนหน้านี้ไปแล้วในชั่วขณะ
อันที่จริงเฉียวเจาตรึกตรองปัญหานี้อยู่เหมือนกัน
ถ้าบอกว่าปิงเหนียงต้องการปกป้องลูกน้อยในครรภ์ หัวเด็ดตีนขาดนางก็ไม่เชื่อ
คนผู้หนึ่งที่วางพิษกู่บุตรชายวัยสามขวบได้ จะฆ่าคนแล้วหลบหนีเพื่อก้อนเลือดที่ยังไม่เป็นตัวเป็นตนในครรภ์หรือ หากเป็นเช่นนี้จริงตอนหลังนางจบชีวิตตนเองอย่างเด็ดขาดฉับไวอย่างนั้นก็ไร้เหตุผลแล้ว
บางทีปิงเหนียงผู้นี้อาจมิใช่ม้าผอมหยางโจวแต่เพียงผิวเผินเท่านั้น
เฉียวเจามีข้อกังขาในใจ ตอนพบกับเซ่าหมิงยวนอีกครานางก็เอ่ยถึงเรื่องนี้
เขาฟังแล้วนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ข้าจะส่งคนไปสืบที่หลิ่งหนานอีกที แต่ทางหลิ่งหนานนั้นมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวมาเนิ่นนาน คนนอกหมายสืบข่าวลึกๆ จึงค่อนข้างลำบาก”
“คนก็ตายไปแล้ว ทำเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน” เฉียวเจาย่อมแจ่มแจ้งถึงความยากลำบากในเรื่องนี้
เรื่องที่ปิงเหนียงเป็นม้าผอมหยางโจวที่รองนายอำเภอมอบให้หลีกวงซูไม่นับเป็นความลับอันใดสำหรับที่นั่น มิหนำซ้ำยังกลายเป็นที่กล่าวขวัญถึงอย่างชื่นชม แต่จะสืบให้ลึกลงไปอีกขั้นว่าความเป็นมาของนางมีลับลมคมในแฝงอยู่หรือไม่ย่อมจะไม่เหมือนกันแล้ว
“ไปเถอะ พวกเราไปที่หอชุนเฟิงกัน” เซ่าหมิงยวนไม่อยากคุยเรื่องที่ชวนให้ไม่สบอารมณ์พวกนี้ต่อ เขาบอกกล่าวให้นางรู้ “จื่อเจ๋อกำหนดเรื่องการแต่งงานได้แล้ว หยางเอ้อร์โวยวายว่าอยากรวมตัวสังสรรค์ พวกข้าเลยนัดหมายกันที่หอชุนเฟิง”
เฉียวเจาตาเป็นประกาย “พี่จูหมั้นหมายแล้วหรือ”
เซ่าหมิงยวนเหล่ตามองนาง พูดด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ไฉนได้ยินว่าจื่อเจ๋อหมั้นหมายยังดีใจกว่าตนเองหมั้นหมายเสียอีก”
เฉียวเจาผลิยิ้มๆ น้อยน่าเอ็นดู “ก็พี่จูเป็นคนดีนี่นา”
เขาส่งเสียงหัวร่อเบาๆ “อืม จื่อเจ๋อเป็นคนดีจริงๆ”
“แล้วพี่จูหมั้นหมายกับสตรีตระกูลใดหรือ” เฉียวเจาถามด้วยความสนใจใคร่รู้
“เป็นคุณหนูสกุลซูของจวนเสนาบดีกรมพิธีการ”
ภาพเด็กสาวท่วงทีสุขุมเยือกเย็นผุดขึ้นในห้วงความคิดนางทันที
คุณหนูซูแห่งจวนเสนาบดีกรมพิธีการนั้นเป็นเด็กสาวที่ชมชอบการเดินหมากมากที่สุดเท่าที่นางเคยพบเจอมา จึงสร้างความประทับใจให้นางมากพอดู
เฉียวเจาอดยิ้มไม่ได้ “พี่จูมีทักษะการเดินหมากโดดเด่น ส่วนคุณหนูซูชมชอบเดินหมาก วันหน้าพวกเขาอยู่ด้วยกันก็ไม่มีวันเบื่อหน่ายแล้ว”
ชายหนุ่มได้ยินคำกล่าวนี้แล้วเริ่มว้าวุ่นใจ
เจาเจามีทักษะในศาสตร์ทั้งสี่ดีเด่นระดับหัวแถว ส่วนเขาอย่างมากก็นับเป็นมือชั้นหางแถว
เจาเจามีวิชาแพทย์ล้ำเลิศเหนือใคร เป็นทายาทสืบทอดของหมอเทวดาหลี่ ส่วนเขาพันแผลให้ตนเองเป็นอย่างเดียว เต็มที่ก็ตรวจอาการป่วยของม้าศึกได้ พอนับเป็นหมอรักษาสัตว์ได้แบบถูๆ ไถๆ กระมัง
ฝีมือทำอาหารของเจาเจา…ธรรมดาๆ ส่วนเขาคงเป็นเพราะหุงหาอาหารกลางป่ากลางเขาบ่อยๆ ดูท่าทางจะมีพรสวรรค์ในด้านนี้เอาการอยู่…
เซ่าหมิงยวนยิ่งคิดยิ่งรู้สึกไม่เข้าที พอคิดไปคิดมาดูคล้ายว่าเขากับเจาเจาไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่าง
“มีอะไรหรือ” เฉียวเจารับรู้ได้ว่าบุรุษข้างกายนิ่งเงียบไปกะทันหัน นางจึงช้อนตาขึ้นเอ่ยถาม
ริมฝีปากบางของเขาเม้มเข้าหากัน คิ้วเข้มพาดเฉียงชวนพิศขมวดน้อยๆ “เจาเจาไม่ต้องห่วงนะ วันหน้าชีวิตของพวกเราก็ไม่มีทางน่าเบื่อเช่นกัน”
อืม ต้องมีลูกน้อยด้วยกันหลายๆ คนก็จะมีสิ่งที่รักใคร่สิ่งเดียวกันแล้ว
เฉียวเจาปรายตามองเขา “จู่ๆ พูดวกมาถึงพวกเราด้วยเหตุใดกัน”
เซ่าหมิงยวนกุมมือนางยิ้มๆ ไม่พูดอะไร
ทั้งสองมาถึงหอชุนเฟิงก่อนใครๆ ไม่นานนักพวกฉือชั่นก็ทยอยตามมาถึง
ด้วยล้วนเป็นคนคุ้นเคยกันจึงพาให้บรรยากาศเป็นกันเองมาก
หยางโฮ่วเฉิงหย่อนบั้นท้ายลงนั่งแล้วชูไหสุราไปทางจูเยี่ยน “จื่อเจ๋อ วันนี้เจ้าต้องใช้เจ้านี่ดื่มนะ”
จูเยี่ยนยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะเอ่ยขอความเมตตา
“เอาเถอะ จื่อเจ๋อเป็นพวกคออ่อน เจ้าให้เขาใช้ไหดื่มสุราจะไม่ใช่กลั่นแกล้งกันรึ” ฉือชั่นถลึงตาใส่หยางโฮ่วเฉิงแล้วยื่นชามส่งให้โดยไม่รอช้า “จื่อเจ๋อ พวกเราใช้ใบนี้ก็พอแล้ว”
รอยยิ้มซาบซึ้งใจในทีแรกของจูเยี่ยนนิ่งค้างอยู่ที่มุมปาก เขาเห็นชามปากกว้างแล้ววิงเวียนตาลาย
“หรือไม่จะทำตามหยางเอ้อร์ดี” ฉือชั่นถามพร้อมรอยยิ้มพราย
จูเยี่ยนรับชามมารินสุราจนเต็มเงียบๆ ชูขึ้นพลางพูดอย่างจนปัญญา “รู้อยู่แล้วว่าวันนี้หนีไม่พ้น ข้าก็จะดื่มสุราชามนี้ให้เกลี้ยง แต่หลังจากนี้พวกเจ้าอย่ามอมสุราข้าอีก ไม่อย่างนั้นถึงเวลาข้าคงกลับเรือนไม่ไหวแล้ว”
เขาพูดจบแล้วกวาดสายตามองทุกคนในห้องอย่างช้าๆ ก่อนยกชามขึ้นดื่มทีละอึกใหญ่ๆ
พวกเขาต่างรู้ว่าจูเยี่ยนดื่มสุราไม่เก่งจึงไม่พูดเร่ง พอเห็นเขาดื่มหมดแล้วคว่ำชามลงให้ทุกคนดูก็พากันร้องชม
ใบหน้าของจูเยี่ยนแดงก่ำไปหมด เขาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบสุราที่ไหลออกมาจากริมฝีปากด้วยท่าทางสง่างามดุจเก่า
หยางโฮ่วเฉิงถอนใจเฮือกหนึ่ง “จื่อเจ๋อ ข้ายังนึกว่าดีชั่วก็ต้องเข้าสู่ครึ่งปีหลังเจ้าถึงจะหมั้นหมาย พอเจ้าหมั้นหมายตอนนี้เป็นต้นเหตุให้ข้าตกอยู่ในสภาพน่าอเนจอนาถยิ่ง”
“เพราะเหตุใดรึ” จูเยี่ยนถามยิ้มๆ
สำหรับการแต่งงานนี้ชายหนุ่มมิได้ใส่ใจว่าจะเร็วหรือช้ากว่านี้ เขาหมั้นหมายเมื่อย่างเข้าวัยนี้เดิมก็เป็นเรื่องถูกต้องตามครรลองอยู่แล้ว
คุณหนูซูกับน้องสาวเขามีไมตรีอันดีต่อกัน นิสัยใจคอต้องไม่ย่ำแย่เป็นแน่ เขาเชื่อว่าวันหน้าเขากับนางต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตอย่างรักใคร่ให้เกียรติกันได้
“อย่าเอ่ยถึงเลย” หยางโฮ่วเฉิงกรอกสุราเข้าปาก “พอท่านย่าข้าได้ยินว่าเจ้าหมั้นหมายแล้วก็รีบตระเตรียมเรื่องการแต่งงานของข้าเป็นการใหญ่ พอข้าแสดงท่าทีปฏิเสธนิดเดียว ท่านก็หยิบไม้ขนไก่ฟาดข้าแรงๆ ยกหนึ่ง อย่าให้บอกเลยว่าท่านผู้เฒ่ามีเรี่ยวแรงไม่น้อยจริงๆ ฟาดจนไม้ขนไก่หักเป็นสองท่อน”
ได้ยินหยางโฮ่วเฉิงเล่าเรื่องนี้เฉียวเจาหวนประหวัดถึงพลังหมัดอันดุดันเหี้ยมเกรียมของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทันใด นางจึงพลันหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างสุดระงับ
หากว่ากันถึงว่าใครเรี่ยวแรงดีที่สุดในบรรดาท่านผู้เฒ่า ดูเหมือนต้องยกให้ท่านย่าแล้ว
“คุณหนูหลีหัวเราะอะไรหรือ” หยางโฮ่วเฉิงเกาท้ายทอยอย่างงุนงง
เฉียวเจาเม้มปากเบาๆ “ฟังแล้วรู้สึกชวนขันเท่านั้นเองเจ้าค่ะ”
“มา พวกเราดื่มสุรากัน” ฉือชั่นชูจอกสุราขึ้น
ทุกคนชนจอกดื่มสุรากันจนเริ่มเมาน้อยๆ พลันได้ยินเสียงเอะอะโหวกเหวกดังมาจากชั้นล่าง
“ไปจัดเตรียมห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดของร้านเจ้าโดยไว ไม่เห็นหรือว่าใต้เท้ากับแขกผู้ทรงเกียรติของพวกข้ารอคอยอยู่”
“อะไร มีแขกอยู่แล้วจัดให้ไม่ได้ เจ้าเสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้มีลูกตาไว้ประดับบนหน้าใช่หรือไม่ ไม่รู้หรือว่าใต้เท้าพวกข้าเป็นใคร”
หยางโฮ่วเฉิงขมวดคิ้วก่อนวางจอกสุราลงบนโต๊ะ กล่าวด้วยความรำคาญว่า “ข้าไปดูว่าเป็นผู้ใด จะให้คนดื่มสุราอย่างเป็นสุขก็ไม่ได้”
ฉือชั่นรั้งตัวเขาไว้ เรียวคิ้วได้รูปกระดกขึ้น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย “อย่าวู่วาม ข้าไปดูเองว่าเป็นพวกสวะจากที่ใดกันแน่”
เขาออกไปเหลือบดูแวบเดียวก็แค่นเสียงพูด “อยู่ที่นี่ยังเจอกับตัวขวางหูขวางตาพวกนั้นอีก อัปมงคลเสียจริง!”