หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 622
บทที่ 622
พวกเฉียวเจาออกจากหอชุนเฟิงแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไป
จูเยี่ยนดื่มสุรามากไปบ้าง หลังกลับถึงเรือนของซื่อจื่อในจวนไท่หนิงโหว เขาเพิ่งถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกผลัดเปลี่ยนเป็นชุดอยู่กับเรือน ยามนั้นเองตู้เฟยเสวี่ยก็วิ่งถลันเข้ามาเป็นพายุบุแคม
“ญาติผู้น้อง?” ซื่อจื่อสกุลจูตกใจจนหายเมาไปกว่าครึ่งในพริบตา
เพราะยังอยู่ในระหว่างไว้ทุกข์ มาตรว่าวันสิ้นปีเพิ่งผ่านพ้นไป ตู้เฟยเสวี่ยกลับสวมอาภรณ์เป็นสีเรียบๆ ทั้งชุด นางร้องไห้น้ำตานองหน้า เส้นผมหลุดรุ่ยร่ายแนบติดข้างแก้ม ดูไปแล้วน่าเวทนาอยู่มาก
จูเยี่ยนสร่างเมาเป็นปลิดทิ้งในที่สุด เขาถอยหลังหลายก้าวโดยไม่ให้เป็นที่สังเกตแล้วเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม “ญาติผู้น้องมาหามีเรื่องใดหรือ ข้าดื่มสุราเพิ่งกลับมา กำลังเตรียมจะชำระกาย…”
ตู้เฟยเสวี่ยโผไปหาเขา “ญาติผู้พี่…”
จูเยี่ยนซึ่งเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้วเบี่ยงกายออกด้านข้าง ส่งผลให้นางโผเข้าใส่ความว่างเปล่าจนเสียหลักหน้าคะมำ
ชายหนุ่มย่อมจะไม่มองดูนางล้มกระแทกพื้นอย่างน่าอนาถต่อหน้าต่อตาเป็นธรรมดา เขายื่นมือพยุงนางไว้
ตู้เฟยเสวี่ยเงยหน้าขึ้นแล้วยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา “ญาติผู้พี่ ท่านยังเป็นห่วงข้าอยู่ใช่หรือไม่”
จูเยี่ยนคลายมือออกพร้อมถอนใจเฮือก เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังมาก “น้องเฟยเสวี่ย ข้าต้องเป็นห่วงเจ้าแน่นอน ก็เหมือนกับที่เหยียนเอ๋อร์ห่วงใยเจ้า พวกข้าล้วนเห็นเจ้าเป็นเช่นน้องสาว…”
เด็กสาวสั่นศีรษะ “ญาติผู้พี่ ข้าไม่อยากเป็นน้องสาวของท่าน...”
จูเยี่ยนยกยิ้ม “น้องเฟยเสวี่ย เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหากเจ้าไม่ใช่ญาติผู้น้องของพวกข้าแล้วจะอาศัยอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเล่า เจ้ามีฐานะเป็นญาติของสกุลจู ข้าต้องเห็นเจ้าเป็นน้องสาวแน่นอน”
แม้นจูเยี่ยนจะกล่าวคำนี้อย่างอ้อมค้อม แต่มีความหมายชัดเจนเหลือเกินว่า ‘ถ้าตู้เฟยเสวี่ยเป็นสตรีที่ไม่มีสายสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน จะมีสิทธิ์เป็นน้องสาวของเขาได้ที่ใดกัน’
นางกะพริบตาปริบๆ พาน้ำตาไหลรินลงมาเป็นสาย “ญาติผู้พี่…”
ขอร้องท่านล่ะ อย่าหมั้นหมายได้หรือไม่ รออีกสองปีกว่าข้าจะพยายามกลายเป็นคนอย่างที่ท่านชมชอบ…
ตู้เฟยเสวี่ยร้องตะโกนคำนี้อยู่ในใจ แต่มิได้เอ่ยเอื้อนออกจากปาก
นางยังไม่โง่เขลาถึงขั้นนั้น การแต่งงานของญาติผู้พี่เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว
นางเพียงทำใจยอมรับไม่ได้
ทั้งที่นางมีจิตปฏิพัทธ์ต่อญาติผู้พี่มาแต่เยาว์วัย ความวาดหวังใดๆ ล้วนเกี่ยวข้องกับเขา นางเก็บเขาไว้กลางใจอย่างทะนุถนอม กระทั่งพี่เจี่ยวซึ่งสนิทสนมกันที่สุดนางก็ไม่อยากเอ่ยถึงความในใจที่หวานล้ำแกมขมปร่านี้ ด้วยหวั่นใจว่าคนอื่นจะเห็นความดีในตัวญาติผู้พี่แล้วโอกาสที่นางจะได้ออกเรือนไปกับเขาในวันข้างหน้าก็จะยิ่งน้อยลงอีก
นางทั้งตั้งความหวังทั้งเฝ้ารอคอยมาเนิ่นนานปานนี้ เหตุใดคนอื่นไม่ต้องทำอะไรก็ได้รับสิ่งที่นางใฝ่ฝันอย่างง่ายดายนักเล่า
นี่ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ!
จูเยี่ยนมองดูเด็กสาวหลั่งน้ำตาอย่างไร้สุ้มเสียงเงียบๆ พอเห็นนางร้องไห้จนพอใจแล้วก็ถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง พูดปลอบเสียงนุ่มว่า “ญาติผู้น้อง กลับห้องไปเถอะ อย่าให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้เข้าแล้วต้องเป็นกังวลเลยนะ”
ตู้เฟยเสวี่ยก้มหน้างุดเพ่งสายตามองปลายเท้า “ญาติผู้พี่ ท่านพึงใจในตัวคุณหนูซูหรือไม่”
เขาไม่กล่าวตอบคำใด
นางเงยหน้าขวับ ดวงตาเป็นประกาย “ญาติผู้พี่ ท่านไม่ชมชอบนางใช่หรือไม่”
จูเยี่ยนกลั้นยิ้มไม่อยู่ “คำถามนี้ข้าไม่อาจตอบเจ้าได้ในตอนนี้”
สีหน้าของเด็กสาวฉายแววงุนงง
เขารู้ว่าหากไม่พูดให้กระจ่างแจ้งวันหน้าจะไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งสิ้น จึงเอ่ยอธิบายอย่างใจเย็น “ข้ากับคุณหนูซูไม่เคยอยู่ด้วยกันตามลำพังมาก่อน เป็นธรรมดาที่ไม่อาจบอกว่าชมชอบหรือไม่ ทว่าข้าเชื่อว่าในอนาคตข้ากับนางสามารถอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองได้ ขอเพียงนางเป็นสตรีที่ดี ข้าก็ต้องชมชอบแน่”
“หรือไม่ว่าเป็นสตรีคนใดๆ ที่กลายเป็นภรรยาของท่าน ท่านล้วนชมชอบใช่หรือไม่” ตู้เฟยเสวี่ยเกลียดคำอธิบายของเขานัก
จูเยี่ยนหยักยิ้ม “ไม่แน่เสมอไป แต่ในเมื่อนั่นเป็นภรรยาข้า เพราะอะไรจะไม่พยายามลองดูให้เต็มที่เล่า”
ตู้เฟยเสวี่ยอ้าปากแล้วหุบปาก นางจับจ้องดวงหน้าซึ่งระบายด้วยรอยยิ้มนุ่มนวลทว่าสงบนิ่งไม่บ่งบอกอารมณ์ใดของชายหนุ่มแล้วในใจก็สิ้นหวัง ก่อนจะปิดหน้าหันหลังวิ่งออกไป
นานครู่ใหญ่ต่อมาเด็กรับใช้เคลื่อนกายเข้ามาเงียบๆ เปล่งเสียงเรียก “ซื่อจื่อ…”
จูเยี่ยนชำเลืองมองเขาอย่างเฉยเมยพร้อมพูดกำชับ “เรื่องในวันนี้อย่าแพร่งพรายออกไป”
“ซื่อจื่อวางใจได้ ข้าทราบดีขอรับ”
“ออกไปเถอะ”
เมื่อเด็กรับใช้ออกจากห้องไป จูเยี่ยนหยิบหนังสือเล่มหนึ่งบนชั้นวางแล้วนั่งลงเริ่มเปิดอ่านอย่างช้าๆ
ด้านตู้เฟยเสวี่ยกลับถึงเรือนพำนักก็ซบหน้ากับหมอนร้องไห้ฟูมฟายยกหนึ่ง ถึงไปนั่งหน้าคันฉ่องประทินโฉมส่องดูเงาของตนเองที่ตาบวมช้ำเหมือนลูกท้ออย่างเหม่อลอย จากนั้นส่งคนถือสารไปให้หลีเจี่ยวที่วังรุ่ยอ๋อง
นับแต่หลีเจี่ยวเข้าสู่วังรุ่ยอ๋อง นับวันภายในใจนางก็หวาดหวั่นวิตกมากขึ้นทุกที
เดิมทีนางนึกว่ารุ่ยอ๋องติดเนื้อพึงใจนางตั้งแต่แรกพบ แต่บัดนี้เห็นชัดว่าหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ช่วงที่ผ่านมารุ่ยอ๋องไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวนางเลย
ตอนแรกๆ รุ่ยอ๋องยังเข้ามาในห้องของนาง นางสงวนท่าทีอยู่หลายวันก็พบว่าสถานการณ์ชักไม่เข้าที ครั้นจงใจเป็นฝ่ายเสนอตัวบ้าง คิดไม่ถึงว่านับแต่นั้นเป็นต้นมารุ่ยอ๋องไม่แม้แต่ย่างเท้าเข้าประตูห้องนางแล้ว!
หลีเจี่ยวเดินอยู่ในสวนดอกไม้กว้างใหญ่เทียบเท่ากับจวนสกุลหลีทั้งหลังได้ เห็นพวกบ่าวไพร่พูดคุยกระซิบกระซาบกันก็รู้สึกว่าพวกนางกำลังหัวเราะเยาะตนอยู่
หลีเจี่ยวกลับเข้าห้องด้วยความหงุดหงิดว้าวุ่นแล้วนั่งลงที่ข้างโต๊ะอย่างอัดอั้นตันใจ นางหยิบหนังสือเรื่องเล่าที่อ่านไปครึ่งๆ กลางๆ มาอ่านครู่หนึ่งแต่กลับอ่านไม่รู้เรื่องสักนิด
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูตู้จากจวนไท่หนิงโหวส่งสารมาให้ท่าน”
หลีเจี่ยวถลึงตาใส่ซิ่งเอ๋อร์ “บอกตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว ห้ามเรียกข้าว่าคุณหนูอีก ให้คนอื่นได้ยินเข้าจะคิดอย่างไร”
ซิ่งเอ๋อร์พูดยอมรับผิดอย่างลุกลน
“ช่างเถอะ เอาสารของคุณหนูตู้มา”
หลีเจี่ยวเปิดสารของตู้เฟยเสวี่ยออกอ่านแล้วหัวร่อในใจ ทว่าสีหน้านางเรียบเฉยจนอ่านความรู้สึกใดๆ ไม่ออก
ญาติผู้น้องที่ยกตนสูงส่งเลิศลอยประหนึ่งธิดาคนโปรดของสวรรค์ยามอยู่กับนางก็มีเวลาที่อับจนหนทางเช่นนี้เหมือนกัน
ถึงได้บอกว่ามีบุตรสาวที่กำพร้ามารดาคนใดบ้างไม่น่าเวทนา
ตู้เฟยเสวี่ยชมชอบซื่อจื่อสกุลจูตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่าของไท่หนิงโหวไม่เคยแสดงเจตนาอยากผูกดองกันอีกชั้นหนึ่ง แต่เห็นพวกผู้เยาว์ไปมาหาสู่กันก็มิได้ห้ามปราม หากจูซื่อท่านน้าสะใภ้ของนางยังมีชีวิตอยู่ ร้องไห้อ้อนวอนฮูหยินผู้เฒ่าของไท่หนิงโหวสองสามคำ ใช่ว่าตู้เฟยเสวี่ยจะไม่มีโอกาสแต่งเข้าตระกูลของท่านตาตนเอง
เพียงน่าเสียดายที่จูซื่อตายไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรฐานะของหลานสาวต่างสกุลหากเทียบกับบุตรสาวแท้ๆ แล้วนับเป็นญาติที่ห่างออกไปชั้นหนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าของไท่หนิงโหวก็ต้องใคร่ครวญพิจารณามากขึ้น
เมื่อคนเรามีสติอยู่เหนืออารมณ์ ไหนเลยจะไม่แจ่มแจ้งว่าตู้เฟยเสวี่ยมิใช่ผู้เหมาะสมจะเป็นฮูหยินของซื่อจื่ออย่างเด็ดขาดเล่า
หลีเจี่ยวไม่ได้เขียนสารตอบ แต่ให้ซิ่งเอ๋อร์นำความไปบอกที่จวนไท่หนิงโหวโดยตรง
“คุณหนูตู้ บัดนี้คุณหนูของข้าอยู่ในวังอ๋องแล้วทำอะไรไม่สะดวกเท่าอยู่เรือนเดิม รอเมื่อท่านออกทุกข์แล้วค่อยคิดวิธีรับท่านไปเที่ยวเล่นที่วังอีกทีนะเจ้าคะ” ซิ่งเอ๋อร์บอกความประสงค์ของหลีเจี่ยวแล้วลอบส่ายหน้า
มารดาแท้ๆ ของคุณหนูตู้ผู้นี้เพิ่งจากไปตอนเดือนสิบสองปีที่แล้ว กระทั่งบ่าวรับใช้อย่างนางยังรู้ว่าสมควรสวมชุดผ้าดิบ กินมังสวิรัติ ไม่ออกไปพบเจอผู้คน ไฉนคุณหนูตู้กลับไม่ใส่ใจเลยเล่า
“ข้ารู้แล้ว” ตู้เฟยเสวี่ยกล่าวคำหนึ่งอย่างหมดอาลัยตายอยากแล้วบอกให้ซิ่งเอ๋อร์กลับไป
ผ่านไปไม่กี่วันเฉียวเจาได้รับเทียบเชิญใบหนึ่ง
ฮ่องเต้หมิงคังเศร้าโศกกับการตายของเจียงถังจนไม่มีแก่จิตแก่ใจจะสนใจงานบันเทิงเริงใจใดๆ จึงสั่งให้รุ่ยอ๋องกับมู่อ๋องช่วยกันรับรองทูตจากซีเจียง
หลายปีมานี้รุ่ยอ๋องกับมู่อ๋องไม่ได้พบหน้าพระบิดาเลยจนแทบจะจำหน้าเขาไม่ได้แล้ว ครั้นนานทีปีหนจะมีโอกาสได้แสดงผลงานให้ประจักษ์แก่ตาของพระบิดาเช่นนี้ มีหรือจะไม่ทุ่มกายทุ่มใจทำอย่างเต็มที่ งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริกเป็นพิเศษ เชิญบุคคลที่มีหน้ามีตาและสตรีสูงศักดิ์แทบจะทั้งเมืองหลวงมาเป็นแขก
เฉียวเจามองเทียบเชิญพิมพ์ลายอย่างงดงามวิจิตรแวบเดียวก็วางลง คลี่ยิ้มกล่าวกับเซ่าหมิงยวนว่า “ในเมื่อเชื้อเชิญคนตั้งมากถึงเพียงนี้ เพิ่มข้าคนหนึ่งก็ไม่ทำให้มากขึ้น ขาดข้าคนหนึ่งก็ไม่ทำให้น้อยลง ดังนั้นข้าไม่ไปร่วมความครึกครื้นนี้ล่ะ”
เซ่าหมิงยวนย่อมไม่ฝืนใจเฉียวเจา เขากล่าวตามประสาช้างเท้าหลังที่ดี “ไม่ไปก็ไม่ไป เช่นนั้นข้าบอกปัดด้วยแล้วกัน”
งานเลี้ยงฉลองรื่นเริงไร้แก่นสารพรรค์นี้ เขาก็เบื่อหน่ายไม่อยากไปอยู่แล้ว