หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 625
บทที่ 625
หลีเจี่ยวกลับสกุลเดิมทั้งที กลับไม่ได้พบทั้งฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทั้งคุณหนูสามสกุลหลี แต่นางก็ไม่อยากเจอหน้าเหอซื่อ สุดท้ายคนที่กินอาหารเป็นเพื่อนนางคือนายหญิงรองหลิวซื่อ
ฝ่ายหลิวซื่อนั้นไม่ได้อารมณ์ดีไปกว่ากันเท่าไร นางยังจัดการสะสางปัญหาน่ากลัดกลุ้มพวกนั้นของตนไม่เรียบร้อย ไหนเลยจะมีแก่ใจกินอาหารกับหลานสาวในตระกูลที่เป็นอนุ
แต่ขณะนี้เหล่าเจ้านายในจวนล้วนไม่ย่างเท้าออกนอกประตู นางจะไม่อยู่เป็นเพื่อนก็ไม่เหมาะสม
หลิวซื่อลอบชายตามองหลีเจี่ยวแล้วเม้มมุมปาก
พวกอนุก็น่ารำคาญเช่นนี้เอง เวลานี้ไม่อยู่ในวังอ๋องอย่างสงบเสงี่ยม จะกลับมาทำอะไร
“ท่านอาสะใภ้รองดูซูบลงนะเจ้าคะ” หลีเจี่ยวทำสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
ในจวนตะวันตกมีคุณหนูทั้งหมดสี่คน นางเข้าไปอยู่วังอ๋อง หลีซานหมั้นหมายกับกวนจวินโหว เหลือเพียงบุตรสาวสองคนของหลิวซื่อที่ยังไร้วี่แวว หลิวซื่อก็คงจะรู้สึกว่าโดนมารดาเลี้ยงของนางข่มจนโงศีรษะไม่ขึ้นเหมือนกัน
หากเป็นเช่นนี้นางสามารถตีสนิทกับท่านอาสะใภ้รองผู้นี้ให้มากๆ ได้
หลิวซื่อฟังแล้วทำหน้ายิ้มๆ “เป็นอาการเฉาในฤดูร้อนน่ะ”
นางไม่สนใจอยากพูดคุยสัพเพเหระกับคุณหนูใหญ่หรอก
อาการเฉาในฤดูร้อน? หลีเจี่ยวเกือบรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไม่อยู่
นี่เพิ่งเข้าฤดูใบไม้ผลิ จะมีอาการเฉาในฤดูร้อนประสาอะไรกัน
ช่างเถิด อาหารมื้อนี้คงกินกันไม่ลงแล้ว นางไปหาน้องสามดีกว่า นับๆ ดูแล้ววันนี้เป็นวันพักของเขาพอดี
หลีเจี่ยวส่งสาวใช้ไปเชิญหลีฮุยมาพบ ไม่นานนักซิ่งเอ๋อร์กลับมาบอกความว่า “คุณหนู คุณชายสามบอกว่าท่านเป็นผู้สูงศักดิ์ของวังอ๋อง วันนี้ต่างจากวันวาน ถึงแม้เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันก็ไม่เหมาะสมจะพบกันตามลำพัง ขอเชิญท่านกลับไปเร็วๆ เถอะเจ้าค่ะ”
ซิ่งเอ๋อร์พูดอย่างอ้อมค้อม นางหวนนึกถึงสีหน้าของคุณชายสามยามกล่าววาจานี้แล้วลอบทอดถอนใจ
ใบหน้าหลีเจี่ยวประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวเขียว นางรั้งอยู่ต่อไปไม่ได้อีก จำต้องข่มโทสะในอกกลับไปยังวังอ๋อง
รุ่ยอ๋องกำลังตั้งตารอคอยอยู่ ได้ยินว่าหลีเจี่ยวกลับมาก็เดินไปหานางทันที
“คุณหนูหลีซานยังคงไม่มาร่วมงานหรือ”
“เพคะ ท่านย่าไม่ค่อยสบาย น้องเจาต้องเฝ้าไข้ไม่อยากออกจากเรือนไปงานเลี้ยงเพคะ” หลีเจี่ยวพูดปดโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี
นางไม่อยากบอกความจริงว่าไม่ได้เจอหลีซาน เกิดท่านอ๋องให้นางไปอีกหน ถึงเวลาหลีซานยังไม่ไปอยู่ดี เช่นนั้นนางก็ต้องขายหน้าแล้ว
รุ่ยอ๋องลุกขึ้นยืน
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันชงพระสุธารสชา…”
เขาโบกมือไปมา “ไม่ต้องแล้ว ข้ายังมีธุระ เจ้าดื่มเองเถอะ”
“ท่านอ๋อง…” หลีเจี่ยวจะจับแขนเสื้อของรุ่ยอ๋องไว้ก็ยังไม่ทัน ได้แต่มองเขาเดินห่างไปไกลตาปริบๆ นางโมโหจนปัดถ้วยน้ำบนโต๊ะตัวเล็กหล่นลงไปบนพื้น
ซิ่งเอ๋อร์ลุกลนวิ่งเข้ามาส่งเสียงเรียกอย่างระมัดระวัง “อี๋เหนียง…”
หลีเจี่ยวถลึงตาใส่นางอย่างดุดัน “เจ้าเป็นท่อนไม้รึถึงมัวยืนทื่ออยู่ได้ ยังไม่รีบเก็บกวาดอีก”
“เจ้าค่ะ”
หลีเจี่ยวได้ยินเสียงซิ่งเอ๋อร์เก็บกวาดของก็หงุดหงิดวุ่นวายใจ นางทุบหมอนสุดแรงแล้วลุกขึ้นยืน
จะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ ขณะนี้นางยังเป็นอนุคนใหม่ ท่านอ๋องก็ไม่แตะต้องนางแล้ว วันหน้าจะยิ่งไม่มีความหวังหรือไร
หลีเจี่ยวออกจากห้องไปเดินเรื่อยเปื่อยในสวนดอกไม้อย่างไร้จุดหมาย พลันได้ยินเสียงพูดแผ่วเบาลอยมาแว่วๆ จากหลังพุ่มไม้เป็นคำว่า ‘รุ่ยอ๋อง’ ก็อดหยุดฝีเท้าเงี่ยหูฟังไม่ได้
“จะว่าไปแล้ว อี๋เหนียงที่เข้าวังมาคนใหม่ช่างน่าสงสารจริงๆ ยังอ่อนเยาว์ประหนึ่งบุปผาแรกแย้มก็ต้องเฝ้าห้องหอเดียวดายทุกค่ำคืน…”
“ข้าก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน ในเมื่อท่านอ๋องมิได้ชมชอบอี๋เหนียงคนใหม่ เหตุใดถึงรับนางเข้าวังเล่า”
คนกล่าววาจาคนแรกหัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่งก่อนพูดอย่างมีนัยล้ำลึก “ท่านอ๋องไม่ชมชอบที่ใดกัน…”
ต่อจากนั้นก็เงียบเสียงไป บันดาลให้หลีเจี่ยวลอบกำมือเป็นหมัดด้วยความร้อนใจ
คนผู้นี้หมายความว่าอะไร หรือว่าท่านอ๋องไม่แตะต้องข้ามีเบื้องหลังแอบแฝงอยู่ ไฉนไม่พูดต่อเล่า!
“อ้าว หากเป็นเช่นที่เจ้ากล่าว ท่านอ๋องก็ชมชอบอี๋เหนียงคนใหม่น่ะสิ ข้าไม่เชื่อหรอก ถ้าท่านอ๋องชมชอบจะไม่ย่างเท้าเข้าห้องนางเลยหรือ ข้ายังจำได้ว่าเมื่อหนึ่งปีที่แล้วตอนอวิ๋นอี๋เหนียงเข้าวังมา ท่านอ๋องนอนที่ห้องนางอยู่นานสามเดือนเชียวนะ”
หลีเจี่ยวที่แอบฟังอยู่หน้าแดงก่ำด้วยความอาย นางเคยเห็นอวิ๋นอี๋เหนียงผู้นั้น ว่ากันถึงรูปโฉมเทียบกับนางแล้วห่างชั้นกันไกล ได้ยินว่าเป็นสาวชาวบ้านที่ซักผ้าอยู่ริมธารผู้หนึ่ง ท่านอ๋องไปพบเข้าโดยบังเอิญตอนออกท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ
แค่สตรีผู้หนึ่งเช่นนี้ยังรั้งตัวท่านอ๋องไว้ในห้องได้ถึงสามเดือน แต่นางยังไม่ได้ร่วมหอกับท่านอ๋องจนบัดนี้
ตกลงเป็นเหตุผลใดกันแน่…
หลีเจี่ยวหลับตาลง แทบอยากถลันเข้าไปถามใจจะขาด
โชคดีที่คนผู้นั้นโดนอีกคนหนึ่งถามซักไซ้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงปริปากพูดต่อ “ท่านอ๋องไม่ได้ไม่ชมชอบอี๋เหนียงคนใหม่ แต่จนใจน่ะสิ”
“เอ๊ะ เจ้าจะบอกว่าท่านอ๋องไม่ไหวแล้วหรือ”
หลีเจี่ยวเผลอเหยียบโดนกิ่งไม้แห้งบนพื้นด้วยความตกตะลึง เคราะห์ดีที่ถูกเสียงร้องอุทานของอีกคนหนึ่งกลบทับไป นางตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นทั่วกาย
“ข้าทำงานอยู่ในสำนักแพทย์ประจำวังอ๋องมิใช่หรือ ท่านอ๋องต้องเสวยโอสถแทบจะวันเว้นวันก็เพื่อรักษาเรื่องนั้นล่ะ”
หลีเจี่ยวได้ยินแล้วแจ่มแจ้งในบัดดล มิน่าบนตัวท่านอ๋องมักมีกลิ่นยาติดอยู่จางๆ ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง
“แล้วท่านอ๋องยังไหวหรือไม่”
“เหตุใดจะไม่ไหว เพียงแต่กินยานั่นเลยไม่มีความต้องการอะไรนัก เพราะรักษากายใจให้บริสุทธิ์ถึงจะฟื้นฟูร่างกายได้เต็มที่ ข้าได้ยินท่านหมอใหญ่ประจำวังอ๋องพูดว่าพระวรกายของท่านอ๋องอ่อนแอไปบ้าง บำรุงฟื้นฟูอีกสักปีสองปีก็ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นอี๋เหนียงคนใหม่จะไม่น่าเวทนาหรอกหรือ สองปีให้หลังท่านอ๋องยังจำได้หรือไม่ว่านางเป็นใคร”
“นั่นน่ะสิ ความจริงแล้วท่านอ๋องไม่ใกล้ชิดสตรีมาเกือบหนึ่งปีเพื่อถนอมร่างกายและจิตใจมานานปานนี้ เป็นช่วงที่ทำให้สตรีตั้งครรภ์ได้ง่ายที่สุด น่าเสียดายที่อี๋เหนียงในวังอ๋องพวกนี้ล้วนไร้วาสนา…”
“เอาล่ะ อย่าพูดเรื่องส่วนตัวของท่านอ๋องอีกเลย ระวังจะมีใครได้ยินเข้า พวกเราคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว”
เสียงทั้งคู่เดินห่างไปไกลดังสวบสาบ หลีเจี่ยวก้าวออกมาอย่างเชื่องช้า ดวงหน้านางนิ่งเรียบดุจบึงน้ำลึก หากในดวงตาคล้ายมีเปลวไฟเต้นระริก
วันต่อมารุ่ยอ๋องซึ่งฝากฉือชั่นนำความไปบอกก็ได้รับคำตอบตกลงไปร่วมงานเลี้ยงของกวนจวินโหว แต่เขากลับอารมณ์ไม่ค่อยดี
ใช้หนี้น้ำใจไปเช่นนี้ไม่คุ้มค่าอย่างมากจริงๆ แต่เขารับปากเจ้าหกว่าจะเชิญกวนจวินโหวให้ได้ ถ้าทำไม่สำเร็จก็ต้องขายหน้าอีก
ช่างเถอะ ใช้หนี้น้ำใจไปแล้วก็ใช้ไป ยังมีสายสัมพันธ์เป็นญาติกับอาลักษณ์หลีชั้นนั้นอยู่ ไม่ต้องกลัวว่าวันหน้าจะไม่มีโอกาสสนิทสนมกับกวนจวินโหว
รุ่ยอ๋องปลอบใจตนเองแล้วสาวเท้าไปที่ห้องของหลีเจี่ยว
นางเห็นรุ่ยอ๋องมาหาก็แอบดีใจ
“กลิ่นอะไร” รุ่ยอ๋องสูดจมูกดมเบาๆ หลายที
“เป็นเครื่องหอมที่หม่อมฉันนำมาจากเรือนเดิม หากท่านอ๋องไม่คุ้นกลิ่น หม่อมฉันก็จะเปลี่ยนเพคะ”
“ไม่ต้อง กลิ่นหอมดี จริงสิ เมื่อวานเจ้าบอกว่าจะชงชา หรือว่าเจี่ยวเหนียงยังช่ำชองศาสตร์การชงชาอีกด้วย” เมื่อนึกถึงที่ตนหมางเมินนางเมื่อวานนี้ รุ่ยอ๋องก็นึกสงสารเห็นใจอยู่บ้าง
“ไม่ถึงกับช่ำชองเพคะ เพียงศึกษาอย่างผิวเผิน หากท่านอ๋องอยากเสวยพระสุธารสชา หม่อมฉันจะชงถวายเพคะ” หลีเจี่ยวรู้สึกว่าทุกอย่างราบรื่นไปหมด ถึงทีแรกรุ่ยอ๋องไม่เอ่ยถึง นางก็จะหันเหหัวข้อสนทนาไปที่น้ำชาอยู่แล้ว
“ดี”
หลีเจี่ยวหยิบเครื่องใช้สำหรับชงชาออกมาแล้วเริ่มสำแดงฝีมือ
เด็กสาวสงบเยือกเย็นดุจสตรีผู้บริสุทธิ์สูงส่ง ทุกๆ อิริยาบถแลดูสง่างามแช่มช้อย ท่ามกลางกลิ่นหอมของชาที่ลอยอวลอยู่ รุ่ยอ๋องอดมองอย่างเคลิบเคลิ้มไม่ได้
“ท่านอ๋อง เชิญเสวยพระสุธารสชาเพคะ” หลีเจี่ยวก้มหน้ายิ้มน้อยๆ ขณะยกถ้วยน้ำชาด้วยสองมือยื่นให้
รุ่ยอ๋องรับมาดื่ม เขามองดูเด็กสาวที่มีรูปโฉมดุจภาพวาดเบื้องหน้าแล้วไฟปรารถนาในอกพลันพลุ่งพล่านขึ้นอย่างสุดระงับ อีกทั้งยิ่งลุกโชนโหมแรง
เขายื่นมือไปจับข้อมือนางไว้
“ท่านอ๋อง” หลีเจี่ยวอุทานอย่างตกใจทว่ามิได้หลบหลีก นางเบิกดวงตาสุกใสเพ่งมองบุรุษที่อยู่ใกล้เพียงคืบ ก่อนจะรวบรวมความกล้ายื่นริมฝีปากสีแดงไปให้เขาได้ลิ้มชิมรส…