หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 628
บทที่ 628
พระชายาของมู่อ๋องชั่งใจครู่หนึ่ง
ในงานเลี้ยงตามปกติ พวกเด็กสาวมาชุมนุมตัวกันแล้วแสดงความสามารถ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่แสนธรรมดาสามัญ ฮูหยินจากทุกๆ จวนยังได้ฉวยจังหวะนี้สังเกตดูว่าคุณหนูคนใดมีนิสัยใจคอดีหรือคนใดฉลาดมีไหวพริบ พูดได้ว่าเป็นเรื่องพึงปรารถนาของทุกคนเลยทีเดียว
กระนั้นคราวนี้ต่างออกไป เมื่อเป็นการประชันระหว่างสองแคว้นก็มิได้ง่ายดายปานนั้นแล้ว
นางอยู่ในฐานะพระชายาของมู่อ๋องรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงฝั่งแขกสตรี หากเกิดความผิดพลาดขึ้นต้องโดนมู่อ๋องตำหนิโทษเป็นแน่
ตามประวัติศาสตร์ในหลายยุคหลายสมัยล้วนเป็นซีเจียงที่ถวายเครื่องราชบรรณาการให้ต้าเหลียง ทันทีที่ตอบรับการประชันแล้วหญิงสาวสูงศักดิ์ของต้าเหลียงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็ต้องอับอายขายหน้า ในทางกลับกันถ้ารังแกฝ่ายองค์หญิงซีเจียงมากเกินไป ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีอีกเช่นกัน
ไม่ว่าเป็นทางใด นี่ล้วนเป็นสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
องค์หญิงซีเจียงเห็นพระชายาของมู่อ๋องลังเลใจก็เลิกคิ้วพลางคลี่ยิ้ม “แน่นอนว่าหากมู่หวังเฟยดื่มสุราไม่เก่งก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดเถอะ”
นี่คือเยาะเย้ยเป็นนัยๆ ว่าต้าเหลียงไม่กล้าประลองฝีมือ
คำกล่าวนี้ยั่วยุให้เหล่าหญิงสาวสูงศักดิ์ของต้าเหลียงโกรธเคืองขึ้นมาทันใด
“มู่หวังเฟยทรงเป็นอะไรไป ต้าเหลียงเรามีขนบประเพณีสืบทอดต่อมาอย่างยาวนาน ยังต้องกลัวการประชันความสามารถกับแคว้นเล็กๆ อย่างซีเจียงด้วยหรือไร”
“นั่นน่ะสิ หรือว่าพวกเรายังเทียบหญิงสาวสูงศักดิ์ของซีเจียงไม่ได้ มู่หวังเฟยลังเลพระทัยในตอนนี้ ช่างน่าแคลงใจจริงๆ…”
มาตรว่าคุณหนูทั้งหลายจะส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ แต่ยังลอยแว่วมากระทบหูพระชายาของมู่อ๋องอยู่บ้างประปราย
นางรักษารอยยิ้มบนใบหน้าแสดงความใจกว้างไว้ “ในเมื่อองค์หญิงมีอารมณ์สุนทรีย์เช่นนี้ ข้าในฐานะเจ้าภาพย่อมต้องขอร่วมสนุกด้วย”
เพลานี้บรรดาหญิงสาวสูงศักดิ์ต้าเหลียงพากันพยักหน้าเผยรอยยิ้มออกมา
พระชายาสมควรพูดเช่นนี้แต่แรกแล้ว จะได้ไม่ลดทอนบารมีของฝ่ายตนเอง
“ไม่ทราบว่าองค์หญิงอยากประลองความสามารถเชิงใดหรือ” พระชายาของมู่อ๋องเสนอให้องค์หญิงซีเจียงเป็นผู้เลือก การทำเช่นนี้สำแดงให้เห็นถึงศักดิ์ศรีของต้าเหลียงอย่างเต็มที่ นับว่าโต้กลับได้ยกหนึ่ง
องค์หญิงซีเจียงแย้มยิ้มพริ้มพราย “มิสู้จับไม้ติ้วกันจะดีกว่า ดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร วาดภาพ ร่ายรำ จัดดอกไม้ ชงน้ำชา ขว้างธนูลงคนโท หรือยิงธนูจับได้อันใดพวกเราก็แข่งอันนั้น”
จิตใจของมู่หวังเฟยหนักอึ้งขึ้นหลายส่วน
แต่ไรมาซีเจียงนับถือต้าเหลียงเป็นอาจารย์ในทักษะเหล่านี้ ทว่าน้ำเสียงขององค์หญิงซีเจียงออกจะเชื่อมั่นในตนเองเกินไปแล้ว
อีกฝ่ายได้ความมั่นใจนี้มาจากที่ใดกันแน่
เหตุการณ์มาถึงขั้นนี้ไม่ว่ามู่หวังเฟยจะชั่งน้ำหนักในใจเช่นไร การประชันของทั้งสองฝ่ายก็เปรียบได้ดั่งลูกธนูขึ้นสายเต็มเหนี่ยวแล้วไม่ยิงไม่ได้
“ตกลง ทำตามที่องค์หญิงพูดเถอะ” มู่หวังเฟยสั่งให้นางกำนัลหยิบกระบอกไม้ติ้วมา “องค์หญิงเป็นอาคันตุกะจากแดนไกลก็ให้ท่านเป็นฝ่ายจับก่อน”
องค์หญิงซีเจียงรับกระบอกไม้ติ้วงาช้างสลักลายมาเขย่าๆ ตามสบายจนไม้ติ้วหล่นออกมาอันหนึ่ง นิ้วมือนวลเนียนเรียวเล็กซึ่งทาเล็บสีแดงยื่นไปเก็บไม้ติ้วขึ้น
นางมองปราดเดียวแล้วอดยิ้มไม่ได้ “เป็นขว้างธนูลงคนโทหรือนี่”
ขว้างธนูลงคนโท?
คุณหนูทั้งหลายมองหน้ากันไปมาแล้วต่างรู้สึกว่าชักไม่เข้าที
หากประชันทักษะในศาสตร์ทั้งสี่ คุณหนูหลายท่านที่มีฝีมือโดดเด่นของชุมนุมฟู่ซานล้วนอยู่ที่นี่ในวันนี้ ย่อมไม่ต้องกลัวเกรงชาวซีเจียงพวกนี้อย่างแน่นอน แต่พอเอ่ยถึงการขว้างธนูลงคนโท พวกนางนึกถึงคนเพียงคนเดียวคือเจียงซือหร่าน
นางเป็นบุตรสาวของผู้บัญชากององครักษ์จินหลิน มีฝีมือในด้านยิงธนูและขว้างธนูลงคนโทดีเลิศเหนือผู้ใด และได้เข้าสู่ชุมนุมฟู่ซานด้วยเหตุนี้ ทั้งยังได้เป็นหนึ่งในรองหัวหน้าชุมนุม
น่าเสียดายที่คุณหนูใหญ่สกุลเจียงจบชีวิตอย่างไม่คาดฝันไปแล้ว นอกจากเจียงซือหร่าน พวกนางไม่เคยได้ยินว่าคุณหนูตระกูลใดเชี่ยวชาญในทักษะนี้
“มู่หวังเฟยเป็นผู้บอกว่าจะประชันอย่างไรเถอะ”
พระชายาของมู่อ๋องกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ในเมื่อองค์หญิงสุ่มไม้ติ้วเป็นคนแรก จะประชันอย่างไรก็สุดแท้แต่ท่านเถอะ”
องค์หญิงซีเจียงนิ่งคิดครู่เดียว เรียวคิ้วที่เขียนแต่งอย่างสวยงามก็คลายออก “มู่หวังเฟยเห็นว่าเช่นนี้ดีหรือไม่ พวกเราแบ่งการประลองฝีมือเป็นหลายๆ แขนงและให้ทั้งสองฝ่ายส่งคนออกมาหนึ่งคนแล้วเริ่มดวลกัน คนใดแพ้คนในฝ่ายของนางทุกคนต้องถูกทำโทษดื่มสุราจอกหนึ่ง จากนั้นเปลี่ยนคนลงแข่งขันคนใหม่ ทั้งสองฝ่ายส่งคนออกมาฝ่ายละหกคน คนชนะสามารถแข่งต่อไปได้เรื่อยๆ ส่วนคนแพ้ออกไปแล้วลงแข่งอีกไม่ได้ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มีคนลงแข่งได้อีกก็ถือว่าแพ้ราบคาบ พวกเราค่อยจับไม้ติ้วเริ่มดวลฝีมือเชิงอื่นต่อ”
มู่หวังเฟยฟังแล้วไม่มีอะไรไม่เหมาะสม นางตรึกตรองชั่วครู่แล้วเอ่ยถาม “แล้วหกคนนี้ต้องเลือกออกมาก่อนหรือไม่”
องค์หญิงซีเจียงตวัดสายตามองใบหน้าเหล่าหญิงสาวสูงศักดิ์ของต้าเหลียงอย่างว่องไวก่อนคลี่ยิ้มอ่อนหวานกล่าวว่า “ไม่ต้องกระมัง เดิมทีก็เป็นงานเลี้ยงรื่นเริง ทุกคนล้วนมีโอกาสร่วมสนุกกัน แต่แน่นอนหากมู่หวังเฟยอยากเลือกไว้ล่วงหน้าก็ย่อมได้”
มู่หวังเฟยหัวเราะ นางไม่มีทางเลือกคนไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว
ขณะนี้ฝ่ายพวกนางยังไม่รู้เบื้องหลังความเป็นมาของชาวซีเจียงสักอย่าง เลือกคนไว้ล่วงหน้าจะตกเป็นรองเกินไป
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราเริ่มแข่งกันเถอะ ไม่เช่นนั้นสุราจะเย็นชืดแล้ว”
“ได้”
องค์หญิงซีเจียงเบนหน้าไปส่งเสียงเรียก “อิงน่า เจ้าเป็นคนแรกเถอะ”
สิ้นเสียงนางเด็กสาวซีเจียงมุ่นมวยสูงนางหนึ่งเดินออกมา
องค์หญิงซีเจียงกล่าวแนะนำ “อิงน่าเป็นบุตรสาวของท่านอาของข้า เป็นท่านหญิงของซีเจียงเรา ไม่ทราบว่าคุณหนูท่านใดของแคว้นท่านอยากจะออกมาประลองกับนางสักตั้ง”
คุณหนูทั้งหลายมองไปทางหลันซีหนงอย่างช่วยไม่ได้
ไม่ว่าในใจพวกนางจะไม่พอใจกับความเย่อหยิ่งของหลันซีหนงเยี่ยงไร ในตอนประลองความสามารถเช่นนี้ล้วนเห็นชุมนุมฟู่ซานเป็นแนวหน้าโดยไม่รู้ตัว
มู่หวังเฟยเห็นเช่นนี้ก็แย้มปากยิ้ม “คนวัยอย่างข้าไม่รู้เรื่องรู้ราวหรอกว่าพวกเด็กสาวคนใดเชี่ยวชาญอะไร คุณหนูหลัน มิสู้ให้ท่านเสนอผู้ที่เหมาะสมลงแข่งขันเถอะ ข้าได้ยินว่าในชุมนุมฟู่ซานของพวกท่านมีเด็กสาวที่มีความสามารถล้นเหลืออยู่ไม่น้อย”
“ชุมนุมฟู่ซาน?” องค์หญิงซีเจียงพลันส่งเสียงพูด ครั้นเห็นทุกคนหันมามองตน นางจึงเอ่ยอธิบาย “ข้าได้ยินพี่สะใภ้เคยเอ่ยถึงกิตติศัพท์อันโด่งดังของชุมนุมฟู่ซานว่าเป็นที่ที่คุณหนูผู้มีความสามารถมากที่สุดของต้าเหลียงมารวมตัวกัน และเหล่าสตรีชั้นสูงของต้าเหลียงล้วนปรารถนาอยากเข้าร่วม”
พี่สะใภ้ขององค์หญิงซีเจียงคือองค์หญิงหกซึ่งเสด็จไปอภิเษกสมรสที่ซีเจียงเมื่อสองปีก่อน บัดนี้เป็นฮองเฮาของกษัตริย์ซีเจียงแล้ว
เมื่อได้ยินคำกล่าวขององค์หญิงซีเจียง บรรดาคุณหนูของต้าเหลียงลอบขมวดคิ้ว
องค์หญิงผู้นี้ปากดีจริงๆ พูดเยินยอกันเสียเลิศลอยอย่างนี้ ประเดี๋ยวฝ่ายพวกนางพ่ายแพ้คงอับอายขายหน้าไม่เหลือหลอ
องค์หญิงซีเจียงไม่แยแสสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปของพวกนาง ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มไร้พิษสง “ข้าได้ยินคำบอกเล่าของพี่สะใภ้แล้วใฝ่ฝันถึงชุมนุมฟู่ซานของแคว้นท่านมานาน วันนี้จะได้เห็นประจักษ์เป็นบุญตาแล้วในที่สุด”
“พูดพล่ามมากความจริงๆ” สุ้มเสียงเย็นกระด้างดังขึ้น
องค์หญิงซีเจียงนิ่งขึงไปแล้วมองไปทางต้นเสียง
หลันซีหนงตวาดดุสาวใช้ที่ยกน้ำชามาให้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ข้าให้เจ้ายกน้ำชามาให้ เจ้าก็ยกน้ำชาแบบเดิมมาก็สิ้นเรื่อง ยังจะถามข้าอีกว่าจะดื่มชาเข้มหรือชาอ่อน มีผู้ใดพูดพล่ามมากความถึงเพียงนี้ที่ใดกัน”
พวกคุณหนูรู้ดีแก่ใจว่านางกำลังตีวัวกระทบคราดอยู่ก็พากันก้มหน้าแอบยิ้ม
ด้านองค์หญิงซีเจียงย่อมเข้าใจความนัยของหลันซีหนงเป็นธรรมดา แต่อีกฝ่ายมิได้พูดตรงๆ นางจะยึดเอาเป็นเรื่องเป็นราวก็ไม่เป็นการดี จึงกล่าวกลั้วเสียงหัวร่อ “เช่นนั้นพวกเราเริ่มประลองกันเถอะ”
หลันซีหนงมองพวกสวี่จิงหงแล้วหยุดสายตาที่เด็กสาวผิวกายออกคล้ำนางหนึ่งในตอนท้าย “คุณหนูเซียว รอบนี้ท่านลงแข่งเป็นคนแรกเถอะ”
เซียวหว่านหลิงเป็นบุตรสาวของเซียวเฉียงรองผู้บัญชาการมณฑลทหารจยาหนาน ทักษะการขว้างธนูลงคนโทด้อยกว่าเจียงซือหร่านเพียงขั้นเดียว
หลันซีหนงเข้าใจดีว่าจะเสียกระบวนตั้งแต่การแข่งรอบแรกไม่ได้เป็นอันขาด นางเลือกคนที่ฝีมือดีที่สุดของฝ่ายตนออกไป จะแพ้หรือชนะต่างก็อาศัยความสามารถของตนเอง หากเซียวหว่านหลิงเอาชนะไม่ได้ จะส่งออกไปอีกกี่คนก็มีแต่จะขายหน้าสถานเดียว มิสู้ยอมแพ้ไปเลยแล้วเริ่มรอบใหม่ดีกว่า
เมื่อเซียวหว่านหลิงซึ่งถูกขานชื่อก้าวออกมายืนประจันหน้ากับท่านหญิงของซีเจียง การแข่งขันขว้างธนูลงคนโทก็เปิดฉากขึ้น