หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 63
นี่คือตัวอักษรของน้องเจาหรือขอรับ หลีฮุยก้าวเข้าห้องหนังสือไปมองใกล้ๆ จนหน้าแทบติดกระดาษ
หลีกวงเหวินรีบดึงตัวบุตรชายออก อยู่ห่างๆ หน่อย ขืนมองจนขาดไปจะทำเช่นไร
มองก็ทำให้ขาดได้? นี่นะหรือบิดาบังเกิดเกล้า! หลีฮุยคิดอย่างขุ่นเคืองใจ
ลายมือของน้องเจาผิดแผกจากในกาลก่อนโดยสิ้นเชิงนะขอรับ
นัยน์ตาของหลีกวงเหวินเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม เขาละสายตาจากตัวอักษรที่บุตรสาวเขียนอย่างอาลัยอาวรณ์ มองไปทางบุตรชาย น้องเจาของเจ้ารุดหน้าอย่างรวดเร็วจริงๆ ฮุยเอ๋อร์ เจ้าสมควรพยายามได้แล้ว
ข้ารู้สึกว่าตัวอักษรอย่างนี้หาใช่ผลจากการฝึกปรือในชั่วเวลาอันสั้นขอรับ
ไม่ผิด ฉะนั้นเจ้าสมควรพยายามทุกเมื่อจึงจะถูก
หลีฮุยกล้ำกลืนความน้อยเนื้อต่ำใจไว้ กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ท่านไม่รู้สึกว่าน้องเจาก้าวหน้าเร็วเกินไปบ้างหรือขอรับ
หลีกวงเหวินมองไปทางภาพอักษรแผ่นนั้นซ้ำอีกครา ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม ใช่ พ่อลืมไปว่าในเรื่องนี้ยังมีความแตกต่างในด้านพรสวรรค์อยู่ด้วย
… หลีฮุยมั่นใจแล้วว่านี่มิใช่บิดาบังเกิดเกล้าเด็ดขาด พูดทับถมบุตรชายเยี่ยงนี้ได้ด้วยหรือ
พอเห็นบุตรชายทำสีหน้าหมองหมาง หลีกวงเหวินถอนใจยาวๆ โคลงศีรษะแล้วกล่าวว่า ฮุยเอ๋อร์ต้องพยายามพัฒนาตนเองนะ จะอิจฉาน้องสาวไม่ได้ พ่อได้คิดดูอย่างละเอียดแล้ว ที่ผ่านมาน้องเจาของเจ้าต้องซ่อนคมงำประกายเรื่อยมา ไม่ง่ายดายเลยจริงๆ
มุมปากของหลีฮุยกระตุกริก หากคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่บิดาแท้ๆ เขาคงเหวี่ยงหมัดใส่ไปนานแล้ว
เหตุใดถ้อยคำความหมายใกล้เคียงกัน เป็นท่านพ่อกล่าวออกมาแล้วถึงได้อยากชกคนนักนะ
ลูกขอตัวขอรับ
เอ๊ะ ไม่ชมดูตัวอักษรแผ่นนี้ของน้องเจาของเจ้าให้เต็มตาสักหน่อยหรือ
ข้าสมควรไปสำนักศึกษาหลวงแล้วขอรับ
หลีฮุยเร่งฝีเท้าเดินออกไปแล้วพ่นลมหายใจแรงๆ ระบายความอึดอัดคับข้อง
ท่านพ่ออยู่ในสำนักราชบัณฑิตแต่งตำราพงศาวดารมาได้นานถึงเพียงนี้นี้ ผู้บังคับบัญชาของเขาคงต้องลำบากน่าดู
ซ่อนคม?
หลีฮุยขบคิดตีความคำนี้พลางนึกไปถึงคุณหนูรองหลีเจียวของจวนตะวันออก รอยยิ้มเยาะหยันก็ผุดขึ้นตรงมุมปาก
ญาติผู้น้องผู้นั้นละโมบจนเกินงามโดยแท้ แม้แต่ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาหลวงอย่างเขายังได้ยินวีรกรรมของนาง!
ถ้าเป็นเช่นนี้ หลายปีมานี้บางทีน้องเจาอาจซ่อนคมจริงๆ หาไม่แล้วท่านผู้นั้นจะไม่ฟาดงวงฟาดงาจนอยู่กันไม่เป็นสุขหรือ
หลีฮุยอดมองไปทางเรือนฝั่งซ้ายไม่ได้
ไม่รู้ว่าวันนี้น้องเจาจะไปสำนักศึกษาหญิงที่จวนตะวันออกหรือไม่…
พอคิดถึงตรงนี้ หลีฮุยสะบัดศีรษะแรงๆ เขาโดนผีเข้าแล้วเป็นแน่ น้องเจาจะไปหรือไม่เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย เขาไม่สนใจหรอก เด็กหนุ่มเดินออกไปข้างนอกโดยไม่เหลียวหลัง
เฉียวเจากินโจ๊กกลีบหัวไป่เหอแล้วพาปิงลวี่ไปคารวะยามเช้าต่อฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งที่เรือนชิงซง และได้พบกับหลิวซื่อกับบุตรสาวสองคนพอดี
ท่านอาสะใภ้รอง เฉียวเจาแสดงคำนับ และค้อมศีรษะเล็กน้อยกับคุณหนูสี่หลีเยียนและคุณหนูหกหลีฉาน
หลีเยียนคิดถึงคำกำชับกำชาของมารดาแล้วเค้นรอยยิ้มออกมา พี่เจา
หลีฉานเม้มปากไม่เปล่งเสียงพูด ถูกหลิวซื่อแอบหยิกหลังทีหนึ่ง นางถึงกล่าวทักทายอย่างเสียมิได้
เจาเจา นี่กำลังจะไปสำนักศึกษาแล้วหรือ หลิวซื่อชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยอยู่บ้าง
เฉียวเจาแย้มยิ้ม เจ้าค่ะ ทิ้งเรื้อไปพักหนึ่ง สมควรเก็บขึ้นมาปัดฝุ่นได้แล้วเจ้าค่ะ
หลิวซื่อพยักหน้าหงึกหงัก พูดถูก น้องสาวสองคนของเจ้ามีความรู้ความสามารถอ่อนด้อย วันหน้าต้องให้คนเป็นพี่สาวเช่นเจ้าคอยชี้แนะให้มากๆ ด้วยนะ
เฉียวเจาแปลกใจพอดู ครั้นมองสบสายตาแฝงรอยยิ้มของหลิวซื่อ นางก็แจ่มแจ้งในบัดดล
หลิวซื่อกำลังยื่นไมตรีให้ เฉียวเจารู้สึกเหนือคาดอยู่สักหน่อย
นี่นางเล่นงานสองย่าหลานของจวนตะวันออกไปแล้ว ยังทำให้ท่านอาสะใภ้รองที่ปกติเห็นมารดาของตนเป็นหัวหลักหัวตอผู้นี้ตกใจเสียขวัญไปด้วยหรือ
เฉียวเจามองหลิวซื่อปราดหนึ่ง ท่านอาสะใภ้รองผู้นี้เป็นคนเฉียบแหลมหัวไว ไม่คล้ายคนขลาดเขลา
อันที่จริงนางเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง เหตุผลที่ไร้มารยาทต่อเหอซื่อก็เพราะไม่เห็นอยู่ในสายตาเท่านั้นเอง
มนุษย์เรานี้ถ้าอยากได้รับความสำคัญจากผู้อื่น ยังคงต้องพึ่งตนเองจริงๆ
ท่านอาสะใภ้รองเกรงใจไปแล้ว ข้าเป็นพี่สาว หากน้องสาวสองคนเต็มใจ ข้าย่อมดูแลอย่างเต็มที่เป็นธรรมดา เฉียวเจากล่าวอย่างใจคอกว้างขวาง
เยียนเอ๋อร์ ฉานเอ๋อร์ ยังไม่ขอบคุณพี่เจาของพวกเจ้าอีก
ขอบคุณพี่เจามากเจ้าค่ะ หลีเยียนมิได้กระตือรือร้นเฉกมารดาอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่หลีฉานก้มหน้าไม่เอื้อนเอ่ยคำใดเลย
พวกนางยกขบวนไปถึงเรือนชิงซง
เหอซื่อเห็นเฉียวเจาเข้ามาแล้วประหลาดใจมาก เจาเจา แม่ยังนึกว่าเจ้าจะไม่มาเสียอีก
หลิวซื่อเหยียดมุมปากขึ้นเบาๆ
ถ้าคู่สะใภ้ของนางผู้นี้มีความสามารถได้สักส่วนหนึ่งของบุตรสาว นางก็จะให้การยอมรับนับถือ นี่ดูสิพูดอะไรเบาปัญญายิ่งนัก
ท่านเซียงจวินของจวนตะวันออกผู้นั้นอาจจะแก่ชราหูตาฝ้าฟางแล้ว แต่นางไม่เชื่อหรอกว่าหลานเจาที่เอาตัวรอดได้อย่างน่าพิศวง ซ้ำยังทำให้คนที่ล่วงเกินตนต้องเคราะห์ร้ายทุกครั้งนั้นอาศัยเพียงโชคดวง
หลานเจาไม่เหมือนคนเดิมจริงๆ
หรือจะพูดว่าหลานเจาคนเดิมเสแสร้งแกล้งทำได้ดีเหลือเกิน พวกนางถึงดูไม่ออก
ไม่ได้คารวะยามเช้าต่อท่านย่ามาพักหนึ่ง รู้สึกละอายใจยิ่งนัก ข้าคิดจะรีบมาแต่เช้า นึกไม่ถึงว่าท่านแม่จะมาเร็วกว่าเจ้าค่ะ เฉียวเจาอมยิ้มกล่าว
ถ้อยคำเดียวก็ยกยอว่าเหอซื่อเคารพอ่อนน้อมต่อฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเป็นพิเศษ
เหอซื่อยังไม่รู้ตัว แต่หลิวซื่อลอบทอดถอนใจ
มีบุตรสาวดีๆ ผู้หนึ่ง ช่างต่างกันดีแท้
น้องเจาจะไปที่สำนักศึกษาหญิงหรือไม่ หลีเจี่ยวพลันเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย น้องเจา ข้าเห็นว่าเจ้าพักผ่อนอีกสักสองสามวันเถอะ หลายวันนี้น้องเจียวต้องอารมณ์ไม่ค่อยดีเป็นแน่…
เฉียวเจากล่าวเสียงราบเรียบ พี่เจียวอารมณ์ไม่ดีก็สมควรพักผ่อนมากๆ ส่วนข้าอารมณ์ดีไม่เลวเจ้าค่ะ
คนอื่นอารมณ์ไม่ดีแล้วจะให้นางโอนอ่อนผ่อนตาม นี่มันเหตุผลอะไรกัน
หลีเจี่ยวเม้มปาก นางไม่เข้าใจจริงๆ หรือแสร้งทำไขสือนะ
หลานเจา เจ้าคิดดีแล้วใช่หรือไม่ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งนิ่งเงียบไปชั่วครู่ถึงถามไถ่
เฉียวเจาพยักหน้า
อย่างนั้นก็ดี พวกเจ้ารีบไปเร็วๆ เถอะ เป็นพี่น้องต้องกลมเกลียวปรองดอง อย่าขัดแย้งหมางใจกันเอง
หลังฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งให้โอวาทแล้ว คุณหนูสี่คนของจวนตะวันตกก็รุดไปจวนตะวันออกพร้อมกัน
คุณหนูคนอื่นๆ มาที่สำนักศึกษาหญิงจนคุ้นเคยแล้ว หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือมีเพียงเฉียวเจาที่มาเป็นครั้งแรก ดังนั้นนางจึงคอยเฝ้าจับสังเกตสภาพโดยรอบมากกว่าปกติ
พอนางเหลือบเห็นเงาสีแดงไหววูบวาบตรงข้างสวนหิน หลีเจียวก็เดินปรี่เข้ามาหาอย่างดุดัน
หลีเจา เจ้ายังกล้ามาหรือนี่!
เมื่อเห็นว่าเฉียวเจาไม่สะทกสะท้าน หลีเจียวสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง นางโมโหจนปากสั่น เจ้านึกว่าอยู่ที่วัดต้าฝูใช่หรือไม่ นี่คือจวนตะวันออก เจ้าถือดีอย่างไรถึงมาที่นี่เหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น
เฉียวเจาลอบโคลงศีรษะ
ใครๆ ล้วนกล่าวว่าคนมีปัญญาจากหนังสือ คุณหนูรองสกุลหลีโง่เขลาเช่นนี้คงเป็นเพราะเล่าเรียนตำราน้อยเกินไปแน่นอน
เฮ้อ…ตามหลักแล้วนางไม่สมควรเหยียดหยามผู้อื่นเช่นนี้กระมัง
ก็มิได้เกิดอะไรกับข้าจริงๆ เอ่อ…แต่พี่เจี่ยวบอกว่าพี่เจียวอารมณ์ไม่ดี ข้ายังนึกว่าท่านจะไม่มาเสียอีก
หลีเจียวหันขวับไปมองหลีเจี่ยว เจ้า…เจ้าพูดเช่นนี้หรือ
แม้แต่คนกำพร้ามารดาผู้หนึ่งยังบังอาจพูดเยาะเย้ยนางลับหลังหรือนี่
ไร้เหตุผลสิ้นดี!
หลีเจี่ยวมองเฉียวเจาอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางกระพือไฟสงครามให้ลามมาทางตนเองอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งเช่นนี้ได้อย่างไร
คุณหนูรอง สาวใช้วัยราวสิบเจ็ดสิบแปดนางหนึ่งเรียกขานเสียงเบาๆ
หลีเจียวสูดลมหายใจลึกๆ บังคับตนเองให้สงบอารมณ์ลง
ท่านแม่ส่งสาวใช้อาวุโสข้างกายมาให้นางแล้ว นางจะทำให้ท่านแม่เป็นห่วงอีกไม่ได้
ดีมาก เช่นนั้นเจ้าก็ตั้งใจเรียนให้ดีๆ เถอะ หลีเจียวสาวเท้านำหน้าเข้าห้องเรียนไป
ประจวบเหมาะว่าวันนี้เรียนวิชาอักษรวิจิตรก่อน อาจารย์สอนเป็นชายชราผมเผ้าหนวดเคราหงอกขาวหลังค่อมเล็กน้อย พอเขาเดินเข้ามา สายตาก็หยุดอยู่ที่ตัวเฉียวเจา
ข้าได้ยินว่าเมื่อวานคุณหนูสามแสดงฝีมือโดดเด่นมากที่วัดต้าฝูหรือ
เฉียวเจาแสดงคำนับอย่างมีมารยาท อาจารย์กล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ
อาจารย์สอนเขียนอักษรปั้นหน้าขรึม พูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง ดูลายมือเขียนเรียนรู้นิสัยคน หมายฝึกเขียนอักษรให้ได้ดี ต้องมีความตั้งใจ พรสวรรค์ และความขยันหมั่นเพียรอย่างขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปมิได้ คุณหนูสามเขียนกลอนให้ข้าดูสักบทเถอะ
ด้วยคนตรงหน้าอยู่ในฐานะอาจารย์ เฉียวเจาจึงขานรับอย่างเคารพนับถือ นางไม่แยแสสายตานับไม่ถ้วนที่มองตนอยู่ หยิบพู่กันเขียนกลอนสั้นๆ บทหนึ่งทันที
พลิ้วสะบัดเป็นอิสระ อ่อนช้อยทว่าไม่ดาษดื่น เทียบกับตัวอักษรในคัมภีร์พระธรรมเล่มนั้นแล้ว ลายเส้นละมุนละไมกว่าหลายส่วน
หลีเจียวจ้องมองเฉียวเจาจรดปลายพู่กันลงบนกระดาษตาเขม็ง พอเห็นตัวอักษรปรากฏขึ้น นางลืมเรื่องติชมไปแต่แรก กล่าวโพล่งขึ้นว่า เจ้าหลอกลวงคน ลายมือนี้ไม่เหมือนกับที่คัดลอกพระธรรม ที่แท้คัมภีร์เล่มนั้นมิใช่เจ้าเขียนเช่นกัน
เฉียวเจามองมันแวบหนึ่งแล้วไม่เปล่งวาจาสักคำ ยกพู่กันจุ่มหมึกแล้วเขียนกลอนบทเดียวกันบนกระดาษซ้ำอีกหนทันที ทว่าตัวอักษรผิดแผกจากที่เขียนเมื่อครู่นี้อย่างชัดเจน
หลีเจียวเบิกตากว้างฉับพลัน นี่…นี่ต่างหากถึงเป็นลายมือในคัมภีร์พระธรรมเล่มนั้น!
หรือว่าหลีซานมีเทพเซียนคอยช่วยเหลือ นางเขียนลายมือสองแบบที่ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิงได้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
เฉียวเจาวางพู่กันลง ไต่ถามด้วยสุ้มเสียงสงบนิ่ง พี่เจียว เมื่อวานตอนอยู่ในวัดต้าฝู ท่านย่าใหญ่บอกว่าท่านไม่ทันดูลายมือบนคัมภีร์พระธรรมให้ดี ถึงตามภิกษุต้อนรับไปพบอู๋เหมยซือไท่โดยไม่รู้เรื่องรู้ราว ในเมื่อพี่เจียวไม่เคยได้ดู แล้วรู้ว่าคำกลอนที่ข้าเขียนทีแรกกับลายมือในคัมภีร์พระธรรมไม่เหมือนกันได้อย่างไรเจ้าคะ