หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 632
บทที่ 632
“มู่หวังเฟย พวกท่านมีผู้เหมาะสมแล้วหรือยัง” องค์หญิงซีเจียงแย้มปากยิ้มพลางถาม
พระชายาของมู่อ๋องหันสายตามองไปทางพวกหลันซีหนง
เฉียวเจาก้าวออกจากกลุ่มมายืนตรงหน้าองค์หญิงซีเจียง แสดงคารวะแบบผู้มีวัยเดียวกันตามธรรมเนียมต้าเหลียง “หลีซาน บุตรสาวของอาลักษณ์แห่งสำนักราชบัณฑิตต้าเหลียงขอแลกเปลี่ยนวิชากับองค์หญิงเพคะ”
“เจ้าเองหรือ” องค์หญิงซีเจียงจำหน้านางได้ “คู่หมั้นของกวนจวินโหว”
เฉียวเจาผลิยิ้ม “องค์หญิงทรงมีความจำดีเพคะ”
“เจ้าจะประชันกับข้าจริงๆ หรือ”
“องค์หญิงทรงดั้นด้นมาจากแดนไกล ในเมื่อทรงสนพระทัยใคร่รู้ในฝีมือความสามารถของสตรีสูงศักดิ์ต้าเหลียงเรา พวกหม่อมฉันในฐานะเจ้าภาพย่อมจะพร้อมสนองตามพระประสงค์เพคะ”
องค์หญิงซีเจียงมองเฉียวเจาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มพร้อมกล่าวคำหนึ่งซึ่งทำให้คนทั้งงานจับต้นชนปลายไม่ถูก “หากตอนประลองฝีมือร่ายรำ คุณหนูหลีเข้าร่วมด้วยก็คงจะดี”
คู่หมั้นของกวนจวินโหวผู้นี้รูปโฉมคล้ายคลึงกับนางรำในวังเสด็จพี่ราวกับพิมพ์เดียวกัน ไม่รู้ว่ายามนางออกลีลาร่ายรำจะเหมือนมากยิ่งขึ้นหรือไม่
เมื่อคิดถึงตรงนี้รอยยิ้มตรงมุมปากองค์หญิงซีเจียงขยายกว้างขึ้น
เฉียวเจารับรู้ได้อย่างเฉียบไวถึงเจตนาร้ายที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มอ่อนหวานของอีกฝ่าย แค่ไม่รู้ว่ามันมีที่มาจากอะไรเท่านั้น นางได้แต่มองไปในแง่มุมที่ว่ามิใช่คนเผ่าพันธุ์เดียวกันย่อมไม่อาจรวมใจเป็นหนึ่งได้
นางมิได้มีความรักอันยิ่งใหญ่ต่อทุกสรรพชีวิต จึงนึกว่าคนใต้หล้าล้วนเหมือนกันหมด ในฐานะชาวต้าเหลียง นางก็ไม่ชอบหน้าชาวต๋าจื่อ ชาววอโค่ว และชาวซีเจียงที่ขัดแย้งเป็นอริกับชาวต้าเหลียงเช่นเดียวกัน
เฉียวเจามีเรือนกายไม่สูง แต่เมื่อประจันหน้ากับองค์หญิงซีเจียงผู้นี้กลับไม่ต้องเงยหน้าขึ้นอย่างหาได้ยาก นางเชิดคางขึ้นเล็กน้อยพลางกล่าว “เข้าร่วมตอนนี้ก็ยังไม่สายเพคะ”
นางกล่าวคำนี้ด้วยน้ำเสียงฉาดฉาน ทำให้คุณหนูของต้าเหลียงในงานคึกคักตื่นเต้นขึ้น
ก่อนหน้านี้พวกนางต้องฟังองค์หญิงซีเจียงพูดจาทับถมมู่หวังเฟยมาตลอด บัดนี้มีคนกู้หน้าคืนให้พวกนางได้แล้วในที่สุด
ถ้อยคำของคุณหนูหลีซานมีความหมายอย่างชัดเจนมากว่าตนสามารถคว้าชัยในการประชันสามรอบหลังได้ทั้งหมด ฉะนั้นเข้าร่วมตอนนี้ไม่ช้าเกินไปเลยสักนิด
กระนั้นถึงคำกล่าวนี้จะฟังแล้วสาแก่ใจ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะขายหน้ามากกว่าเดิม
พวกคุณหนูเริ่มวิตกกระวนกระวายใจ หันไปพูดกระซิบกระซาบกับคนข้างๆ
“ข้าเคยได้ยินแต่ว่าคุณหนูหลีซานเขียนอักษรได้ดีอย่างยิ่งยวด แล้วด้านอื่นๆ สู้ไหวหรือไม่กันแน่”
“ไม่รู้สิ แต่เมื่อครู่ข้าเห็นคุณหนูหลีซานมาถึงก็ไปหาพวกคุณหนูหลัน ตอนนี้นางก้าวออกมารับคำท้าได้ ดูทีคงผ่านการคัดเลือกจากรองหัวหน้าชุมนุมฟู่ซานแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นก็สมควรพอมีฝีมืออยู่บ้างนะ”
“ทว่าในด้านทักษะดีดพิณ ข้าไม่คิดว่านางจะเก่งกว่าคุณหนูสวี่ ข้าเคยได้ยินเสียงพิณของคุณหนูสวี่มาก่อน จะบอกว่าไพเราะติดหูตรึงใจไปนานแสนนานก็ไม่เกินความจริงแต่ประการใด”
“นั่นสิ หนนี้คุณหนูสวี่มิได้ออกมาประลองฝีมือช่างน่าเสียดายจริงๆ หากนางลงแข่งจะต้องชนะในรอบนี้อย่างแน่นอน ล้วนเป็นองค์หญิงซีเจียงที่เจ้าเล่ห์นัก จะให้คนคนเดียวท้าประชันทั้งสามรอบ”
“เห็นทีว่าพวกคุณหนูของแคว้นท่านมิได้เชื่อใจในตัวคุณหนูหลีมากนักนะ” องค์หญิงซีเจียงยิ้มพรายพลางกล่าว
นางไม่เชื่อหรอกว่าบุตรสาวของอาลักษณ์เล็กๆ ผู้หนึ่งจะเอาชนะนางในความสามารถด้านต่างๆ ได้
นางเริ่มมุมานะฝึกฝนสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่อายุสามขวบ พูดได้ว่าสิบปีเศษมานี้นอกจากกินข้าวและนอนหลับ ทุกวันล้วนใช้เวลาไปกับพวกมัน
พวกอาจารย์กล่าวว่าสวรรค์ย่อมประทานผลตอบแทนแก่ผู้มีความพยายาม ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางไม่เพียงขยันหมั่นเพียร ยังมีพรสวรรค์อีกด้วย
“องค์หญิงทรงอยากประลองเครื่องดนตรีอะไรเพคะ” เฉียวเจาเอ่ยถามเสียงเรียบ
ตีฝีปากกันไม่สาแก่ใจเท่าประชันด้วยฝีมือแท้จริงเสมอ
องค์หญิงซีเจียงอึ้งงันไป “เครื่องดนตรีใดก็ได้หรือ”
“เพคะ เครื่องดนตรีใดก็ได้ องค์หญิงทรงเลือกมาชิ้นหนึ่งได้เลย”
องค์หญิงซีเจียงอดมองเฉียวเจาอย่างจริงจังไม่ได้ วาจายโสโอหังปานนี้นางเพิ่งได้ยินเป็นคราครั้งแรก
คำกล่าวของเฉียวเจาก่อให้เกิดเสียงถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงมในหมู่สตรีสูงศักดิ์ของต้าเหลียง
“คุณหนูหลีซานออกจะผยองเกินไป ถ้าเกิดองค์หญิงซีเจียงขอประลองเครื่องดนตรีที่มีแต่ในซีเจียง เช่นนั้นจะทำฉันใดดีเล่า”
“นั่นสิ ไม่ว่าอย่างไรก็พูดอย่างมั่นใจเต็มที่เช่นนี้ไม่ได้ นางคือตัวแทนแห่งเกียรติยศศักดิ์ศรีของพวกเราทุกคนนะ”
หลันซีหนงตวัดสายตามองไปอย่างปึ่งชา “เจ้าเก่งอย่างนี้ ไฉนไม่ลงแข่งเล่า”
ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น หลีซานพูดจาได้ถูกอกถูกใจนางเหลือเกิน
จะถ่อมตัวก็ต้องดูกาลเทศะด้วย ยามนี้องค์หญิงซีเจียงยกเท้าเหยียบหน้าสตรีสูงศักดิ์ของต้าเหลียงแล้ว ขืนถ่อมตัวอีกก็คือพวกเหลาะแหละไม่เอาไหน!
องค์หญิงซีเจียงลอบขมวดคิ้วทีหนึ่ง
นับแต่คุณหนูหลีผู้นี้เข้าสู่ลานแข่ง เหตุใดนางรู้สึกคล้ายว่าสถานการณ์ค่อยๆ หลุดจากการควบคุม ทั้งที่ก่อนหน้านี้กลบรัศมีชาวต้าเหลียงจนมิดแล้ว พออีกฝ่ายพูดสองคำถึงกับทำให้รูปการณ์เริ่มพลิกกลับเล็กน้อย
หึ…ก็แค่การเอาชนะคะคานด้วยคารม
“เครื่องดนตรีมากมายอย่างนี้ คุณหนูหลีให้ข้าเป็นผู้เลือก เช่นนั้นข้าคงลำบากใจแล้ว หากเลือกชิ้นที่มีแต่ในซีเจียงเราก็ไม่ยุติธรรมเกินไป เอาอย่างนี้เถอะ พวกเราแข่งดีดพิณเหยา* กันเถอะ ถึงแม้พิณเหยาก็มีต้นกำเนิดมาจากซีเจียงเรา แต่แพร่หลายในแคว้นของท่านเฉกเดียวกัน”
พอองค์หญิงซีเจียงกล่าวประโยคนี้ออกมา ส่งผลให้พวกคุณหนูของต้าเหลียงหน้าเขียวด้วยความโกรธ แม้แต่ฮูหยินของทุกๆ จวนก็ยังทำหน้าขรึมลง
มารดามันเถอะ พิณเหยากลายเป็นของซีเจียงตั้งแต่เมื่อไร!
“คุณหนูหลี สู้เขานะ!” คุณหนูคนหนึ่งห้ามใจไม่อยู่จริงๆ นางตะโกนมาจากนอกลานแข่ง
“ใช่ คุณหนูหลีสู้เขานะ”
ยังไม่พูดถึงการประชันสองรอบหลัง หากรอบนี้แพ้ให้กับชาวซีเจียงคงน่าโมโหแทบตายจริงๆ
เฉียวเจายกมือขึ้น นอกลานแข่งเงียบเชียบลงราวกับปาฏิหาริย์
พิณเหยาขององค์หญิงซีเจียงถูกยกเข้ามา
“คุณหนูหลีนำพิณติดตัวมาด้วยหรือไม่” ดวงตาขององค์หญิงซีเจียงเปล่งประกายวูบหนึ่งอย่างลำพองใจ “ถ้าท่านไม่มีพิณที่คุ้นมือ ข้าจะเปลี่ยนไปใช้พิณเหยาที่มู่หวังเฟยจัดให้ก็แล้วกัน”
เฉียวเจามองนางด้วยสายตาเยือกเย็นดุจสายน้ำ นางพลันยิ้มออกมา “องค์หญิงตรัสว่าพิณเหยามีต้นกำเนิดจากซีเจียง เช่นนั้นพอจะตรัสบอกข้าได้หรือไม่ว่าพิณเหยานั้นฐานล่างราบเรียบส่วนบนโค้งเว้ามีความหมายว่าอะไร”
องค์หญิงซีเจียงไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะเอ่ยถามเรื่องนี้ นางงงงันไปน้อยๆ
เฉียวเจาไม่หยุดเว้นจังหวะ นางถามต่ออีก “แล้วหัวกว้างท้ายแคบหมายความถึงอะไร”
เด็กสาวเดินอยู่ข้างพิณ ยกมือขาวผ่องขึ้นเล็กน้อยกรีดสายพิณเป็นสามเสียง “แล้วทำนองฟั่น ซั่น อั้น** สามเสียงนี้มีความหมายว่าอะไร”
องค์หญิงซีเจียงโดนถามคำถามต่อๆ กันเป็นชุดก็อ้าปากค้าง
การร่ำเรียนพิณเหยาของนางคือฝึกฝนทักษะการดีดบรรเลง และฝึกปรือด้วยบทเพลงโบราณและปัจจุบัน ใครจะสนใจว่าเรื่องพวกนี้หมายถึงอะไร หรือว่ามันยังมีคำอธิบายใดอยู่อีก
เฉียวเจาแย้มปากยิ้ม น้ำเสียงของนางนุ่มเบาอ่อนหวาน “องค์หญิงไม่ตรัส เช่นนั้นหม่อมฉันขอทูลบอกองค์หญิงเองเพคะ ความจริงนี่เป็นความรู้สามัญในหมู่สตรีสูงศักดิ์ของต้าเหลียงเรา ตัวพิณฐานเรียบบนโค้งหมายถึงพื้นดินเหลี่ยมผืนฟ้ากลม หัวกว้างท้ายแคบหมายถึงชนชั้นสูงต่ำต่างกัน เสียงฟั่นคือสวรรค์ เสียงซั่นคือปฐพี เสียงอั้นคือมนุษย์ หมายถึงความกลมกลืนของฟ้าดินคน เหล่านี้คือแก่นแท้ของแนวคิดเรื่องธรรมเนียมมารยาทและคีตศิลป์ของนักปราชญ์ต้าเหลียงเรา ดังนั้นปราชญ์ผู้รอบรู้ในยุคอดีตถึงกล่าวว่าในบรรดาเครื่องดนตรีทั้งหมดเสียงพิณมีคุณลักษณะดีเลิศที่สุด นับเป็นเสียงแห่งฟ้าดินเพคะ”
พอเห็นองค์หญิงซีเจียงทำสีหน้าไม่สู้ดี เฉียวเจาคลี่ยิ้มหวาน “แน่นอนว่าองค์หญิงไม่ทรงทราบความรู้สามัญพวกนี้หาใช่เรื่องแปลกไม่ จะอย่างไรมันก็มีที่มาไม่กระจ่างน่ะเพคะ”
องค์หญิงซีเจียง “…” นางปีศาจตนนี้มาจากที่ใด พระอาจารย์รูปใดก็ได้ช่วยมาปราบนางโดยไวที!
เหล่าคุณหนูต้าเหลียง “…” ความรู้สามัญเฉกนี้ วันนี้ถึงพวกนางต้องคุกเข่าฟังก็ต้องจดจำเอาไว้!
เหล่าฮูหยินของทุกจวน “…” ในกาลก่อนรู้สึกไม่วายว่าคุณหนูสามสกุลหลีมีชื่อเสียงไม่ดี บัดนี้ดูไปแล้วเด็กสาวมากความสามารถมักโดนคนนินทาว่าร้ายอย่างช่วยไม่ได้ อันว่าผู้ไม่ถูกอิจฉาริษยาเป็นพวกชั้นสามัญดาษดื่น
ราวกับว่าเฉียวเจาไม่ใส่ใจบรรยากาศที่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อยนิด นางพยักหน้าเบาๆ กล่าวว่า “อืม ในเมื่อคำถามที่ว่าพิณเหยามีต้นกำเนิดจากที่ใดนี้ไม่มีข้อโต้แย้งแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็เริ่มต้นกันเถอะ”
นางหมุนกายขวับไปตะเบ็งเสียงถาม “พี่น้องทุกท่าน มีใครให้ข้ายืมใช้พิณได้บ้าง”
* พิณเหยา อีกชื่อหนึ่งคือกู่ฉิน เป็นเครื่องดนตรีซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าสามพันปีและมีฐานะเป็นที่ยกย่องสูงสุด ปกติมีเจ็ดสาย
** ทำนองเสียงของพิณโบราณแบ่งได้สามประเภทคือ ฟั่น – เป็นเสียงแหลมกังวานใส เปรียบเป็นเสียงสวรรค์อันบริสุทธิ์สูงส่ง ซั่น – เสียงทุ้มต่ำหนักแน่น เปรียบเป็นเสียงปฐพีที่มั่นคง อั้น – เสียงผสมแปรเปลี่ยนไปได้มากมาย เปรียบเป็นเสียงมนุษย์ที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก