หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 639
บทที่ 639
สตรีทั้งหลายตะลึงงัน พากันมองไปทางเฉียวเจา
นางมีสีหน้านิ่งเฉย ส่วนองค์หญิงซีเจียงกลับเอ่ยถามอย่างอดใจไม่อยู่ “เพราะเหตุใด”
มู่อ๋องกล่าวยิ้มๆ “องค์หญิงทรงเดินมาดูได้ เป้าธนูอันนี้มีรูแค่รูเดียว ส่วนเป้าธนูอีกอันถึงแม้ทั้งสิบรูจะอยู่ตรงกลางเป้าทว่ากระจัดกระจายไปทั่ว ในเมื่อการประชันรอบนี้พวกท่านแข่งความแม่นยำ ใครแพ้ใครชนะมองปราดเดียวก็รู้ได้แล้ว”
ได้ยินมู่อ๋องไขความกระจ่าง ทุกคนในที่นั้นส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังระงมทันควัน
“บนเป้าธนูมีแค่รูเดียว นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน หรือว่า…ข้าเข้าใจแล้ว นี่แสดงว่าลูกธนูทั้งสิบดอกของคุณหนูหลียิงเข้าจุดจุดเดียวทั้งหมด ถึงได้ทิ้งรอยไว้เพียงหนึ่งรู”
“สวรรค์! ฝีมือยิงธนูของคุณหนูหลีเข้าขั้นล้ำลึกเหนือชั้นเลยทีเดียว นางฝึกฝนอย่างไรกันนะ”
คุณหนูที่อยู่ด้านข้างพูดกลั้วเสียงหัวร่อเบาๆ “ข้าเดาว่ากวนจวินโหวเป็นคนสอนกระมัง”
เซ่าหมิงยวนหูไว ได้ยินการคาดเดานี้แล้วบรรยายความรู้สึกในใจไม่ถูก เขามองไกลๆ ไปทางเฉียวเจา
นางเบนสายตามามองเขาในจังหวะนี้พอดี เมื่อทั้งคู่สบตากันนางส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อย
ครั้นมองเห็นหญิงในดวงใจยิ้มเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย เซ่าหมิงยวนถึงกับบังเกิดความรู้สึกคล้ายทำเรื่องไม่ดีไว้แล้วโดนผู้ใหญ่จับได้สมัยเป็นเด็ก พาให้ใบหน้าร้อนวาบๆ เขาหลบตานาง
องค์หญิงซีเจียงยังไม่อยากจะเชื่อ สาวเท้าเร็วรี่เข้าไปดูเห็นว่าเป็นดังคำกล่าวของมู่อ๋องจริงๆ เป้าธนูที่เฉียวเจายิงมีเพียงหนึ่งรู ขณะที่ใจกลางเป้าธนูของนางกลับถูกยิงเป็นรูพรุนเหมือนรังผึ้ง
นางหันขวับไปมองเฉียวเจา
หรือจะบอกว่าเด็กสาวคนนี้คาดถึงรูปการณ์ที่ทั้งคู่ยิงเข้ากลางเป้าได้ทั้งสิบดอกแต่แรก ฉะนั้นถึงเก็บไม้เด็ดนี้ไว้ภายหลังเพื่อให้แน่ใจว่าจะชนะได้โดยปราศจากข้อผิดพลาดใด
ไม่สิ ต่อให้นางคาดถึงได้เช่นกัน แต่การยิงธนูไปที่จุดจุดเดียวทั้งสิบดอกนั้นกลับทำไม่ได้
ความเจ็บใจระคนจนปัญญาอย่างรุนแรงพุ่งขึ้นกลางอกขององค์หญิงซีเจียง
นางให้คำมั่นสัญญาต่อเสด็จพี่อย่างมั่นอกมั่นใจว่าเดินทางไปต้าเหลียงครานี้จะต้องฉีกหน้าพวกสตรีสูงศักดิ์ของต้าเหลียงครั้งใหญ่อย่างแน่นอน เพื่อให้ชาวซีเจียงได้ลืมตาอ้าปากอย่างภาคภูมิใจ แต่ว่าเพราะอะไรจำเพาะเจาะจงต้องมาพบเจอกับคนผู้หนึ่งอย่างนี้
อีกฝ่ายมีความสามารถชั้นนี้ ทั้งมีเล่ห์กลอุบายเฉกนี้ วันหน้าเมื่อนางกับกวนจวินโหวเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้วจะต้องกลายเป็นหนามยอกอกชิ้นโตของพวกตนชาวซีเจียงแน่ๆ
องค์หญิงซีเจียงบังเกิดความคิดเอาชีวิตอีกฝ่ายขึ้นในใจฉับพลัน หากยังกล่าวด้วยสีหน้าเก้อกระดาก “ข้าแพ้แล้ว”
นางกระดกจอกสุราดื่มรวดเดียวเกลี้ยง พวกสตรีสูงศักดิ์ซึ่งติดตามมาด้วยก็ดื่มสุราในจอกจนหมดด้วยท่าทางสลดหดหู่ไปตามๆ กัน
ชนะได้ก่อนสองรอบแต่กลับพ่ายแพ้ติดๆ กันสามรอบ ทำให้พวกนางรู้สึกอับอายจริงๆ
มู่หวังเฟยเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างสุภาพเรียบร้อย นางชูจอกสุราพลางกล่าว “แค่สร้างความสนุกสนานในงานเลี้ยงเพิ่มขึ้น แพ้ชนะหาได้สำคัญอันใดไม่ องค์หญิงไม่จำเป็นต้องเก็บใส่พระทัย มา…พวกเราร่วมกันดื่มคารวะให้องค์หญิงหนึ่งจอก”
ฮ่าๆ ชนะแล้ว! ช่างน่าเบิกบานสำราญใจดีแท้!
มู่หวังเฟยยกจอกสุราขึ้นดื่ม ขณะเดียวกันก็ชำเลืองเห็นสายตาของมู่อ๋องหยุดอยู่ที่ตัวเฉียวเจาทางหางตา นางลอบขมวดคิ้วอย่างสุดระงับ รอเมื่อดื่มสุราเสร็จถึงคลี่ยิ้มกล่าวกับพระสวามี “พวกข้าทางนี้รู้ผลแพ้ชนะแล้ว ท่านอ๋องยังต้องดูแลแขกเหรื่อทางนั้นก็กลับไปเถอะเจ้าค่ะ ทางนี้มีข้าอยู่”
“อือ รับรองทุกคนให้ดีๆ” มู่อ๋องมิได้มองซ้ำอีก พาคนทั้งกลุ่มออกไปแล้วพูดยิ้มๆ กับเซ่าหมิงยวน “คิดไม่ถึงว่าคู่หมั้นของท่านโหวมีความสามารถปานนี้ ยังเหนือกว่าบุรุษตั้งมากมายเชียวนะ”
น่าเสียดายแม่เด็กน้อยผู้นั้นเยาว์วัยนัก ยังไม่เจริญวัยเป็นหญิงสาวเต็มตัว ดูท่าทางยังเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าอีกสองปีจะเติบใหญ่เป็นกุลสตรีอรชรอ้อนแอ้นหรือไม่
“ผู้มีความสามารถมิแบ่งชายหญิงพ่ะย่ะค่ะ” เซ่าหมิงยวนกล่าวเสียงเรียบ
มู่อ๋องอึ้งงันไปอึดใจหนึ่งถึงกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ท่านโหวกล่าวได้ถูกต้อง ผู้มีความสามารถมิแบ่งชายหญิง ทางพระราชอุทยานฝั่งตะวันออกยังแข่งเดินหมากกันอยู่ พวกเรารีบกลับไปกันเถอะ”
ยามนี้เขากับรุ่ยอ๋องกำลังต่อสู้ฟาดฟันกันในที่ลับ ยังไม่ใช่เวลาที่จะล่วงเกินกวนจวินโหว ปล่อยให้อีกฝ่ายหยิ่งผยองไปสักพักก่อน
การประชันของทางพระราชอุทยานฝั่งตะวันตกยุติลงแล้วกลับมาดื่มสุราพูดคุยเล่นกันตามสบายดังเดิม
เฉียวเจากลับไปนั่งที่เดิมก็ได้รับการต้อนรับจากพวกคุณหนูอย่างอบอุ่น
“คุณหนูหลี ท่านฝึกฝน ‘ใช้พู่กันสามด้ามเขียนพร้อมกัน’ สำเร็จได้เช่นไรหรือ”
“อาจารย์พิณของข้ามักบอกว่าทักษะของข้าไม่เลว แต่จนแล้วจนรอดก็ทำได้ไม่ขั้นสื่ออารมณ์ประทับใจคน คุณหนูหลีจะช่วยชี้แนะให้เล็กๆ น้อยๆ ได้หรือไม่”
เฉียวเจาเป็นคนรักความสงบ อีกทั้งหลังจากฟื้นคืนชีพอีกครั้งยังถูกผู้คนเย็นชาหมางเมินจนชาชิน นางถึงกับไม่ค่อยคุ้นเคยไปในชั่วขณะที่มีคนรุมล้อมมากมายเฉกนี้ ยังคงเป็นหลันซีหนงที่เปล่งเสียงช่วยแก้สถานการณ์ให้ “ตอนนี้ชาวซีเจียงยังมองดูอยู่นะ พวกท่านจะแสดงท่าทางสำรวมตนสักนิดได้หรือไม่”
เด็กสาวทั้งหลายถึงไม่กล่าววาจาแล้ว
หลันซีหนงเชิดหน้าน้อยๆ มองเฉียวเจาอยู่ชั่วครู่ถึงพยักหน้าเล็กน้อย “วันนี้ขอบคุณมากนะ”
ชุมนุมฟู่ซานของพวกนางรวบรวมสตรีสูงศักดิ์ที่มีความสามารถจากทั่วทั้งเมืองหลวงกลุ่มหนึ่งมาไว้ด้วยกัน เมื่อเผชิญกับการประชันฝีมือเช่นนี้ย่อมจะต้องก้าวออกมา ทว่าถ้าวันนี้ไม่มีคุณหนูสามสกุลหลี วันหน้าชุมนุมฟู่ซานของพวกนางคงกลายเป็นที่ตลกขบขันของชาวเมืองหลวงแล้ว
“มิกล้ารับคำขอบคุณของคุณหนูหลัน ในฐานะชาวต้าเหลียงผู้หนึ่ง ข้าย่อมมีหน้าที่อย่างปฏิเสธไม่ได้” เฉียวเจาลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง นางไม่อยากผูกไมตรีกับหลันซีหนงมากเกินไป จึงกล่าวอย่างขอลุแก่โทษ
“ท่านย่าของข้าไม่ค่อยสบาย เดิมทีไม่สมควรออกนอกเรือน ตอนนี้จบเรื่องแล้ว ข้าขออำลาก่อน”
มือของหลันซานสมุหราชเลขาธิการคนปัจจุบันเปื้อนเลือดของคนในตระกูลนาง ภายภาคหน้านางจะต้องทวงคืนสักวันหนึ่ง ฉะนั้นมันถูกลิขิตไว้แล้วว่านางกับหลันซีหนงเป็นสหายกันไม่ได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้มิสู้ตีตัวออกห่างไปเรื่อยๆ เพื่อมิให้ต้องลำบากใจในอนาคต
ได้ยินเฉียวเจาบอกว่าท่านย่าของตนไม่สบาย ทุกคนจะรั้งตัวนางไว้ก็ไม่เหมาะ สวี่จิงหงหอบพิณ ‘ปิงชิง’ ในอ้อมแขนเดินมาหา “คุณหนูหลีซาน พิณของท่าน”
ดวงตาของเฉียวเจามองสบสายตาเรียบเฉยของอีกฝ่าย นางอมยิ้มรับพิณไว้ “ขอบคุณคุณหนูสวี่มาก”
พอเห็นนางไม่ปฏิเสธ สวี่จิงหงก็เผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา “หากมีเวลาข้าจะไปฟังคุณหนูหลีดีดพิณนะ”
“ยินดีต้อนรับเสมอ” เฉียวเจาหอบพิณกลับไป
พวกหลันซีหนงนั่งล้อมวงกัน จูเหยียนพลันกล่าวยิ้มๆ “ตำแหน่งหัวหน้าชุมนุมฟู่ซาน ข้าเห็นว่าไม่ควรว่างอยู่อย่างนี้อีกต่อไปแล้ว”
อีกสามคนต่างมองไปที่นาง
“อย่าเอาแต่มองข้าสิ หรือว่าตอนนี้พวกท่านไม่มีผู้ที่เหมาะสมอยู่ในใจ”
หลันซีหนงกล่าวเสียงเรียบ “ไว้เขียนเทียบในนามพวกเราเชิญคุณหนูหลีมาพบปะสังสรรค์กันเถอะ”
“ดี” อีกสามคนล้วนไม่คัดค้าน
หลังจากงานเลี้ยงคราวนี้หัวหน้าชุมนุมฟู่ซานในใจพวกนางจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณหนูสามสกุลหลีผู้นี้แล้ว
ดวงตะวันคล้อยลงทางทิศตะวันตก งานเลี้ยงเลิกราแล้วองค์หญิงซีเจียงกลับถึงที่พำนักแล้วไปที่ห้องของกงอ๋องด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ไฉนน้องพี่ต้องมีน้ำโหมากถึงเพียงนี้”
“เสด็จพี่ ท่านไม่รู้ว่าวันนี้ข้าอับอายขายหน้ามากเพียงใดที่แพ้การแข่งขันติดกันถึงสามรอบ!”
“เอาล่ะ น้องพี่ อย่าโมโหอีกเลย เจอะเจอกับหญิงสาวที่ใช้พู่กันสามด้ามเขียนพร้อมกันได้ ถึงเจ้าแพ้ก็ไม่เสียศักดิ์ศรี”
องค์หญิงซีเจียงได้ฟังถ้อยคำนี้แล้วรู้สึกดีขึ้นบ้าง นางฝืนยิ้มกล่าวขึ้น “ข้ารู้เช่นกันว่าแพ้แต่ไม่เสียศักดิ์ศรี แต่ข้าแค่กล้ำกลืนความแค้นใจนี้ไม่ได้เท่านั้นเอง”
“แล้วน้องพี่คิดจะทำอย่างไร” กงอ๋องไต่ถามยิ้มๆ
“เสด็จพี่ รอกลับถึงซีเจียง ท่านต้องยกนางรำในวังท่านผู้นั้นให้ข้านะ ให้ข้าได้ระบายความแค้น!”
“นางรำคนใดหรือ”
องค์หญิงซีเจียงยื่นมือผลักพี่ชาย พูดอย่างกะบึงกะบอน “เสด็จพี่แสร้งทำเลอะเลือนหรือนี่ ก็ต้องเป็นนางรำคนที่หน้าตาเหมือนกับคู่หมั้นของกวนจวินโหวแน่นอน”
กงอ๋องส่ายหน้า “คนนั้นไม่ได้”
“เสด็จพี่เสียดายหรือเจ้าคะ” ตอนนี้นางยังทำอะไรกับคู่หมั้นของกวนจวินโหวไม่ได้ หรือว่าจะหาที่ระบายอารมณ์แทนไม่ได้อีก
“ไม่ใช่เสียดาย แต่นางมีประโยชน์มากต่างหาก”
“ประโยชน์อะไรหรือเจ้าคะ”
นัยน์ตาของกงอ๋องเปล่งประกายวาววาม “กำจัดกวนจวินโหว!”