หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 643
บทที่ 643
“นี่มิใช่เรื่องที่เห็นประจักษ์ชัดโดยง่ายหรือ น้องสาวข้าส่งหวาเซิ่งไปสอดแนมจวนสกุลหลียามวิกาล ผลปรากฏว่าหวาเซิ่งตายอนาถอยู่กลางถนน หรือว่าเขาจะฆ่าตัวตายเล่า” กงอ๋องพูดตอบ
“ฆ่าตัวตาย?” โค่วสิงเจ๋อเสนาบดีกรมอาญาเริ่มตรึกตรองอย่างเอาจริงเอาจัง
ชาวซีเจียงหน้าหนาปานนี้ ดูเหมือนมีโอกาสที่จะเป็นไปในทางนี้ไม่สูงมาก แต่ถ้าสรุปผลได้ว่าเป็นการฆ่าตัวตายก็จะเบาแรงไปมากแล้ว
มุมปากของกงอ๋องกระตุกริกๆ ด้วยความโมโห เมื่อครู่เขาแค่พูดประชดเล็กน้อย ตาเฒ่าผู้นี้กลับนำไปขบคิดพิจารณาเสียได้
“ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม สกุลหลีต้องเกี่ยวข้องกับการตายของหวาเซิ่งอย่างปฏิเสธไม่ได้ ข้าหวังว่าเสนาบดีโค่วจะส่งคนไปนำตัวคนของสกุลหลีมาซักถามทันที”
ข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายเอ่ยปากขึ้น “ท่านอ๋อง นักสู้ของแคว้นซีเจียงเข้าไปสอดแนมในเรือนของหญิงสาวยามวิกาลอย่างนี้ไม่เหมาะสมกระมัง”
หากเขาเป็นอาลักษณ์หลีหรือกวนจวินโหว กลางดึกเห็นคนผู้หนึ่งอย่างนี้ก็คงคว้าไม้กระบองกระหน่ำตีให้ตายแล้วค่อยว่ากันอีกที
“ถึงจะไม่เหมาะสม หรือว่าสามารถใช้ศาลเตี้ยได้ตามอำเภอใจ” องค์หญิงซีเจียงยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา “เป็นข้าทำร้ายหวาเซิ่ง ข้าอยากไขข้อข้องใจ เพียงสั่งให้เข้าไปดูว่าคุณหนูหลีจุดเทียนท่องตำราถึงดึกดื่นหรือไม่ ใครจะรู้ว่าจะเป็นต้นเหตุให้เขาต้องจบชีวิตลง”
องค์หญิงซีเจียงถามไล่เลียงข้าหลวงตรวจการฝ่ายซ้ายด้วยน้ำตาเอ่อคลอ “หรือว่าในต้าเหลียงเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาได้ ต่อให้หวาเซิ่งมีความผิดก็ไม่ได้มีโทษถึงตายนะ หากว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลีจริงๆ พวกข้าเป็นฝ่ายผิดอยู่ก่อน มิได้คิดจะให้สังหารคนชดใช้ชีวิตอันใด แต่อย่างน้อยสกุลหลีก็ต้องให้คำอธิบายกับพวกข้าสักอย่างกระมัง”
“คือว่า…” พวกเขาได้ยินถ้อยคำขององค์หญิงซีเจียงแล้วมองหน้ากันไปมา
บุกรุกเรือนผู้อื่นยามวิกาลโดนเจ้าของเรือนจับได้แล้วฆ่าตาย เรื่องพรรค์นี้ใช่ว่าจะไม่มี โดยทั่วไปชาวบ้านไม่แจ้งที่ว่าการ ทางการก็ไม่ไล่เลียง แต่หากมีเจ้าทุกข์ฟ้องร้อง นั่นก็ต้องไต่สวนคดีจริงๆ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่ายังพัวพันถึงแคว้นอื่นด้วย
“เช่นนั้นก็เชิญอาลักษณ์หลีมาถามไถ่เรื่องราวก่อนเถอะ” โค่วสิงเจ๋อเหลือบเปลือกตาขึ้น “ท่านทั้งหลายนั่งลงก่อนเถอะ ข้าจะไปมอบหมายงานให้รองเสนาบดีหยางสักหน่อย”
โค่วสิงเจ๋อก้าวเท้าออกไป เขาแหงนคอมองท้องฟ้าขมุกขมัวแล้วพรูลมหายใจเฮือกหนึ่ง
“ใต้เท้าเรียกข้าหรือขอรับ” หยางอวิ้นจือรองเสนาบดีกรมอาญารุดมาถึงอย่างรีบร้อน
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องพัวพันกับครอบครัวของอาลักษณ์หลี” โค่วสิงเจ๋อเล่าเรื่องทั้งหมดรอบหนึ่งแล้วเอ่ยสั่ง “ท่านส่งอีกคนหนึ่งไปที่จวนกวนจวินโหว บอกกล่าวสถานการณ์เท่าที่พวกเรารู้ในตอนนี้ให้เขาฟังอย่างชัดเจน ค่อยเชิญเขามาที่ว่าการกรมอาญา”
“ใต้เท้าวางใจได้ ข้าจะสั่งการลงไปประเดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
เมื่อแสงอาทิตย์เรืองรองสาดเฉียงๆ เข้าไปในตรอกซิ่งจื่อบนถนนสายตะวันตก วันใหม่ก็เปิดฉากขึ้น
ด้านหน้าแผงขายปาท่องโก๋ตรงปากตรอกมีคนล้อมวงกันเต็มไปหมด พวกเขามือหนึ่งถือปาท่องโก๋ที่ห่อด้วยกระดาษเคลือบมัน มือหนึ่งถือน้ำเต้าหู้ทำขายสดๆ ใหม่ๆ ไว้พลางพูดคุยถึงคดีคนตายที่เกิดขึ้นในราตรีก่อนกันจนน้ำลายแตกฟอง
เฉินกวงตื่นแต่เช้าตรู่ ขอลาพักกับเฉียวเจาเตรียมตัวไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่จวนกวนจวินโหว เขาเพิ่งเดินถึงปากตรอกก็ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์พวกนั้นแล้วนิ่งงันไป
อะไรนะ! เจ้าเตี้ยม่อต้อคนนั้นตายแล้ว นี่เป็นไปไม่ได้
เขาติดตามท่านแม่ทัพมานานปานนี้ เวลาจะเล่นงานใคร ถ้าไม่รู้กระทั่งขอบเขตเท่านี้ก็อยู่ไม่รอดแล้ว
หา?! ซ้ำยังตายเพราะโดนปาดคอ?
พอได้ยินประโยคนี้เฉินกวงมีสีหน้าเคร่งเครียดแล้ว
ปาดคอ…ชาวบ้านทั่วไปไม่ใช้วิธีการเช่นนี้
เฉินกวงแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้เดินต่อไป ตอนผ่านหน้าแผงขายปาท่องโก๋ เขาหยุดซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ชุดหนึ่ง ในเวลาชั่วครู่นี้ก็ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดคร่าวๆ แล้ว หลังออกจากตรอกซิ่งจื่อเขาควบเท้าออกวิ่งไปเลย
“เจ้าบอกว่าเมื่อคืนนักสู้ซีเจียงตั้งใจจะปีนกำแพงเรือน พวกเจ้าตีเขาสลบแล้วเอาไปโยนไว้กลางถนน ตอนนี้คนผู้นั้นถูกปาดคอตายไปแล้ว”
“ขอรับ ข้าคิดคำนึงว่าเขาเป็นชาวซีเจียง หากสังหารทิ้งท่านอ๋องซีเจียงผู้นั้นต้องโวยวายหาเรื่องเป็นแน่ ถึงได้แค่อัดสั่งสอนจนน่วมยกหนึ่ง ไหนเลยจะคิดว่าเขากลับตายไปเสียแล้ว” เฉินกวงขยุ้มผมอย่างกลัดกลุ้ม “ท่านแม่ทัพ ข้าก่อปัญหาให้ท่านแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
เซ่าหมิงยวนมองเฉินกวงอย่างเฉยเมย ในดวงตาฉาบด้วยน้ำแข็งบางๆ ชั้นหนึ่ง “คราวหน้าถ้ามีคนบุกรุกจวนสกุลหลียามวิกาลอีกล่ะก็ฆ่าให้ตายทันที องครักษ์คนหนึ่งเช่นเจ้าจะห่วงพะวงอะไรนักหนาไปด้วยเหตุใด”
ผู้ใต้บังคับบัญชามีหน้าที่สังหารคน ส่วนเขารับผิดชอบสะสางผลที่ตามมา การทำงานประสานกันอย่างนี้ไม่มีอันใดผิดปกติสักนิด เจ้าหนุ่มเฉินกวงผู้นี้วอนโดนสั่งสอนแล้วจริงๆ
ชายหนุ่มคิดถึงว่ามีบุรุษคิดไม่ซื่อกับเฉียวเจาหมายเล็ดลอดเข้าจวนสกุลหลีกลางดึก ความปรารถนาอยากสังหารคนก็ลุกโชนขึ้น แต่พอคิดไปถึงคนที่ปาดคอนักสู้ซีเจียงอีกที เขาก็รู้สึกกรุ่นโกรธทันควัน
หากเขาเดาไม่ผิด เป้าหมายของฆาตกรตัวจริงมิใช่เจาเจาแต่เป็นเขา
การใช้อุบายเป็นนกขมิ้นอยู่ด้านหลัง* นี้ เพราะคิดจะดึงเขาไปติดร่างแหด้วย
จุดประสงค์ของอีกฝ่ายคืออะไร ให้เขากับคณะทูตซีเจียงเป็นปฏิปักษ์กัน เช่นนั้นอีกฝ่ายจะได้รับประโยชน์ใดจากเรื่องนี้เล่า
เซ่าหมิงยวนครุ่นคิดอยู่ในใจก็ได้ยินองครักษ์รายงานว่าเจ้าหน้าที่ของกรมอาญาส่งคนมา เขาจึงพาเฉินกวงรุดไปที่นั่น
ยามชายหนุ่มเดินไปถึงหน้าประตูโถง ได้ยินเสียงตะคอกกราดเกรี้ยวของหลีกวงเหวิน “อะไรนะ! เป็นถึงองค์หญิงซีเจียงกลับส่งบุรุษคนหนึ่งมาบุกรุกห้องส่วนตัวของบุตรสาวข้าในยามวิกาล? ท่านเสนาบดีกรมอาญา นี่ยังต้องถามข้าอีกหรือ ไล่ตะเพิดผู้บงการออกจากต้าเหลียงเราไปก็เป็นอันสิ้นเรื่องแล้ว”
หัวหน้าคณะสามตุลาการพวกนี้ล้วนเลี้ยงเสียข้าวสุกใช่หรือไม่ รับเบี้ยหวัดไปเปล่าๆ ไม่ทำงานทำการ
ความรู้สึกที่โค่วสิงเจ๋อมีต่อหลีกวงเหวินนั้นขัดแย้งอยู่สักหน่อย
เดิมทีกวนจวินโหวเป็นหลานเขยของเขา ผลปรากฏว่าตอนนี้กวนจวินโหวหมั้นหมายกับบุตรสาวของเจ้าท่อนไม้แซ่หลี เขาไม่อาจไม่ให้เกียรติอีกฝ่ายอยู่หลายส่วน ชวนให้ไม่สบอารมณ์อย่างบอกไม่ถูกจริงๆ
เมื่อโค่วสิงเจ๋อไม่อยากพูดจา เสนาบดีศาลยุติธรรมจำต้องเป็นคนกล่าวอธิบาย “อาลักษณ์หลี จุดสำคัญมิได้อยู่ตรงนี้ นักสู้ซีเจียงที่ไปสอดแนมสกุลหลียามวิกาลผู้นั้นตายแล้ว”
“ตายแล้ว?!” หลีกวงเหวินผ่อนลมหายใจออกเฮือกหนึ่ง บนใบหน้าเผยรอยยิ้มดุจสายลมเย็นรื่นดั่งแสงจันทร์กระจ่าง “เมื่อครู่พอได้ยินว่ามีคนบุกรุกเรือนข้ายามวิกาลก็มัวแต่โมโหเลยจับความด้านหลังไม่ถนัด ในเมื่อคนตายไปแล้ว ข้าก็ไม่ไล่เลียงเอาผิดกับคนตาย”
พวกเสนาบดีศาลยุติธรรมอ้าปากแล้วหุบปาก กลับไม่รู้ว่าสมควรพูดว่าอะไรดี
กงอ๋องแค่นหัวร่อ “อาลักษณ์หลี คนของพวกข้าตายไปเช่นนี้ จวนท่านสมควรให้คำอธิบายสักอย่างกระมัง”
“คำอธิบาย?” หลีกวงเหวินเบิกตากว้างอย่างฉงนใจ “มิใช่ข้าให้เขากระทำเรื่องลูบสุนัขลักไก่** กลางดึกเสียหน่อย ข้าจะให้คำอธิบายอะไรได้”
“ท่าน...” กงอ๋องพบเจอขุนนางเช่นนี้เป็นคราครั้งแรก ถึงกับอึ้งงันไปพูดไม่ออก
“แต่พวกท่านสกุลหลีฆ่าคนตาย หรือจะแล้วกันไปเท่านี้ใช่หรือไม่” องค์หญิงซีเจียงกล่าวแทรกขึ้น
ตอนนี้เองหลีกวงเหวินถึงมองปราดไปที่องค์หญิงซีเจียง เขามุ่นคิ้วกล่าวว่า “หลักฐานเล่า พวกเจ้าส่งคนมาตัดช่องย่องเบาเรือนพวกข้าก็เลยเป็นพวกข้าฆ่าคนตายหรือ ดีไม่ดีอาจเป็นจอมยุทธ์คนใดทนดูการกระทำเฉกหัวขโมยพรรค์นี้ไม่ได้ ชักดาบช่วยผดุงความเป็นธรรมก็เป็นได้”
องค์หญิงซีเจียงไม่ทันแย้งกลับ หลีกวงเหวินเหยียดมุมปากออกเอ่ย “อีกอย่างบอกว่าคนผู้นั้นเป็นนักสู้อันดับหนึ่งของซีเจียงมิใช่รึ นักสู้อันดับหนึ่งไม่ได้ความถึงเพียงนี้เชียวหรือถึงโดนบ่าวชายในจวนขุนนางฝ่ายบุ๋นผู้หนึ่งฆ่าตายได้ ข้าบอกได้อย่างไม่อายเลยว่าครอบครัวข้ายากจน มีบ่าวชายทั้งหมดเพียงสี่ห้าคน นี่ยังรวมถึงตาเฒ่ายามหน้าประตูด้วยนะ”
เหล่าขุนนางต้าเหลียงต่างเงียบฟังด้วยความสะใจ “…” หมดจดสวยงาม!
คณะทูตซีเจียงอึ้งงัน “…” เดินหมากผิดแล้ว เอาเรื่องกับกวนจวินโหวตรงๆ เท่านั้นเป็นพอ ส่วนคนผู้นี้รีบกลับไปโดยไวเสีย
เซ่าหมิงยวนอยู่นอกประตูฟังท่านพ่อตาแสดงวาทะเป็นน้ำไหลไฟดับแล้วแทบหัวเราะออกมา เขาก้าวขาเดินเข้าไป
เจ้าหน้าที่หน้าประตูขานบอก “กวนจวินโหวมาถึงแล้ว”
* มาจากสำนวน ‘ตั๊กแตนจ้องจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง’ ในที่นี้หมายถึงมีคนแอบจ้องเล่นงานอยู่ด้านหลัง
** ลูบสุนัขลักไก่ หมายถึงพฤติกรรมลักเล็กขโมยน้อย รวมถึงการลักลอบมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว