หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 650
บทที่ 650
เซ่าหมิงยวนเหลือบตาลงมองน้องชายที่สูงเลยบ่าตนแล้วเปล่งเสียงหัวร่อเบาๆ “ใช่ ข้าจะไปแล้ว”
“พี่รอง…” เซ่าซียวนเรียกเสียงอุบอิบ
“น้องสามมีเรื่องใดหรือ”
“ความจริง…” เซ่าซียวนชั่งใจเล็กน้อยก่อนกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “ข้าก็รู้สึกว่าพี่ใหญ่ไม่สมควรพูดออกไป แต่ท่านอย่าโทษพี่ใหญ่ได้หรือไม่ ท่านแม่ล้มป่วย ในใจพี่ใหญ่เลยเป็นทุกข์…”
เซ่าหมิงยวนยกมือตบไหล่น้องชาย “น้องสาม ถึงเวลานี้จะโทษหรือไม่โทษก็ไม่สลักสำคัญอันใดแล้ว เจ้าไม่ต้องเข้ามายุ่งกับเรื่องพวกนี้ หมั่นฝึกฝีมือวรยุทธ์ไว้อย่าให้ขาด พี่รองไปก่อน”
“พี่รอง…” เห็นเซ่าหมิงยวนเดินห่างไปไกลขึ้นทุกที เซ่าซียวนยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมนานสองนาน
ในกาลก่อนเขาไม่ใคร่ชมชอบพี่รอง โดยเฉพาะหลังจากพี่รองสังหารพี่สะใภ้รอง เขายิ่งรู้สึกเกลียดชังพี่รองอย่างที่สุด แต่เหตุไฉนตอนนี้เขารู้สึกว่าพี่รองน่าสงสารอยู่สักหน่อยนะ
เมื่อครั้งวัยเยาว์เขามักบอกตนเองว่าเพราะพี่รองไม่เชื่อฟังถึงยั่วโทสะท่านแม่ ท่านแม่ไม่ได้ลำเอียง ทว่าบัดนี้เขารู้แล้วว่าท่านแม่ทำไม่ดีกับพี่รองจริงๆ
แต่ว่านี่จะโทษท่านแม่ได้หรือ ถ้าท่านแม่ก็ไม่ผิด แล้วใครผิดกันแน่เล่า
เซ่าซียวนเพียงรู้สึกว่าในอกว่างโหวงเหวง สุดท้ายเขาเดินคอตกกลับห้องไปอย่างหดหู่ใจ
ด้านเซ่าหมิงยวนกลับถึงจวนกวนจวินโหว องครักษ์กล่าวรายงานเขาว่า “ท่านแม่ทัพ สกุลหลีส่งคนมาเชิญท่านไปที่นั่นขอรับ”
ชายหนุ่มฟังแล้วใจกระตุกวูบพลางเอ่ยถามขึ้น “คนที่มาบอกหรือไม่ว่าใครเป็นคนเชิญข้าไป”
องครักษ์มองท่านแม่ทัพของตนอย่างเห็นใจ “เป็นนายท่านใหญ่ของสกุลหลีขอรับ”
พอเห็นท่านแม่ทัพทำสีหน้านิ่งงันไป องครักษ์พูดเสริมขึ้น “เอ่อ…ท่านพ่อตาของท่านขอรับ”
“เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว” เซ่าหมิงยวนโบกมือบอกให้เขาออกไปแล้วนั่งอยู่ในห้องหนังสือก่อนยกมือถูหน้าแรงๆ
ท่านพ่อตาเรียกเขาไปที่จวนสกุลหลีในยามนี้?
บัณฑิตให้ความสำคัญกับขนบธรรมเนียม คงไม่ใช่ว่าท่านพ่อตาได้ข่าวแล้วว่าเขาเป็นบุตรชายของอนุลับเลยคิดจะยกเลิกการหมั้นหมายกระมัง
พอคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ เซ่าหมิงยวนรู้สึกเจ็บแปลบตรงกลางอกอย่างรุนแรงเหมือนหัวใจถูกกระชาก
เขาเลิกวาดหวังถึงความผูกพันของคนสายเลือดเดียวกันไปแล้ว ชาตินี้ได้จูงมือเคียงคู่กับเจาเจาไปชั่วชีวิตคือความปรารถนาสูงสุดของเขา ถ้าหากการแต่งงานมีอุปสรรคติดขัด เขาอาจจะทำเรื่องที่ตนเองยังคิดไม่ถึงก็เป็นได้
หน้าต่างมิได้เปิดออก ในห้องหนังสือมีแสงสว่างสลัวๆ เซ่าหมิงยวนซึ่งนั่งอยู่เงียบๆ เป็นนานผุดลุกขึ้นกะทันหัน
การหลบหนีมิใช่ทางออก อย่างมากเขาทำหน้าหนาขึ้นอีก ถ้าท่านพ่อตาอยากถอนหมั้นก็ร้องไห้ให้ท่านดูแล้วกัน
จวนสกุลหลีในตรอกซิ่งจื่อ
“นายท่านใหญ่ ท่านโหวมาแล้วขอรับ”
“เชิญเข้ามา”
ไม่นานนักเซ่าหมิงยวนแหวกม่านก้าวเข้ามา เขาตวัดสายตาผ่านเฉียวเจาที่นั่งติดกับหลีกวงเหวินแล้วกล่าวทักทาย “ข้าขอคารวะท่านพ่อตาขอรับ”
หลีกวงเหวินยกมือชี้ “นั่งสิ”
ชายหนุ่มนั่งลงเงียบๆ
หลีกวงเหวินยกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่งก่อนชายตามองเขา “ข้าได้ยินข่าวที่ลือกันข้างนอกพวกนั้นแล้ว”
เซ่าหมิงยวนหลุบตาต่ำรับฟังอย่างนอบน้อม
“ตกลงว่าเรื่องนี้เป็นจริงหรือเท็จ” หลีกวงเหวินถามด้วยสีหน้าขึงขัง
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงพยักหน้าเบาๆ “เรียนท่านพ่อตา เรื่องนี้เป็นความจริง ข้าเป็นบุตรชายลับจริงๆ ขอรับ”
เมื่อกล่าวถ้อยคำนี้ออกมาแล้ว ใบหูของเขาแดงเรื่อๆ
เขาอาศัยคุณความชอบในกองทัพก้าวขึ้นมาถึงตำแหน่งในทุกวันนี้ ไม่เคยรู้สึกว่าชาติกำเนิดเป็นตัวตัดสินทุกสิ่ง มีเพียงอยู่เบื้องหน้าบิดาของเจาเจาถึงรู้สึกไร้ความมั่นใจ
หลีกวงเหวินมองเซ่าหมิงยวนอย่างจริงจัง “เช่นนั้นเจ้าเพิ่งรู้ตอนนี้ หรือว่ารู้ตั้งแต่ก่อนหมั้นหมายแล้ว”
สีหน้าของชายหนุ่มเจื่อนลง
“ท่านพ่อ…” เฉียวเจาอดเปล่งเสียงเรียกไม่ได้
หลีกวงเหวินตบตัวบุตรสาวเบาๆ เป็นเชิงบอกนางว่าไม่ต้องพูด
เฉียวเจาได้แต่ส่งสายตาให้เซ่าหมิงยวนอย่างจนใจ
เขากล่าวตอบตามสัตย์จริง “ก่อนหมั้นหมายท่านพ่อข้าก็บอกกับข้าแล้วขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นนี่คือจวนจิ้งอันโหวของพวกเจ้าหลอกลวงให้ผูกดองกันสินะ” หลีกวงเหวินกล่าวเสียงเย็นๆ
เซ่าหมิงยวนหน้าเสียเล็กน้อย เขากล่าวอย่างละอายใจ “เป็นข้าที่ทำได้ไม่เหมาะสม สมควรบอกกล่าวให้ท่านพ่อตาทราบแต่แรก”
“ข้าขอถามเจ้า เจ้ายังมีเรื่องปิดบังเจาเจาอีกหรือไม่”
“ไม่มีขอรับ” เขากล่าวตอบทันที
“แล้ววันหน้าพบเจอปัญหาอีก เจ้าจะไม่ปิดบังนางกระมัง”
“ไม่ขอรับ สามีภรรยาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน วันหน้าไม่ว่าพบเจอปัญหาใด ข้าจะหารือกับเจาเจาเสมอขอรับ”
หลีกวงเหวินถึงพยักหน้าอย่างพอใจ “จดจำถ้อยคำที่เจ้าพูดไว้ในวันนี้ก็แล้วกัน”
เซ่าหมิงยวนลอบโล่งอกน้อยๆ แต่ยังไม่อยากเชื่อว่าจะผ่านด่านได้ง่ายดายปานนี้ เขามองหลีกวงเหวินอย่างงงงัน
หลีกวงเหวินอดขบขันไม่ได้ “เหตุใดรึ อยากให้ข้าเลี้ยงอาหารด้วยหรือ”
“เอ่อ…เช่นนั้นข้าปฏิเสธคงเป็นการเสียมารยาทแล้วขอรับ”
ท่านพ่อตาเต็มใจเลี้ยงอาหาร ว่าที่ภรรยาที่คว้ามาไว้ในมือได้คงไม่หลุดลอยแล้ว
“เอาล่ะ ไปโถงกินอาหารเถอะ ข้าวปลาอาหารเตรียมไว้พร้อมสรรพ วันนี้พวกเราสองคนมาดื่มกันให้หนำใจ”
“ขอรับ” เซ่าหมิงยวนมองเฉียวเจาแวบหนึ่งอย่างฉับไว
“เจาเจาก็มาด้วยกันสิ” หลีกวงเหวินเอ่ยเสียงเรียบๆ
ในโถงกินอาหารจัดวางสุราอาหารไว้แล้ว หลีกวงเหวินยกจอกสุราชนกับเซ่าหมิงยวนแล้วดื่มรวดเดียวหมด
จวบจนชนจอกกันไปสามรอบ หลีกวงเหวินเริ่มพูดเจื้อยแจ้ว “วันนี้ที่เรียกเจ้ามาก็เพื่อดูว่าเจ้าจะพูดความจริงหรือไม่ ถ้าเล่นลิ้นตลบตะแลง ข้าก็ไม่วางใจที่จะยกบุตรสาวให้เจ้า”
“ข้าพูดไม่เก่ง เล่นลิ้นตลบตะแลงไม่เป็นมาแต่ไหนแต่ไรขอรับ”
หลีกวงเหวินดื่มสุรามากเกินไปบ้าง เขาหรี่ตาพยักหน้า “เช่นนี้ดีมาก หมิงยวนเอ๊ย…”
“ขอรับ”
“อย่าไปใส่ใจเสียงนกเสียงกาพวกนั้น นิสัยใจคอและความประพฤติของคนผู้หนึ่งตัดสินจากชาติกำเนิดหรือ บุตรของภรรยาเอกก็ต้องเป็นผู้มีจิตใจบริสุทธิ์คุณธรรมสูงส่ง บุตรของอนุลับก็ต้องเป็นคนต่ำช้าเลวทรามไร้ยางอายหรือ สุนัขผายลมทั้งเพ!” หลีกวงเหวินกระดกจอกสุราดื่มจนเกลี้ยงอีก
“ท่านพ่อ ท่านดื่มมากไปแล้ว” เฉียวเจาไม่เข้าใจว่าไฉนงานเลี้ยงหงเหมินในความคิดทีแรกของนางถึงกลายเป็นการร่ำสุราจับเข่าคุยกันเสียแล้ว
“ข้าไม่ได้ดื่มมากไป” แววตาของหลีกวงเหวินแจ่มใส “ต่อให้ดื่มมากไป แต่ในใจข้าแจ่มแจ้งดี บนแผ่นดินนี้อาจมีบุตรชายสายเลือดภรรยาเอกนับพันนับหมื่น ทว่าคนที่ต้านทานพวกต๋าจื่อของเป่ยฉีที่ป่าเถื่อนโหดเหี้ยมดุจสัตว์ป่าพวกนั้นได้มีเพียงกวนจวินโหวผู้เดียว หมิงยวนเอ๊ย เจ้าเป็นตัวของเจ้าเองให้ดีก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่ใจอคติของพวกคร่ำครึ แล้วก็…แล้วก็เจาเจา…”
หลีกวงเหวินเหลียวมองไปรอบๆ อย่างงุนงง “เอ๊ะ…เจาเจาเล่า”
“ท่านพ่อ ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าวอย่างอ่อนใจ
หลีกวงเหวินจับมือนางไปวางในมือชายหนุ่ม
เซ่าหมิงยวนอึ้งงันไป
“เจาเจาเอ๊ย เจ้าก็ห้ามคิดฟุ้งซ่านเพราะชาติกำเนิดของหมิงยวนเหมือนกันนะ เขาดีต่อเจ้า ท่านพ่อเห็นอยู่กับตา…” หลีกวงเหวินดื่มสุรามากไปแล้วจริงๆ เขายังกล่าวไม่จบความก็ฟุบลงบนโต๊ะ
เฉียวเจามองไปทางเซ่าหมิงยวน
เขากลับเบนสายตาไปทางอื่นฉับพลัน แต่กระชับมือบีบมือนางทีหนึ่ง
“ถิงเฉวียน?”
ชายหนุ่มปรับสีหน้าเป็นปกติดังเดิมแล้ว “เจาเจา พวกเราพยุงท่านพ่อตากลับไปพักผ่อนในห้องเถอะ”
เมื่อพาหลีกวงเหวินกลับห้องเรียบร้อย เฉียวเจาออกไปส่งเซ่าหมิงยวน
“ผู้อยู่เบื้องหลังผลักท่านออกมาเป็นเป้าสายตาก่อน แล้วค่อยเปิดโปงชาติกำเนิดของท่านก็เพื่อให้ผู้คนพากันหันมาสนใจจุดนี้ แต่สำหรับท่านแล้วเรื่องนี้อย่างมากเป็นดั่งรอยตำหนิเล็กๆ บนหยกงาม ข้าคะเนว่าพวกเขายังไม่งัดไม้ตายออกมาใช้”
“ข้าส่งคนไปลงมือสืบแล้ว เรื่องพวกนี้มอบให้เป็นหน้าที่ข้าก็พอ”