หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 652
บทที่ 652
“ท่านพ่อ ท่านต้องการพบข้าหรือขอรับ” ยามเซ่าซียวนย่างเท้าเข้าห้องหนังสือก็เห็นจิ้งอันโหวเอามือไพล่หลังย่ำเท้าวนไปวนมาอยู่ด้านใน
จิ้งอันโหวได้ยินเสียงแล้วหยุดฝีเท้า กวักมือเรียกเขา “ซียวน เจ้ามานี่”
เซ่าซียวนเดินไปตรงหน้าบิดา ในใจเขาบังเกิดความกระวนกระวายอยู่หลายส่วนชอบกล
“ซียวน ข้าจำได้ว่าปีที่แล้วเจ้าเคยเอ่ยกับข้าว่าตั้งใจจะไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาไป๋ลู่”
สำนักศึกษาไป๋ลู่อยู่ในอำเภอเหออวี๋ ถึงแม้จะเทียบมิได้กับสำนักศึกษาหลวงของทางราชสำนัก แต่เหนือกว่าที่มีความยืดหยุ่นผ่อนปรน ให้ความสำคัญกับการพัฒนาฝีมือรอบด้านมากกว่า โดยเฉพาะทักษะแขนงขี่ม้ายิงธนูซึ่งขึ้นชื่อลือชามากที่สุด
เซ่าซียวนได้ยินบิดาเอ่ยถึงเรื่องนี้กะทันหันก็อดอึ้งงันไปไม่ได้ “ขอรับท่านพ่อ”
จิ้งอันโหวยื่นมือไปตบไหล่เขา “เจ้ากลับไปเก็บสัมภาระ ออกเดินทางในสองวันนี้เถอะ”
“ท่านพ่อ…” เซ่าซียวนไม่กล้าเชื่อหูของตน
ทั้งที่เขารบเร้าเซ้าซี้บิดามาหลายครั้งหลายครา ท่านก็ไม่ยอมตอบตกลง ไฉนจู่ๆ เปลี่ยนใจเสียแล้ว
“มัวยืนทื่ออยู่ด้วยเหตุใด ยังไม่กลับไปเก็บสัมภาระอีก”
“ท่านพ่อ แต่ก่อนท่านบอกว่าสำนักศึกษาไป๋ลู่ไกลเกินไป ไม่ให้ข้าไปมิใช่หรือขอรับ”
จิ้งอันโหวนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะกล่าวอธิบายยิ้มๆ “ก่อนหน้านี้เจ้าเด็กเกินไป ข้าหวั่นใจว่าเจ้าอยู่ห่างจากท่านพ่อท่านแม่แล้วจะซุกซนเกเร บัดนี้เจ้าเติบใหญ่แล้ว สมควรออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง”
เซ่าซียวนดีอกดีใจ “ถ้าอย่างนั้นข้ากลับไปเก็บสัมภาระนะขอรับ”
“ไปเถอะๆ ข้าจะส่งผู้ดูแลอาวุโสไปพร้อมกับเจ้า ถึงเวลามีเรื่องใดตัดสินใจไม่ได้ก็ถามไถ่เขาได้”
“ขอรับ ลูกทราบแล้ว” เซ่าซียวนเดินอย่างร่าเริงเบิกบานไปถึงหน้าประตูแล้วหยุดนิ่งกะทันหัน
จิ้งอันโหวเลิกคิ้วขึ้น
“ท่านพ่อ ท่านอย่าโมโหด้วยเรื่องของพี่ใหญ่เลยนะขอรับ เขาต้องไม่ได้ตั้งใจแน่ๆ…”
จิ้งอันโหวฝืนยิ้ม “รีบไปเถอะ ข้าไม่โมโห ในเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว โมโหไปก็ป่วยการ”
เซ่าซียวนเผยรอยยิ้มออกมา “ท่านพ่อไม่โมโหก็ดีแล้ว ข้าขอตัวนะขอรับ”
เมื่อเซ่าซียวนไปแล้ว ทั้งทั่วห้องหนังสือเงียบเชียบวังเวงไร้สุ้มเสียง จิ้งอันโหวนั่งจับเจ่าเซื่องซึมอยู่เป็นนานถึงเอ่ยสั่งให้คนไปเชิญเซ่าหมิงยวน
ไม่นานนักเซ่าหมิงยวนก็มาถึงจวนจิ้งอันโหว
“ท่านโหว คุณชายรองมาแล้วขอรับ”
“เชิญเขาเข้ามา”
ผู้ดูแลพาเซ่าหมิงยวนมาที่ห้องหนังสือของจิ้งอันโหว จากนั้นถอยออกไปเงียบๆ ตามคำสั่งของผู้เป็นนายพร้อมกับปิดประตูห้องอย่างเรียบร้อย
เมื่อเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น ประตูห้องหนังสือถูกงับปิดอย่างช้าๆ แสงสว่างในห้องพลันสลัวลง จิ้งอันโหวนั่งหันหลังให้แสง บันดาลให้เห็นสีหน้าเขาไม่ชัดเจน
“ท่านพ่อ” เซ่าหมิงยวนแสดงคำนับตามธรรมเนียม
พอเห็นบุตรชายคนรองที่รูปงามผึ่งผายแล้ว หางตาของจิ้งอันโหวร้อนผ่าว เขากล่าวเสียงแหบพร่า “หมิงยวนมาแล้วหรือ เข้ามานั่งสิ”
ชายหนุ่มเดินเข้าไปนั่งลงฝั่งตรงข้าม
จิ้งอันโหวพิศดูบุตรชายคนรองอย่างละเอียด
เขาปล่อยให้บิดามองสำรวจตามสบาย ใบหน้าไม่เผยอารมณ์ใดมากเกินไป
ผ่านไปเนิ่นนานเสียงถอนใจแผ่วเบาดังขึ้นภายในห้องที่มีแสงสลัวๆ “บุตรชายข้าเติบใหญ่แล้วจริงๆ”
“ท่านพ่อ…”
จิ้งอันโหวโบกมือไปมา “เจ้าฟังข้าพูด”
เซ่าหมิงยวนไม่กล่าววาจาอีก เขาโน้มกายไปข้างหน้าแสดงท่ารับฟังอย่างตั้งใจ
“หมิงยวน เจ้าอยู่ในฐานะสูงศักดิ์ประหนึ่งบุตรคนโปรดของสวรรค์มานานยี่สิบปี จู่ๆ ได้ยินว่าตนถือกำเนิดจากอนุลับ ในใจคงเป็นทุกข์มากกระมัง”
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยขึ้น “ชั่วชีวิตของคนเรามีทางเลือกมากมาย ยกเว้นสิ่งเดียวคือชาติกำเนิดที่ไม่อาจเลือกได้ ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าคิดได้ตั้งนานแล้วขอรับ”
เมื่อรู้แจ้งถึงชาติกำเนิดของตน เขาถึงบอกกับตนเองได้ว่าที่มารดาเย็นชาหมางเมินกับเขาตลอดเวลาที่ผ่านมามิใช่เพราะเขาไม่ดีพอ
จิ้งอันโหวมองชายหนุ่มนิ่งๆ ในดวงตาเขาฉาบประกายน้ำวาวๆ ยามกล่าวทอดถอนใจ “ใช่ ชีวิตคนเรามีทางเลือกมากมาย แม้กระทั่งวิธีตายยังสามารถเลือกได้ มีเพียงชาติกำเนิดและบิดามารดาที่เลือกไม่ได้”
เซ่าหมิงยวนเงียบงันไร้วาจา ทว่าในใจเริ่มบังเกิดความกังขา
ท่านพ่อในความทรงจำของเขามิใช่คนที่ชมชอบการรำพึงรำพัน ท่านเป็นทหารผู้หนึ่ง จึงมีจุดที่เหมือนกันของทหารส่วนใหญ่คือคารมไม่ดี พูดจาตรงไปตรงมาไม่ซับซ้อน
หรือจะบอกว่าท่านพ่อเรียกเขามาวันนี้มีความหมายอื่นแฝงอยู่
“ท่านพ่อ ท่านมีเรื่องอยากพูดกับข้าใช่หรือไม่ขอรับ”
จิ้งอันโหวนิ่งงันไปเล็กน้อย จากนั้นถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “หมิงยวน พี่ใหญ่กับน้องสามของเจ้าล้วนสู้เจ้าไม่ได้”
“ท่านพ่อกล่าวเช่นนี้ ข้าละอายใจนัก…”
จิ้งอันโหวคลายยิ้มละม้ายตกลงปลงใจได้ เขาไม่ลังเลอีกต่อไป “หมิงยวน เจ้าไม่จำเป็นต้องละอายใจ พี่ใหญ่กับน้องสามสู้เจ้าไม่ได้หาใช่เรื่องแปลกไม่ เพราะบิดาของเจ้าเป็นคนที่โดดเด่นเหนือใครอย่างนั้น เจ้าเป็นบุตรชายของเขา ย่อมไม่แตกต่างกันไปถึงที่ใดแน่นอน”
เซ่าหมิงยวนหน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน “ท่านพ่อ คำกล่าวนี้ของท่านมีความหมายใดขอรับ”
เมื่อพูดขึ้นต้นได้แล้วจิ้งอันโหวก็เอ่ยถ้อยคำที่เหลือได้คล่องปากขึ้น “เริ่มตั้งแต่ข่าวลือว่าเจ้าเป็นบุตรชายลับแพร่กระจายไป ข้าก็รู้ว่าคงปิดเรื่องนี้ไว้ไม่อยู่ หมิงยวน เจ้าฟังให้ดี เจ้าคือบุตรชายกำพร้าของเจิ้นหย่วนโหวที่ล่วงลับไปแล้ว”
“เจิ้นหย่วนโหว?” เซ่าหมิงยวนพึมพำทวนคำสามคำนี้ ความสับสนงงงันเสมือนคลื่นยักษ์มหึมาถาโถมท่วมทับเขา แม้แต่หายใจก็ยังรู้สึกเจ็บ
“ถูกต้อง เจิ้นหย่วนโหวแม่ทัพผู้มิเคยพ่ายศึกซึ่งเคยประจำการอยู่ที่ซานไห่กวน ยี่สิบเอ็ดปีก่อนหรือก็คือรัชศกหมิงคังปีที่ห้า หลันซานอาศัยควันหลงจากเหตุกบฏซู่อ๋องถวายฎีกาฟ้องร้องเจิ้นหย่วนโหว ฮ่องเต้พิโรธอย่างรุนแรง มีพระบัญชาประหารเจิ้นหย่วนโหวทั้งตระกูล...” จิ้งอันโหวบอกเล่าเรื่องในอดีตเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วอย่างละเอียดลออเป็นเวลานานเกือบหนึ่งชั่วยามถึงจบลง
เซ่าหมิงยวนฟังอย่างตะลึงลาน ก่อนจะกล่าวเสียงพึมพำขึ้น “ท่านจะบอกว่าแท้จริงแล้วข้าคือบุตรชายของเจิ้นหย่วนโหว ซึ่งได้ท่านพ่อกับผู้ทรงคุณธรรมหลายคนช่วยชีวิตไว้ในครั้งนั้น แม้แต่จอมปราชญ์เฉียวจัว เพราะรู้ว่าข้าคือบุตรกำพร้าของเจิ้นหย่วนโหวผู้ล่วงลับไปแล้วถึงได้ยกหลานสาวให้แต่งงานกับข้าหรือขอรับ”
จิ้งอันโหวพยักหน้าแรงๆ “ไม่ผิด ตอนนั้นที่ช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้ ยังเพราะได้รับความช่วยเหลือจากอาจารย์เฉียวอย่างขาดเสียมิได้ หมิงยวน พูดได้ว่าเพื่อให้เจ้ารอดชีวิต มีคนหลายคนต้องเอาชีวิตเข้าแลกเลยทีเดียว แต่เห็นหลายปีมานี้เจ้าต่อสู้กับชาวต๋าจื่อปกปักรักษาแผ่นดิน ข้าจึงปลาบปลื้มใจเป็นอันมาก เพราะพวกข้ารู้ว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดคุ้มค่าแล้ว”
เซ่าหมิงยวนกลับหน้าถอดสีทันใด น้ำเสียงเขาสั่นระริก “ท่านพ่อ แล้ว…แล้วบุตรชายคนรองที่แท้จริงของท่าน…”
พอกล่าวถึงตรงนี้เซ่าหมิงยวนกล่าวต่อไปไม่ได้แล้ว
เขาไม่กล้านึกภาพจริงๆ ว่าถ้าหากท่านพ่อใช้ชีวิตของบุตรชายในไส้แลกกับชีวิตของเขาจริงๆ ชั่วชีวิตที่เหลืออยู่เขาจะชดใช้คืนท่านเช่นไร
จิ้งอันโหวหัวร่อเบาๆ ในดวงตาเขาเปี่ยมไปด้วยความรักและเมตตา “ไม่ได้เป็นเช่นที่เจ้าคิด เด็กผู้นั้นร่างกายอ่อนแอมาแต่กำเนิด คลอดออกมาได้ไม่นานก็ตายไปแล้ว”
เซ่าหมิงยวนถอนใจโล่งอก แต่แล้วก็เป็นกังวลขึ้นมาอีก “เช่นนั้นท่านแม่…”
จิ้งอันโหวยิ้มฝืดๆ “เรื่องนี้เป็นข้าที่ผิดต่อท่านแม่เจ้าก่อน บุตรชายคนรองของพวกข้าอายุสั้น แต่ตอนนั้นท่านแม่เจ้ามีอาการตกเลือดหลังคลอดบุตร เลยแทบไม่ได้เห็นหน้าเด็กผู้นั้น ข้านึกว่าเอาเจ้ามาแทนที่เด็กผู้นั้นลับๆ ทั้งไม่ต้องเป็นห่วงว่าชาติกำเนิดเจ้าจะแพร่งพรายออกไป ทั้งช่วยให้ท่านแม่เจ้าไม่ต้องชอกช้ำใจเพราะเสียบุตรไป นับเป็นเรื่องที่ดีต่อทุกฝ่าย น่าเสียดายที่ข้าประเมินความเฉียบไวของท่านแม่เจ้าต่ำไป นางรู้ความจริงว่าเจ้ามิใช่บุตรชายคนรองของพวกข้าได้แต่แรกแล้ว”
ดวงตาของจิ้งอันโหวทอแววเศร้าสร้อยหดหู่เต็มเปี่ยม เขาหลับตาลง “หลันซานเจ้าเล่ห์ดุจสุนัขจิ้งจอก ครั้งนั้นเขาไล่ล่าสืบหาร่องรอยของเจ้าอย่างไม่รามือ ข้าถึงขั้นไม่กล้ากุเรื่องโกหกว่าเจ้าเป็นบุตรชายลับ ด้วยหวั่นกลัวจะมีข่าวเล็ดลอดออกไปเพียงนิดจนทำให้เขาจับพิรุธได้ ใครจะรู้ว่าถึงอย่างไรคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต หลังท่านแม่ของเจ้าพูดกับข้าตรงๆ ข้าจำต้องบ่ายเบี่ยงว่าเจ้าเป็นบุตรชายลับและส่งนางไปอยู่ที่หอพระ คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายกลับพังทลายด้วยน้ำมือของพี่ใหญ่เจ้าอยู่ดี”