หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 653
บทที่ 653
จิ้งอันโหวกล่าวถึงตรงนี้ก็หลั่งน้ำตานองหน้าแล้ว
เขาเชื่อมั่นเสมอมาว่าความลับที่หลุดออกจากปากจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ดังนั้นความลับเรื่องบุตรกำพร้าของเจิ้นหย่วนโหวมีคนรู้ยิ่งน้อยยิ่งดี
หลายปีที่ผ่านมาเขาเคยละอายใจ เคยอัดอั้นตันใจ เคยผวากลัว กระนั้นมีเพียงเรื่องที่ช่วยชีวิตบุตรชายคนเล็กของเจิ้นหย่วนโหวไว้ที่เขาไม่เคยเสียใจภายหลัง
เจิ้นหย่วนโหวเคยเป็นเสาหลักของต้าเหลียง ผดุงรักษาแผ่นดินอันยิ่งใหญ่ไพศาลไว้ บุคคลเฉกนี้จะให้เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาสูญสิ้นมิได้
“หลันซานกุมอำนาจในราชสำนักมาสิบกว่าปี มิได้อาศัยเพียงการประจบสอพลอเป็นอันขาด หลังจากข่าวลือว่าเจ้าเป็นบุตรชายลับแพร่ออกไปอย่างครึกโครม ข้าทบทวนไตร่ตรองแล้วเห็นว่าเรื่องนี้เกรงว่าคงปิดบังเขาไว้ไม่ได้แล้ว ดังนั้นถึงเรียกเจ้ามาหา จะให้เจ้าถูกปิดหูปิดตาไว้ไม่ได้อีก”
เซ่าหมิงยวนหลุบตาลงไม่พูดไม่จา
เขาจะพูดอะไรได้เล่า ขอบคุณฟ้าดินที่เมตตาเขาไม่น้อย ทำให้เขาปลดเปลื้องจากศักดิ์ฐานะเป็นบุตรชายลับที่น่าอัปยศหรือ
ทว่าชีวิตคนทั้งตระกูลของเขาไร้ค่าหรืออย่างไร
เจ้าแผ่นดินที่เขาจงรักภักดีกลับเป็นเพชฌฆาตที่สังหารคนในตระกูลของเขาทั้งหมดอย่างโหดเหี้ยมไม่ละเว้นแม้แต่เด็กทารก
เซ่าหมิงยวนไม่เคยสับสนเคว้งคว้างอย่างนี้มาก่อน
เขารู้ว่าความคิดเยี่ยงนี้เป็นการกบฏ แต่ความแค้นเคืองที่เกาะกุมสุมอยู่ตรงกลางอกระลอกนั้นไม่มีที่ให้ระบายออก
สุ้มเสียงแฝงความชราภาพอย่างชัดเจนของจิ้งอันโหวดังขึ้นข้างใบหู “ข้าเตรียมการให้น้องสามของเจ้าไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาไป๋ลู่แล้ว ที่นั่นมีผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าของข้าอยู่ ทันทีที่ในเรือนเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้น อย่างน้อยสามารถให้เขาเปลี่ยนชื่อแซ่รักษาชีวิตให้อยู่รอดต่อไปได้ หมิงยวน ข้าบอกความลับนี้แก่เจ้า เพื่อให้เจ้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไร หากมีวิธีรับมือได้ก็จะดีที่สุด ข้าไร้ความสามารถ นอกจากเป็นฝ่ายตั้งรับรอหลันซานเคลื่อนไหวก็ไม่มีหนทางที่ดีกว่านี้แล้ว”
ในเมืองหลวงทหารไม่มีวันเอาชนะขุนนางฝ่ายบุ๋นได้
มีคำกล่าวว่าบัณฑิตซิ่วไฉเป็นกบฏสิบปีไม่สำเร็จ ในรอบร้อยปีที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญญาชนที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านจนเกิดการผลัดแผ่นดิน นับแต่โบราณกาลมาฮ่องเต้ล้วนหวาดระแวงทหารและเชื่อใจขุนนางฝ่ายบุ๋นมากกว่าโดยสัญชาตญาณ
คนที่เคยนำทัพมาก่อนเช่นพวกเขาจะถูกเรียกกำลังทหารคืนทันทีที่กลับถึงเมืองหลวง เปรียบได้ดั่งพยัคฆ์ในกรง เห็นแล้วน่ากลัวแต่ความจริงไร้พิษสงใดๆ เทียบมิได้กับขุนนางคนสนิทของโอรสสวรรค์พวกนั้นที่ใช้ฝีปากคารมตามสบายก็ชี้เป็นชี้ตายคนอื่นได้แล้ว
เขามองเซ่าหมิงยวนด้วยสายตาลึกล้ำ
จิ้งอันโหวรู้ว่าบุตรผู้นี้ต่างออกไป เพราะเขามีพรสวรรค์ในเชิงการรบอย่างสูง ถึงแม้จะเป็นพยัคฆ์ร้ายที่ถูกขังในกรงเช่นเดียวกัน ท่านที่อยู่บนบัลลังก์มังกรผู้นั้นก็ไม่มีทางลงดาบกับเขาตามชอบใจ
กระนั้นในอดีตเจิ้นหย่วนโหวก็โดดเด่นเหนือผู้ใดเช่นกัน สุดท้ายยังคงยากจะหนีพ้นจุดจบดังคำกล่าวว่า ‘วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน’ ได้
“ท่านพ่อ ท่าน…ไม่ต้องเป็นห่วงข้า…” สุ้มเสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำ สีหน้าแปลกชอบกล “แล้วพวกพี่ใหญ่เล่าขอรับ”
“พวกเขาหรือ” นัยน์ตาของจิ้งอันโหวมีแววปวดร้าวจุดวาบขึ้น “พี่ใหญ่เจ้าไปไม่ได้ หากเขาไป หลันซานจะมองออกทันที”
พอกล่าวถึงตรงนี้จิ้งอันโหวหลับตาลง “พี่ใหญ่เจ้าเป็นซื่อจื่อ นี่คือภาระที่เขาพึงแบกรับไว้ และเป็นบทลงโทษที่เขาสมควรได้รับ”
ตั้งแต่วันที่เขารับบุตรชายคนเล็กของเจิ้นหย่วนโหวมาเลี้ยงดูเป็นต้นมา เขาเคยคิดถึงบทลงเอยหลังเรื่องนี้เปิดเผยออกมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาไม่นึกเสียใจ
หากเขานึกเสียใจผู้ตรวจการที่เอาศีรษะพุ่งชนเสามังกรเหล่านั้นจะมีค่าอะไร ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่โดนปลดจากตำแหน่งหรือถึงขั้นจบชีวิตเพราะช่วยขอความเมตตาจนยั่วโทสะฮ่องเต้เหล่านั้นจะมีค่าอะไร แล้วเหล่าผู้ทรงคุณธรรมที่ปาดคอฆ่าตัวตายเพื่อรักษาความลับไว้หลังจากคุ้มครองบุตรชายคนเล็กของเจิ้นหย่วนโหวให้หนีรอดได้เล่าจะมีค่าอะไร
เจิ้นหย่วนโหวช่วยปกป้องบ้านเมืองโดยไม่เสียดายชีวิต พวกเขาก็ย่อมจะยอมแลกได้ทุกสิ่งโดยไม่เสียดายเฉกเดียวกันเพื่อรักษาเลือดเนื้อเชื้อไขสุดท้ายของอีกฝ่ายเอาไว้
เซ่าหมิงยวนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
จิ้งอันโหวรีบก้มลงไปพยุงเขาขึ้น “หมิงยวน นี่เจ้าทำอะไร”
“ท่านพ่อ ท่านโปรดวางใจ ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับพวกท่าน”
จิ้งอันโหวพยุงเซ่าหมิงยวนลุกขึ้น เป็นการยากที่เขาจะเก็บงำแวววิตกกังวลในหน้าได้ “หมิงยวน เจ้าคิดจะทำอะไร”
พอเห็นเซ่าหมิงยวนไม่เอื้อนเอ่ยวาจา จิ้งอันโหวยิ่งตกใจยกหนึ่ง “หมิงยวน เจ้าจะวู่วามไม่ได้ ข้ารู้ว่าองครักษ์ของเจ้ามีฝีมือโดดเด่น แต่เจ้ามีกำลังคนเพียงไม่กี่ร้อยคน ยังไม่เอ่ยถึงกององครักษ์ทุกๆ กองในเมืองหลวง ลำพังแค่กององครักษ์จินหลินก็มีเกือบหมื่นคน การประจันหน้ากับพวกเขาไม่ต่างอะไรกับเอาไข่กระทบหิน เหนือสิ่งอื่นใด…”
จิ้งอันโหวมองเขานิ่งๆ “เหนือสิ่งอื่นใดบิดาของเจ้าคือแม่ทัพผู้จงรักภักดีเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คน เจ้าจะทำลายชื่อเสียงของเขาเพราะอารมณ์ชั่ววูบไม่ได้”
“ท่านพ่อ ท่านคิดไปถึงที่ใดขอรับ ท่านวางใจเถอะ ข้าไม่ทำอะไรเหลวไหลแน่”
“ไม่ทำอะไรเหลวไหลก็ดี” จิ้งอันโหวระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง
“แต่เพื่อปลอดภัยไว้ก่อน เป็นจังหวะดีที่น้องสามจะไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาไป๋ลู่ขอรับ”
จิ้งอันโหวฝืนยิ้มพยักหน้า “ใช่แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะให้เขาออกเดินทาง”
เขากล่าวถึงตรงนี้แล้วสองจิตสองใจเล็กน้อยก่อนถามขึ้น “หมิงยวน เจ้าตั้งใจจะทำอย่างไร”
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ถึงเอ่ยขึ้น “ข้าจะคิดหาหนทางล้างมลทินให้ตระกูลของเจิ้นหย่วนโหวขอรับ”
“นี่เป็นไปไม่ได้” จิ้งอันโหวโพล่งขึ้น
แววตาของเซ่าหมิงยวนไหววูบ
จิ้งอันโหวกล่าวทอดถอนใจ “ตอนนั้นฮ่องเต้ทรงยืนกรานออกพระราชโองการ หากล้างมลทินให้เจิ้นหย่วนโหวได้ จะมิใช่ทำให้ฮ่องเต้ต้องทรงยอมรับว่าพระองค์เป็นคนผิดในครั้งนั้นหรือ”
ด้วยนิสัยหัวรั้นของฮ่องเต้หมิงคัง มีหรือจะยอมรับว่าตนเป็นคนผิด
“เมื่อถึงเวลาที่ไม่อาจไม่ยอมรับได้ เช่นนั้นก็จำต้องยอมรับขอรับ” ดวงตาของชายหนุ่มทอประกายเย็นเยียบวูบหนึ่ง “ท่านพ่อ ข้ากลับก่อนนะขอรับ”
“เจ้าไปเถอะ”
เซ่าหมิงยวนเดินออกไปข้างนอกก็ได้พบกับหวังซื่อซึ่งเดินมาพอดี ข้างหลังนางมีสาวใช้ถือกล่องอาหารตามมาด้วย
“พี่สะใภ้ใหญ่”
“นี่น้องรองจะกลับแล้วหรือ”
“ขอรับ”
“อยู่กินอาหารพร้อมท่านโหวสิ สองวันนี้ท่านโหวไม่ค่อยได้กินข้าวกินปลา อาหารพวกนี้ก็มากพอจะกินได้สองคนพอดี”
“ไม่ล่ะขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ายังมีงานที่จวน” เซ่าหมิงยวนบอกปัดอย่างอ้อมค้อม “พี่สะใภ้ใหญ่ช่วยพูดกล่อมท่านพ่อแทนข้าด้วยนะขอรับ รักษาสุขภาพให้ดีจึงว่ากันถึงเรื่องอื่นได้”
พอเห็นเขามีสีหน้าท่าทางรีบร้อน หวังซื่อไม่คะยั้นคะยออีก “ในเมื่อน้องรองมีงานต้องสะสาง ข้าไม่รั้งตัวเจ้าไว้แล้ว น้องรองค่อยๆ เดินนะ”
เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องหนังสือ หวังซื่อรับกล่องอาหารมาจากสาวใช้แล้วเคาะประตูเบาๆ “ท่านโหว ข้าเข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เข้ามาเถอะ”
หวังซื่อเดินนำสาวใช้เข้าไปแล้วพูดกล่อม “ท่านโหว ข้าได้ยินว่าท่านไม่อยากอาหารเลยสั่งกำชับทางเรือนครัวให้ทำโจ๊กตุ๋นไก่ดำกับแตงกวาดองเป็นพิเศษ ท่านกินบ้างสักนิดเถอะเจ้าค่ะ”
“วางเอาไว้เถอะ อีกประเดี๋ยวข้าค่อยกิน”
หวังซื่อลังเลใจเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ข้าได้พบกับน้องรอง เขาก็กล่าวเช่นกันว่าท่านต้องรักษาสุขภาพให้ดีจึงว่ากันถึงเรื่องอื่นได้เจ้าค่ะ”
“ทำให้เจ้าวุ่นวายใจแล้ว” จิ้งอันโหวแลมองดวงหน้าอ่อนเยาว์ของหวังซื่อแล้วลอบถอนใจ เขาไพล่ไปถามอีกเรื่องหนึ่ง “หวังซื่อ ข้าจำได้ว่าเดือนหน้าก็จะถึงวันเกิดครบรอบอายุห้าสิบปีของบิดาเจ้าแล้วกระมัง”
หวังซื่อนิ่งขึงไปอึดใจหนึ่ง จากนั้นพยักหน้าทันที
“แม้ว่าเรือนเดิมของเจ้าจะอยู่ไกลไปบ้าง แต่บิดาฉลองวันเกิดครบรอบอายุห้าสิบปีทั้งทีก็สมควรไปร่วมงาน สองวันนี้เจ้าเตรียมเก็บสัมภาระกลับไปสกุลเดิมเถอะ”
“ตอนแรกข้ากำลังจะบอกกับท่านโหวอยู่เหมือนกัน เพียงว่าชิวเกอเอ๋อร์กับเสี่ยวนิวนิวยังเล็กนัก ข้าเป็นห่วงว่าพาพวกเขาสองคนเดินทางสมบุกสมบันจะล้มป่วยเอาได้ ครั้งนี้เลยตั้งใจจะพาตงเกอเอ๋อร์ไปคนเดียวเจ้าค่ะ”
จิ้งอันโหวนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน “นั่นสิ พวกเขายังเล็กไปก็ให้อยู่กับเรือนเถอะ เจ้าพาตงเกอเอ๋อร์กลับไปก็แล้วกัน…”
จิ้งอันโหวกล่าวถึงท้ายประโยคแล้วสุ้มเสียงแหบพร่ามาก หวังซื่อลอบประหลาดใจ แต่คิดไม่ออกว่าเป็นเพราะอะไร นางพูดกล่อมบิดาสามีอีกสองสามคำถึงกลับไป