หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 654
บทที่ 654
เซ่าหมิงยวนกลับถึงจวนกวนจวินโหว เขาเดินอยู่ในลานเรือนที่ว่างโหรงเหรง ตรงกลางอกละม้ายมีหินก้อนใหญ่กดทับไว้ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก
เขาเป็นบุตรชายของเจิ้นหย่วนโหวหรือนี่ เจิ้นหย่วนโหวที่ยามผู้คนมากมายเอ่ยถึงบ้างก็รู้สึกเสียดายบ้างก็เลี่ยงหลบผู้นั้นเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของเขา
รัชศกหมิงคังปีที่ห้า ตอนเขาสนทนาสัพเพเหระกับเจาเจาเคยพูดหลายครั้งว่าในปีนั้นมีปริศนามากมาย กระนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าชาติกำเนิดของเขาต่างหากคือความลับใหญ่ที่สุด
ปีนั้นเขามิใช่ผู้ชมอยู่วงนอกอีกต่อไป แต่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์นองเลือดอย่างแท้จริง ทุกๆ อณูของกลิ่นคาวโลหิตที่ผู้คนได้กลิ่นล้วนเป็นเลือดคนในครอบครัวของเขา
เซ่าหมิงยวนเดินเข้าไปในศาลารับลมแล้วนั่งลงบนเก้าอี้หิน เขาเอ่ยสั่งองครักษ์ที่ติดตามมา “เอาสุรามาให้ข้า”
แม้นองครักษ์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มองออกว่าท่านแม่ทัพไม่ค่อยปกติ ในเวลาอย่างนี้เขาไม่กล้าปากมาก เร่งรีบไปที่เรือนครัวหยิบสุรา เขาคิดๆ แล้วยังเตรียมกับแกล้มสองสามจานให้ด้วยอย่างเอาใจใส่
ฤดูใบไม้ผลิในเดือนสองอากาศหนาวเย็น สุราอาหารวางอยู่บนโต๊ะหินในศาลารับลมเย็นชืดอย่างรวดเร็ว
เซ่าหมิงยวนไม่แตะกับแกล้มสุราพวกนั้นสักคำ เอาแต่รินสุราดื่มจอกแล้วจอกเล่า
องครักษ์ที่ยืนอยู่นอกศาลามองหน้ากันไปมา
“ท่านแม่ทัพไม่ปกติเป็นอันมาก”
“หรือจะทะเลาะกับคุณหนูหลี”
“ไม่กระมัง ท่านแม่ทัพของพวกเรากับคุณหนูหลีรักใคร่กันดีอยู่ตลอดนะ”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยู่กับท่านแม่ทัพตรงนี้อย่าไปที่ใด ข้าไปเชิญคุณหนูหลีมา”
เฉียวเจาได้ข่าวแล้วรุดไปยังจวนกวนจวินโหว มองปราดเดียวก็เห็นเซ่าหมิงยวนนั่งร่ำสุราอยู่โดดเดี่ยวลำพังในศาลารับลม
นางขมวดคิ้วแล้วยกชายกระโปรงเร่งฝีเท้าเข้าไปใกล้ ยังไม่ทันถึงศาลาก็ได้กลิ่นสุราฉุนแรง
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคุ้นหู เซ่าหมิงยวนหันศีรษะมาแล้วตาเป็นประกายฉับพลัน เขาเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “เจาเจา เจ้ามาแล้วหรือ”
เฉียวเจาพยักหน้ากับองครักษ์ที่ตามมาส่งนาง พอพวกเขาเดินออกไปห่างๆ อย่างรู้กาลเทศะ นางถึงก้าวฉับๆ เข้าไปในศาลานั่งลงข้างกายเขา
ฝ่ามือขาววางทาบลงบนมือที่กำกาสุราไว้ของชายหนุ่ม สุ้มเสียงแกมขุ่นเคืองของเด็กสาวดังขึ้น “เซ่าถิงเฉวียน นี่ท่านดื่มสุราคนเดียวดับทุกข์อยู่รึ”
เซ่าหมิงยวนแย้มยิ้ม “เจ้ามาแล้วก็ไม่ใช่ดื่มคนเดียว”
เฉียวเจาเพ่งมองดวงตาของเขาอย่างจริงจัง
ก่อนนางจะมาถึงชายหนุ่มดื่มสุราไปไม่น้อยแล้วอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตาเขาฉ่ำปรือ หางตาแดงเรื่อๆ ดูไปแล้วลดทอนความสำรวมไว้ตัวลงไปหลายส่วน แต่กลับแฝงเสน่ห์บางอย่างที่ชวนให้หน้าแดงใจเต้นมากขึ้น
ทว่าชั่วขณะนี้เฉียวเจาไม่มีแก่ใจคิดเตลิดไปไกล ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความห่วงใย “ถิงเฉวียน เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ชายหนุ่มพลันโน้มตัวมาโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน
“ถิงเฉวียน?” เฉียวเจากระซิบเรียก
กลิ่นสุราหอมแรงทำให้สตินางมึนงงอยู่บ้างราวกับว่าแม้แต่หัวสมองก็ไม่แจ่มกระจ่างแล้ว นางได้แต่ผลักบุรุษที่กอดนางไว้ออกพลางกล่าวทอดถอนใจ “ไหนบอกว่ามีเรื่องอะไรก็จะบอกข้าไม่ใช่หรือ ท่านเพิ่งรับรองกับท่านพ่อข้าไปนะ หากไม่รักษาคำพูด ระวังท่านพ่อตาจะมาชวนท่านร่ำสุราจับเข่าคุยกันอีกหรอก”
ชายหนุ่มวางปลายคางเกยบนกระหม่อมนาง ทอดสายตามองไปไกลๆ พลางกล่าว “ทหารขับขานบทเพลงพิชิตศึก ขอปฏิญาณไล่ศัตรูพ้นด่านหยก* ชีพนี้พลีเพื่อบ้านเมืองกลางสนามรบ ไยคิดห่อหนังอาชา** หวนคืนถิ่น…เจาเจา จริงๆ แล้วสำหรับทหารนักรบอย่างพวกข้า ฝังกระดูกกลางขุนเขาถึงจะเป็นบทลงเอยที่ดีที่สุด”
เฉียวเจาสะท้านเยือกไปทั้งร่าง นางยกมือปิดปากเขาไว้แต่กลับไม่กล่าววาจาสักคำ
ฝังกระดูกกลางขุนเขา ใช้หนังอาชาห่อศพ หากต้องถึงวันนั้นจริงๆ นางจะไม่หน่วงเหนี่ยวเขาไว้
หญิงสาววาดมือกอดเซ่าหมิงยวนแน่นขึ้น
“เจาเจา…”
“หือ?”
“บิดาของข้าคือเจิ้นหย่วนโหว”
เสียงพูดทุ้มพร่าของบุรุษดังขึ้นเหนือศีรษะ เฉียวเจาสะดุ้งเฮือก นางเงยหน้าขวับ
“…เหนือคาดมากใช่หรือไม่” เซ่าหมิงยวนหัวเราะเอื่อยๆ กลิ่นสุราฉุนแรงลอยมาปะทะใบหน้า ทำให้สองแก้มขาวผ่องของนางซับสีแดงเรื่อๆ ดุจดอกท้อ
“เจิ้นหย่วนโหวเมื่อรัชศกหมิงคังปีที่ห้าหรือ” เฉียวเจาถามเสียงเนิบนาบ
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าเบาๆ “ใช่ “เจิ้นหย่วนโหวเมื่อรัชศกหมิงคังปีที่ห้า”
เขากล่าวจบแล้วไม่เปล่งเสียงอีก เพียงกอดนางไว้นิ่งๆ ไม่ขยับกาย
เฉียวเจาอ้าปากแล้วหุบปาก นางยกมือขึ้นวางกลางแผ่นหลังเขาเบาๆ “ถิงเฉวียน ในใจท่านเป็นทุกข์ก็อย่าสะกดเก็บไว้ มา ข้าดื่มสุราเป็นเพื่อนท่าน”
เซ่าหมิงยวนยื่นมือไปหยิบกาสุรามารินให้นางเกือบครึ่งจอก “ข้าดื่มมากๆ ได้ แต่เจ้าดื่มได้แค่ครึ่งจอก”
นางยกจอกสุราชนจอกกับเขา “ขอร่วมดื่มกับท่าน”
เขากระดกจอกสุราดื่มรวดเดียวหมดแล้วรินใหม่อีก
นางมิได้ห้ามปราม หลังมองดูเขาดื่มติดๆ กันไม่น้อยกว่าสิบจอก สุดท้ายก็ลืมตาไม่ขึ้น ฟุบลงกับโต๊ะหินอย่างสงบเสงี่ยม
“ถิงเฉวียน?” เฉียวเจาผลักเขาเบาๆ
คนบางคนที่เมามายแล้วยื่นมือมาโอบนางไปใกล้ๆ แล้วเอาศีรษะพิงตัวนาง พูดเสียงงึมงำ “เจาเจา ข้าทรมานใจ…”
ขอบตาของเฉียวเจาร้อนผ่าวทันใด
ทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันมานานปานนี้ นางเข้าใจบุรุษผู้นี้ดี หากมิใช่ในใจทุกข์ทรมานจนทานทนไม่ไหว เขาไม่มีทางปริปากระบายออกมา
“ไม่เป็นไร มันผ่านไปหมดแล้ว วันหน้ามีข้าเป็นเพื่อนท่านนะ”
เซ่าหมิงยวนหลับตาอยู่ ราวกับว่าความทุกข์ทรมานระคนโกรธแค้นที่ท่วมท้นอยู่กลางอกหาทางปลดปล่อยออกได้ในที่สุด เขาสวมกอดความอบอุ่นเล็กๆ นั้นไว้สุดแรง จากนั้นความรู้สึกปั่นป่วนคลื่นเหียนพลันถั่งโถมเข้าใส่
เขาผลักนางออกแล้ววิ่งทะยานออกนอกศาลาไปเกาะต้นไม้เริ่มอาเจียนออกมา
เฉียวเจารีบเดินเข้าไปหา นางล้วงผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากให้เขา
เซ่าหมิงยวนได้อาเจียนแล้วสติแจ่มใสขึ้น เขาเอียงหน้าหลบไปอีกทาง กล่าวอย่างกระดากใจว่า “อย่าเข้ามาใกล้ กลิ่นไม่ชวนดม”
นางปรายตามองเขา “หลบข้าด้วยเหตุใด ข้าไม่เคยเห็นท่านในสภาพใดบ้าง”
เขาปรือตาที่ฉ่ำไปด้วยฤทธิ์สุราขึ้น เอ่ยถามอย่างงุนงง “ไม่ว่าสภาพใดล้วนเคยเห็นแล้วหรือ”
นางมองเขาด้วยสีหน้าแคลงใจ “เซ่าหมิงยวน ตกลงว่าท่านเมาจริงๆ หรือแกล้งเมากันแน่”
“ข้า…ข้าอยากบ้วนปาก...” เซ่าหมิงยวนขยับไปด้านข้างด้วยฝีเท้าซวนเซ
เฉียวเจาถอนใจเฮือก “ท่านรอก่อน ข้าเรียกคนไปเอาน้ำให้ ข้าจะไปต้มน้ำแกงสร่างเมา”
เซ่าหมิงยวนคว้ามือนางไว้หมับ “เจาเจา เจ้าอย่าไป…”
“ท่านเมาแล้ว ข้าต้มน้ำแกงสร่างเมาแล้วค่อยคุยกัน”
เขาส่ายหน้า “ไม่ดื่มน้ำแกงสร่างเมาก็ได้ เอาเป็นว่าเจ้าอย่าไปที่ใดนะ”
นางจนปัญญา สุดท้ายได้แต่โอนอ่อนผ่อนตาม ประคองชายหนุ่มกลับเข้าไปในศาลา
ว่าไปแล้วก็น่าขัน ทั้งที่คนบางคนเมาสุราแล้วกลับยังจำได้ว่าจะให้กลิ่นรบกวนว่าที่ภรรยาไม่ได้ เขานั่งห่างจากเฉียวเจาไกลๆ แต่กลัวนางจะกลับไป ดวงตาทั้งคู่จึงจับจ้องที่ตัวนางไม่คลาดคลา
เฉียวเจาจำต้องเรียกองครักษ์ไปเตรียมน้ำแกงสร่างเมา กว่าเขาจะได้สติเต็มที่ก็ย่ำเย็นแล้ว
“ขอโทษด้วย วันหน้าข้าไม่ดื่มมากถึงเพียงนี้แล้ว” นางยังไม่ทันพูดอะไร เซ่าหมิงยวนก็เป็นฝ่ายยอมรับผิดเอง
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ดื่มสุราก็เป็นวิธีบรรเทาความกดดันอย่างหนึ่ง”
หากกักเก็บไว้ในใจ นางยอมให้เขาดื่มสุราแล้วพูดออกมาดีกว่า
“จิ้งอันโหวต้องการบอกว่าหลันซานจะคาดเดาชาติกำเนิดที่แท้จริงของท่านออกได้ด้วยเหตุนี้และจะเล่นงานท่านหรือ”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้า
เฉียวเจาฉุกคิดขึ้นได้ “ถิงเฉวียน นี่แสดงว่าคนที่ทำให้ข่าวลือว่าท่านเป็นบุตรชายลับแพร่สะพัดไปทั่วมิใช่กลุ่มของหลันซานใช่หรือไม่ แต่เพื่อทำให้หลันซานหันมาสนใจท่าน และลงมือเล่นงานท่านรวมไปถึงจวนจิ้งอันโหวต่างหากที่เป็นเป้าหมายสุดท้ายของพวกนั้น”
“ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” เซ่าหมิงยวนหัวเราะเบาๆ “พวกนั้นวางอุบายได้ดีจริงๆ เริ่มต้นจากการตายของนักสู้ซีเจียงแล้วค่อยๆ รุกคืบทีละก้าว ท้ายที่สุดดึงหลันซานมาปะทะกับข้า ส่วนตนเองหลบอยู่ในที่ลับใช้กลยุทธ์ดูไฟชายฝั่ง”
“แล้วคนผู้นี้จะเป็นใคร”
* ด่านหยก ในที่นี้หมายถึงด่านซานไห่กวน
** มาจากสำนวน ‘หนังอาชาห่อศพ’ หมายถึงตายในสนามรบ ทั้งยังอุปมาถึงการทำศึกอย่างห้าวหาญ