หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 655
บทที่ 655
“ไม่ว่าเป็นใครก็ตามสามารถใช้หลันซานเป็นเครื่องมือได้ คนผู้นี้ต้องเจ้าเล่ห์เพทุบายและมีความคิดอ่านล้ำลึกเกินหยั่งจริงๆ”
เฉียวเจาเอามือเท้าคางไม่พูดไม่จา
“คิดอะไรอยู่หรือ” รอยยิ้มของเซ่าหมิงยวนหลังสร่างเมาแล้วอบอุ่นอ่อนโยน ไม่หลงเหลือท่าทางทุกข์ทรมานยากทานทนก่อนหน้านี้ให้เห็นโดยสิ้นเชิง
เฉียวเจาเห็นแล้วกลับปวดใจมากขึ้น นางกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “ข้ากำลังคิดว่าตอนนักสู้ซีเจียงมาลอบสอดแนมจวนสกุลหลีเป็นเวลาค่ำมืดดึกดื่น ถึงพวกนั้นจะวางแผนการร้ายไว้แต่แรก แต่จะบังเอิญถึงขนาดที่ลงมือสังหารนักสู้ซีเจียงอย่างโหดเหี้ยมหลังจากเฉินกวงเอาตัวเขาไปโยนกลางถนนได้พอดิบพอดีปานนั้นได้เช่นไร เว้นเสียแต่ว่า…”
“เว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นเฝ้าดูจวนสกุลหลีในที่ลับอยู่แต่เดิม” เซ่าหมิงยวนกล่าวต่อท้าย
หญิงสาวเฉลียวใจ “ถิงเฉวียน ข้าคิดถึงคนผู้หนึ่ง”
ชมชอบส่งคนมาเฝ้าดูเรือนของนาง ถูกนางจับได้หลายครั้งหลายหนยังคงไม่ลดละถอดใจ นอกจากเจียงหย่วนเฉาแล้วยังจะมีใครได้อีก
“เจ้าคิดถึงใครหรือ”
“เจียงหย่วนเฉา”
ได้ยินชื่อนี้สีหน้าของเซ่าหมิงยวนเย็นชาไปชั่วอึดใจอย่างเห็นได้ชัด
เขาไม่คิดว่ากององครักษ์จินหลินมีความจำเป็นต้องเฝ้าดูจวนสกุลหลี ถ้าเป็นเจียงหย่วนเฉาจริงๆ เช่นนั้นเขาได้แต่มองว่าเป็นความต้องการส่วนตนของคนผู้นั้น
เฉียวเจาลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปหาเขา!”
เซ่าหมิงยวนยื่นมือไปรั้งนางไว้ “อย่าไป พวกเราไม่มีหลักฐานใดๆ เจ้าไปหาเขา เขาจะยอมรับได้เช่นไรเล่า”
นางนั่งลงแล้วฝืนส่งยิ้มให้เขา “ข้าวู่วามไปเอง บางทีอาจไม่ใช่เขาก็เป็นได้”
“ไม่เป็นไร” เซ่าหมิงยวนยกมือลูบแก้มนุ่มนิ่มของเด็กสาว แววตาเย็นกระด้างของเขาทอประกายวาววับ “เป็นใครหาใช่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ ในเมื่อเป้าหมายของอีกฝ่ายคือยืมมือหลันซานเปิดเผยชาติกำเนิดที่แท้จริงของข้า เช่นนั้นก็เอาเลยสิ ดูว่าสุดท้ายเขาจะสำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายได้ หรือจะเป็นดังคำกล่าวว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จยังต้องเสียข้าวสารล่อ*!”
เช้าตรู่วันถัดมาผืนนภาขมุกขมัวยิ่ง
เซ่าซียวนโขกศีรษะให้บิดา “ท่านพ่อ ข้าไปนะขอรับ”
จิ้งอันโหวประคองเขาลุกขึ้น แววตาเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่เมตตาและอาลัยอาวรณ์ “ไปเถอะๆ จงจำไว้ว่าเชื่อฟังคำพูดของผู้ดูแลให้มากๆ ออกไปต่างถิ่นไม่เหมือนอยู่กับเรือน ห้ามซุกซนเกเร”
ได้ไปสำนักศึกษาที่ใฝ่ฝันไว้ อีกทั้งเป็นคราครั้งแรกที่ได้ออกจากเรือน เด็กหนุ่มในวัยนี้อย่างเซ่าซียวนย่อมจะคึกคักตื่นเต้นอย่างไม่ต้องสงสัย ใบหน้าเขาไร้ร่องรอยเศร้าสร้อยเพราะการลาจากเท่าไรนัก เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มระรื่น “ท่านพ่อวางใจเถอะ ข้ามิใช่เด็กน้อยเสียหน่อย จะซุกซนเกเรได้อย่างไร รอถึงเดือนเจ็ดเดือนแปดสำนักศึกษาหยุดพักการเล่าเรียน ข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านนะขอรับ”
“ได้ รีบออกเดินทางเถอะ ประเดี๋ยวจะไปไม่ถึงโรงเตี๊ยมก่อนฟ้ามืด” จิ้วอันโหวมองบุตรชายคนเล็กโดยไม่ละสายตา เห็นความตื่นเต้นและวาดหวังฉายชัดบนใบหน้าเขาก็ลอบถอนใจเฮือกหนึ่งแล้วมองไปทางผู้ดูแลเก่าแก่
ผู้ดูแลเข้าใจความหมาย อ้าปากกล่าวว่า “ท่านโหวสบายใจได้ขอรับ ข้าจะดูแลคุณชายสามเป็นอย่างดี”
เซ่าซียวนขึ้นรถม้าไปพร้อมกับผู้ดูแลเก่าแก่แล้ว จิ้งอันโหวยังยืนมองอยู่ที่เดิมเนิ่นนานถึงกลับเข้าเรือนเงียบๆ
ผ่านไปหลายวันหวังซื่อฮูหยินของซื่อจื่อจิ้งอันโหวพาตงเกอเอ๋อร์บุตรชายคนโตออกเดินทางกลับไปสกุลเดิมอวยพรวันเกิดให้บิดา เป็นเหตุให้จวนโหวอันกว้างใหญ่เงียบเหงาไปในพริบตา
ด้านกงอ๋องแห่งซีเจียงติดตามไล่เลียงกับสามตุลาการโดยไม่รามือทุกวี่วัน จะให้พวกเขามอบตัวคนร้ายที่สังหารองค์หญิงซีเจียงออกมาให้ได้
สามตุลาการมีงานยุ่งจนหัวไม่วางหางไม่เว้น แต่คดีกลับไม่มีอะไรคืบหน้า ทำให้พวกเขาถึงขั้นบังเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจะโยนความผิดให้กวนจวินโหวไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ถึงอย่างไรยามนี้คนภายนอกปักใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนฆ่าองค์หญิงซีเจียง ส่วนกวนจวินโหวก็มีอำนาจแข็งแกร่งไม่ต้องกลัวเป็นแพะรับบาป กระนั้นแน่นอนว่าความคิดอย่างนี้ผุดขึ้นเพียงวูบเดียว
ในระหว่างที่สามตุลาการยังไม่ได้เบาะแสอะไร วันที่ฮ่องเต้หมิงคังเสด็จออกจากการจำศีลก็มาถึง
กงอ๋องซึ่งสุมไฟโทสะไว้เต็มอกเตรียมตัวจะไปเข้าเฝ้าโอรสสวรรค์ของต้าเหลียงเพื่อฟ้องร้องให้ถึงที่สุด เรื่องที่สร้างความตะลึงพรึงเพริดให้ผู้คนเรื่องหนึ่งก็บังเกิดขึ้น
กวนจวินโหวคือบุตรชายกำพร้าของเจิ้นหย่วนโหวซึ่งต้องโทษประหารชีวิตทั้งตระกูลเพราะสมคบคิดกับโจรกบฏเมื่อยี่สิบปีก่อน แล้วการที่เขาสังหารองค์หญิงซีเจียงมีเป้าหมายเพื่อยุแยงให้ต้าเหลียงกับซีเจียงสองแคว้นขัดแย้งกัน ส่งผลให้ต้าเหลียงตกอยู่ในความวุ่นวายระส่ำระสายเป็นการล้างแค้นแทนบิดา
ฮ่องเต้หมิงคังมีพระราชโองการจับกุมกวนจวินโหวและจิ้งอันโหวทั้งครอบครัวเข้าคุกหลวงทันควัน
กงอ๋องได้ยินข่าวนี้แล้วงงงันไป เขาลูบปลายคางพลางคิดคำนึง โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงมิใช่ไส้ศึกที่ซีเจียงของเขาส่งมากระมัง นี่จะเล่นงานกวนจวินโหวที่ทำให้พวกเขาหวาดหวั่นคร้ามเกรงสุดจะเปรียบแล้วหรือ ครั้นความสุขมาเยือนอย่างกะทันหันเฉกนี้ ยากนักที่เขาตั้งรับได้ทันจริงๆ!
อืม นับวันดูแล้วนางรำก็จวนจะมาถึงรอมร่อ แต่บัดนี้ดูไปเหมือนจะไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว อารมณ์ของกงอ๋องแช่มชื่นเบิกบานเหลือหลาย แต่เขายังถอนใจเฮือกหนึ่งอย่างเสียดายคล้ายวีรบุรุษไร้โอกาสแสดงฝีมืออย่างไรอย่างนั้น
ด้านนอกจวนจิ้งอันโหวมีคนยืนเบียดเสียดมุงดูเต็มไปหมด องครักษ์จินหลินวางกำลังมากมายปิดล้อมรอบจวนโหวอย่างแน่นหนาไร้ช่องโหว่
“พวกเจ้าปล่อยข้านะ!” เซ่าจิ่งยวนสะบัดตัวสุดแรงจนหลุดพ้นจากการจับกุมขององครักษ์จินหลิน ถลันไปตรงหน้าบิดาแล้วแผดเสียงถาม “ท่านพ่อ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!”
จิ้งอันโหวมีสีหน้าสงบนิ่ง เม้มมุมปากแน่นไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
“ท่านพ่อ ท่านพูดสิ! เพราะอะไรเซ่าหมิงยวนกลายเป็นบุตรชายของขุนนางกบฏ เขาไม่ใช่บุตรชายลับของท่านหรือ”
พอเห็นจิ้งอันโหวไม่เปล่งวาจาดุจเก่า เซ่าจิ่งยวนเจียนคลุ้มคลั่ง เขาผลักองครักษ์จินหลินที่ไล่ตามมาออกไปพลางถามซักไซ้เสียงดัง “ท่านพ่อ! เพราะอะไรท่านต้องรับบุตรชายของขุนนางกบฏมาเลี้ยงดู หรือท่านไม่รู้ว่าทำเช่นนี้จะเป็นต้นเหตุให้พวกเราต้องตายทั้งครอบครัว!”
จิ้งอันโหวหลับตาลง กล่าวเสียงขรึมว่า “หมิงยวนมิใช่บุตรชายของขุนนางกบฏ”
เซ่าจิ่งยวนตาเป็นประกาย “เซ่าหมิงยวนเป็นบุตรชายลับของท่านถูกต้องหรือไม่ ท่านพ่อ เช่นนั้นท่านบอกพวกเขาสิขอรับ ขุนนางกบฏนั่นไม่เกี่ยวข้องกับจวนโหวของเรา พวกเขามีสิทธิ์อะไรมาจับพวกเรา”
ฝ่ามือข้างหนึ่งวางลงบนหัวไหล่เซ่าจิ่งยวน “เอาล่ะ ซื่อจื่อสกุลเซ่า พวกท่านพ่อลูกมีเรื่องใดก็ค่อยๆ ไปคุยกันในคุกหลวง ตอนนี้เลิกถ่วงเวลาพวกข้าปฏิบัติงานได้แล้ว”
“เจ้าถอยไป…” เซ่าจิ่งยวนยื่นมือผลักองครักษ์จินหลินผู้นั้น
เขาทำสีหน้าปึ่งชาก่อนจะยกเท้าถีบท้องเซ่าจิ่งยวนทีหนึ่งแล้วแค่นเสียงพูด “ซื่อจื่อสกุลเซ่า พวกข้าองครักษ์จินหลินมิใช่บ่าวไพร่ของจวนโหวถึงยอมให้ท่านอาละวาดได้! ใครก็ได้มาจับเขาไป!”
องครักษ์จินหลินหลายคนยึดตัวเซ่าจิ่งยวนไว้จนดิ้นไม่หลุด เขาหันหน้าไปตะโกนพูดสุดเสียง “ท่านพ่อ! ท่านพูดสิ ท่านอธิบายให้พวกเขาฟังสิ!”
ริมฝีปากของจิ้งอันโหวสั่นระริก เขากล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เจิ้นหย่วนโหวมิใช่ขุนนางกบฏ”
เซ่าจิ่งยวนหน้าซีดเผือดทันใดอย่างสิ้นหวัง
“เอาตัวไป!”
ประตูใหญ่ของจวนกวนจวินโหวเปิดอ้าออกจนกว้างสุด องครักษ์จินหลินถือดาบซิ่วชุนในมือยืนเรียงรายเต็มพรืด
ดาบซิ่วชุนที่ชักออกจากฝักเปล่งประกายเย็นเยียบล้อแสงอาทิตย์ ทำให้เหล่าคนที่มุงดูอยู่เห็นแล้วหนาวยะเยือก กระนั้นนี่มิอาจหยุดยั้งสัญชาตญาณอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาไว้ได้อยู่ดี
เซ่าหมิงยวนก้าวออกมาจากข้างในจวนด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เจียงหย่วนเฉายืนอยู่เบื้องหน้าเขา กล่าวพร้อมรอยยิ้มจางๆ “ท่านโหว วันนี้ต้องล่วงเกินแล้ว”
เซ่าหมิงยวนกวาดสายตามองใบหน้าเขาอย่างเฉยชาแล้วออกเดินไปโดยไม่กล่าววาจาใด
รอยยิ้มบนใบหน้าเจียงหย่วนเฉานิ่งค้างไป นี่กวนจวินโหวไม่อยากลดตัวลงมาพูดกับเขาหรือ ถึงเวลานี้แล้วเขาไม่รู้จริงๆ ว่าคนผู้นี้ยังมีที่พึ่งใดอยู่ถึงเยือกเย็นเช่นนี้ได้
“พี่เขยๆ…” ดรุณีน้อยนางหนึ่งวิ่งไล่ตามออกมาจากในจวน องครักษ์จินหลินตั้งท่าจะขัดขวาง แต่พอเจียงหย่วนเฉาส่งสัญญาณบอกก็ชักมือกลับ
เฉียวหว่านวิ่งเข้ามาดึงแขนเสื้อของเซ่าหมิงยวนไว้ “พี่เขย เพราะอะไรพวกเขาถึงจับท่านเจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนก้มหน้าลง เขาลูบศีรษะของนาง “หว่านวานไม่ต้องห่วงนะ เป็นเด็กดีอยู่กับเรือนได้หรือไม่”
“พี่เขย ท่านจะกลับมาหรือไม่เจ้าคะ”
“กลับสิ”
เฉียวหว่านฝืนทำร่าเริงเผยรอยยิ้มออกมา “พี่เขยสบายใจได้ ข้าจะเป็นเด็กดีอยู่กับเรือน ไม่ให้ท่านต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ”
“ท่านโหว เชิญเถอะ” เจียงหย่วนเฉากล่าวแล้วอมยิ้มตรงมุมปาก
พอเขาหมุนกายไปเห็นเฉียวเจายืนอยู่ไม่ไกลแล้วอดนิ่งขึงไปอึดใจหนึ่งไม่ได้
* ขโมยไก่ไม่สำเร็จยังต้องเสียข้าวสารล่อ เป็นสำนวน หมายถึงคิดจะเอาเปรียบผู้อื่น แต่สุดท้ายกลับเป็นฝ่ายเสียประโยชน์เอง