หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 656
บทที่ 656
เมื่อเฉียวเจาสาวเท้าเข้าไป เจียงหย่วนเฉาเผยอปากอยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง กลับเห็นนางเดินผ่านตัวเขาไปหยุดอยู่ตรงหน้าเซ่าหมิงยวน
เจียงหย่วนเฉาอ้าปากแล้วหุบปาก จากนั้นหลุบตาลง
“เจาเจา เจ้ามาได้อย่างไร”
“ข้ามาส่งท่าน”
เซ่าหมิงยวนยกมือลูบเรือนผมดกดำของนางเบาๆ “ไม่ต้อง เจ้าดูแลตนเองให้ดีเท่านั้นเป็นพอ”
“แน่นอน” เฉียวเจายื่นกล่องอาหารให้เขา “ท่านอยู่ในนั้นยิ่งต้องดูแลตนเองให้ดีๆ”
ชายหนุ่มรับกล่องอาหารไป “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นอะไร”
องครักษ์จินหลินผู้หนึ่งยื่นมือมา “ขอตรวจดูด้วย”
เฉียวเจาหันไปมองเจียงหย่วนเฉา
เขาหลบตานางพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “ปฏิบัติตามหน้าที่ หวังว่าท่านโหวจะเข้าใจ”
เซ่าหมิงยวนมองเขานิ่งๆ แล้วพลันยิ้มออกมา “ผู้บัญชาการเจียงกล่าวได้ถูกต้อง จับกุมคนเป็นหน้าที่ของพวกท่านจริงๆ ไม่ต้องพูดพล่ามมากความ เปิดออกตรวจดูเถอะ”
เจียงหย่วนเฉาพยักหน้าบุ้ยใบ้กับองครักษ์จินหลิน
เขาเปิดกล่องอาหารออกทันที
กล่องอาหารสลักลายทาสีแดงมีทั้งหมดสามชั้น ชั้นบนกับชั้นกลางเป็นพวกอาหารที่เก็บได้นาน ส่วนชั้นล่างเป็นขวดเล็กขวดน้อย
“ใต้เท้า…” องครักษ์จินหลินขอคำสั่งจากเจียงหย่วนเฉา
เขายิ้มน้อยๆ กับเซ่าหมิงยวน “ท่านโหว ขออภัยด้วย นำขวดเหล่านี้เข้าไปไม่ได้”
เซ่าหมิงยวนขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วคลายออกทันที เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “เจาเจา เช่นนั้นเจ้านำกลับไปเถอะ”
เฉียวเจาเก็บของกลับมาแล้วถอยไปด้านข้างโดยไม่พูดไม่จาสักคำ
เจียงหย่วนเฉามองนางนิ่งๆ เห็นนางไม่เหลือบแลสายตาแม้แต่แวบเดียวก็ลอบถอนใจเบาๆ สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ไปได้”
ในจวนกวนจวินโหวมีเซ่าหมิงยวนเป็นเจ้านายคนเดียว คนอื่นๆ จึงไม่เข้าข่ายต้องโดนจับกุมด้วย ด้วยเหตุนี้องครักษ์กลุ่มใหญ่จึงห้อมล้อมรอบตัวเซ่าหมิงยวนออกเดินไป
บรรดาชาวบ้านที่มุงดูอยู่ถอยออกด้านข้างเปิดเป็นทางสายหนึ่ง เมื่อองครักษ์จินหลินเดินห่างไปไกลแล้วเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
“คิดไม่ถึงจริงๆ เลย กวนจวินโหวจะเป็นบุตรกำพร้าของขุนนางต้องโทษที่ตายไปแล้ว ข้ายังนึกว่าเขาเป็นบุตรชายลับของจิ้งอันโหวเสียอีก”
“พวกเจ้าได้ยินได้ฟังกันแล้วหรือยัง จิ้งอันโหวถูกจับทั้งครอบครัว ไม่เว้นแม้กระทั่งหลานชายอายุไม่กี่ขวบ”
“นั่นก็ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้จิ้งอันโหวปกป้องบุตรชายของขุนนางต้องโทษเองเล่า ก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่ากวนจวินโหวสังหารองค์หญิงซีเจียง ข้ายังนึกว่าเขาระบายความโกรธแทนคู่หมั้น ตอนนี้เพิ่งรู้ว่าที่แท้เพื่อล้างแค้นให้ครอบครัว”
“สังหารองค์หญิงซีเจียงเป็นการล้างแค้นให้ครอบครัวอย่างไรกัน” มีคนถามขึ้นอย่างฉงนใจ
“นี่ยังไม่แจ่มกระจ่างอีกหรือ องค์หญิงซีเจียงตายอยู่ในแคว้นเรา พวกชาวซีเจียงจะยอมรามือโดยง่ายหรือไร ถ้าไม่มอบตัวฆาตกรให้สองแคว้นต้องบาดหมางกันแน่ พอบาดหมางกันก็ต้องสู้รบกัน ถึงเวลานั้นสองแคว้นทำศึกพัวพันยืดเยื้อ ต้าเหลียงเราเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า นั่นจะไม่ใช่ล้างแค้นแทนบิดาหรอกหรือ”
“หากพูดเช่นนี้กวนจวินโหวไม่สมควรสังหารองค์หญิงซีเจียงจริงๆ…”
เฉียวเจาฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านทั้งหลายแล้วหนาวเหน็บใจไปหมด
ชาวบ้านสามัญชนเป็นหมู่คนที่เรียบง่ายตรงไปตรงมาที่สุด แยกแยะดีชั่วตามที่ตาเห็น ความรู้สึกนึกคิดก็ยังปลุกปั่นได้ง่ายที่สุดจึงถูกคนใช้เป็นเครื่องมือ
ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามต้องการใช้เสียงของชาวเมือง เหตุใดนางไม่ให้พวกเขาสมดังปรารถนา
เฉียวเจาพลันก้าวขาเดินไปเบื้องหน้าคนผู้หนึ่งที่พูดเสียงดังอึกทึกที่สุด ตะเบ็งเสียงไต่ถาม “ท่านบอกว่ากวนจวินโหวจงใจก่อศึกระหว่างสองแคว้นหรือ!”
ฝูงชนที่มุงดูอยู่ล้วนรู้ว่าเฉียวเจาเป็นใคร ครั้นได้ยินนางเอ่ยถามขึ้นอย่างนี้รอบด้านก็เงียบเชียบลงทันควัน
คนผู้นั้นถอยหลังก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ แต่ยังแข็งใจกล่าว “ข้าพูดไม่ผิดนะ ถ้ากวนจวินโหวไม่ได้ทำเพื่อก่อศึกระหว่างสองแคว้น เหตุใดต้องสังหารองค์หญิงซีเจียงด้วย”
เฉียวเจาแค่นหัวร่อเสียงหนึ่ง “เช่นนั้นท่านลืมไปแล้วใช่หรือไม่ว่าเป็นผู้ใดที่อุทิศตนแลกกับความสงบสุขของแดนเหนือมานานหลายปีนี้ หากกวนจวินโหวอยากเห็นแผ่นดินต้าเหลียงตกอยู่ท่ามกลางความทุกข์เข็ญ เช่นนั้นเขาแค่ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น รั้งอยู่ในเมืองหลวงเป็นคุณชายสูงศักดิ์เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”
สายตาของคนผู้นั้นหลุกหลิกไปมายามกล่าวโต้แย้ง “ตอนนั้นกวนจวินโหวยังไม่รู้ชาติกำเนิดของตนว่าเป็นบุตรชายของขุนนางต้องโทษน่ะสิ”
“บุตรชายของขุนนางต้องโทษ?” เฉียวเจาขึ้นเสียงสูง ดวงตาวาวโรจน์ของนางกวาดมองทุกคนรอบหนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นท่านรู้หรือไม่ว่าขุนนางต้องโทษดังปากท่านว่าเป็นใคร”
“คือว่า…”
เฉียวเจาไม่มองเขาอีก นางมองไปทางฝูงชนพร้อมกับไต่ถาม “ในหมู่เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงมากมายเช่นนี้ไม่มีคนที่รู้เลยหรือ”
ชาวบ้านทั้งหลายมองหน้ากันไปมา สุดท้ายมีคนที่ซ่อนอยู่กลางหมู่คนพูดเสียงเบาๆ “เป็นเจิ้นหย่วนโหว เจิ้นหย่วนโหวที่เคยประจำการด่านซานไห่กวน”
ซานไห่กวนเป็นหน้าด่านซึ่งอยู่ใกล้เมืองหลวงมากที่สุด เมื่อครั้งที่ปฐมกษัตริย์บัญญัติกฎบรรพชนไว้ว่า ‘โอรสสวรรค์เฝ้าประตูเมือง’ ได้ตั้งเมืองหลวงไว้ตรงนี้ มีเพียงด่านซานไห่กวนแห่งนี้ที่กั้นขวางชาวต๋าจื่อที่ป่าเถื่อนโหดเหี้ยมประหนึ่งสัตว์ป่าไว้ เพื่อให้ลูกหลานรุ่นหลังปกปักรักษาผืนแผ่นดินทุกชุ่นที่บรรพบุรุษต่อสู้บุกเบิกไว้ให้ ถึงต้องตายก็ไม่ถอยหนี
“ทหารขับขานบทเพลงพิชิตศึก ขอปฏิญาณไล่ศัตรูพ้นด่านหยก ชีพนี้พลีเพื่อบ้านเมืองกลางสนามรบ ไยคิดห่อหนังอาชาหวนคืนถิ่น” เฉียวเจาท่องกลอนบทนี้โดยเน้นเสียงหนักทีละคำจนจบ นางมองทุกคนอย่างเย็นชา “ยี่สิบเอ็ดปีที่แล้วเจิ้นหย่วนโหวเคยเอื้อนเอ่ยคำกลอนบทนี้เสียงดังก่อนโดนลงทัณฑ์ ก่อนหน้านี้ไม่นานกวนจวินโหวคู่หมั้นของข้าก็เคยท่องกลอนบทนี้ ยี่สิบเอ็ดปีที่แล้วตอนเจิ้นหย่วนโหวสิ้นชีพใต้เครื่องประหาร คนที่มุงดูอยู่ไม่มีใครช่วยพูดแทนเขา ยี่สิบเอ็ดปีให้หลังกวนจวินโหวถูกจับตัวไปในวันนี้ คนที่มุงดูอยู่ก็ไม่มีใครช่วยพูดแทนเขาเช่นกัน ข้าแค่อยากถามเหล่าเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงทั้งหลายว่ายามที่กีบเท้าม้าของชาวต๋าจื่อเหยียบย่างบนแผ่นดินต้าเหลียง ดาบยาวของชาววอโค่วจ่อมาที่ราษฎรต้าเหลียงเรา ใครเล่าจะช่วยพูดแทนพวกท่าน”
ชาวบ้านที่ล้อมวงมุงดูอยู่ตกอยู่ในความเงียบ
ทั้งที่เด็กสาวซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขามีเรือนกายเล็กผอมบางแทบปลิวลม ทว่าเพลานี้กลับเสมือนภูเขาลูกหนึ่งหรือสนเขียวต้นหนึ่งยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าสายตา ทำให้พวกเขาเพียงคิดก้มศีรษะค้อมกายให้
ทุกคนรู้ดีว่านั่นมิได้เกิดจากความเกรงขามต่อศักดิ์ฐานะของอีกฝ่าย หากแต่เป็นความละอายในส่วนลึกของจิตใจที่ยากจะเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูด
คนเราจะไร้ความละอายใจได้อย่างไรเล่า แค่ว่าบ่อยครั้งที่มักถูกสิ่งภายนอกมากมายกลบทับไว้ ดังเช่นบารมีของเจ้าแผ่นดิน การคุกคามขององครักษ์จินหลิน ชีวิตที่ยากจนข้นแค้นและจำเจ…ทั้งหมดนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นความสนุกสนานบันเทิงใจของชาวบ้านสามัญชนพวกนี้ในตอนที่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกับพวกคนใหญ่คนโตในเมืองหลวง
แล้วยามเมื่อพวกเขาสนุกสนานบันเทิงใจกันอยู่ ถึงขั้นไม่เคยคิดว่ากำลังมีความสุขบนความทุกข์ของใคร กำลังดื่มโลหิตของใคร
เฉียวเจากวาดสายตามองคนที่อยู่ใกล้ตนมากที่สุดอย่างช้าๆ เห็นพวกเขาก้มหน้าลงตามสัญชาตญาณ มุมปากของนางเหยียดออกเล็กน้อย “คนใต้หล้าเป็นเฉกเช่นนี้แล หากกวนจวินโหวจากไปครานี้โดยไม่หวนคืน เช่นนั้นแผ่นดินนี้จะไม่มีกวนจวินโหวเป็นคนที่สองอีกสืบไป”
นางกล่าวจบแล้วตรงหางตามีน้ำตารื้นขึ้น
ถึงกระนั้นกษัตริย์คือผู้ทรงอำนาจสูงสุด นางรู้ว่ากล่าวถ้อยคำพวกนี้ไป ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ก็สุดปัญญาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้ ทว่ามีบางอย่างไม่พูดระบายออกมาก็ไม่หายอัดอั้นตันใจ
ผู้คนที่มุงดูอยู่เหล่านี้ได้ยินคำกล่าวของนางแล้วรู้สึกละอายใจและไม่สบายใจ เท่านั้นนางก็พึงพอใจแล้ว
ใช่ นางเป็นสตรีที่ใจแคบเช่นนี้นี่เอง มันเรื่องอะไรที่บุรุษของนางสละเลือดในสนามรบปกป้องคนพวกนี้ แต่ยามเขาตกทุกข์ได้ยากคนพวกนี้กลับมุงดูเป็นเรื่องสนุกโดยไม่รู้สึกรู้สาได้เล่า
เสียงฝีเท้าดังขึ้นชาวบ้านที่ล้อมวงอยู่แยกออกไปด้านข้างเงียบๆ บุรุษเรือนกายสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้าเฉียวเจา
นางเหลือบตามองเจียงหย่วนเฉา รอยยิ้มเยาะหยันผุดขึ้นที่มุมปาก นางเอ่ยถามเสียงเย็นชา “ใต้เท้าเจียงต้องการนำตัวข้าไปด้วยหรือไม่”
เขาเพ่งมองนางเป็นนานถึงถอนใจเบาๆ “ท่านจำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือ”