หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 662
บทที่ 662
แน่นอนว่าหัวหน้าสำนักพิธีกรรมย่อมไม่มีทางยอมให้กงอ๋องพำนักอยู่ในจวนของตน เขาพูดชักแม่น้ำทั้งห้าแล้วโยนกลองไปให้ทางรุ่ยอ๋องกับมู่อ๋อง สุดท้ายวันนั้นกงอ๋องก็เข้าไปพำนักในวังรุ่ยอ๋อง
กงอ๋องมีชีวิตสุขสบายบนกองเงินกองทองในซีเจียงจนเคยชิน เดิมทีต้องดั้นด้นเดินทางไกลมาถึงต้าเหลียงเขาก็ทนไม่ค่อยไหวอยู่แล้ว พอได้รับความกระเทือนใจจากการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงซีเจียง กอปรกับเหตุการณ์ขวัญหนีดีฝ่อกลางดึกคืนนั้น ผ่านไปไม่นานนักก็ล้มหมอนนอนเสื่อ อีกทั้งอาการป่วยยังมีทีท่าจะทรุดหนักลงทุกที
หัวหน้าสำนักพิธีกรรมได้ยินแล้วลอบถอนใจโล่งอก เขาคิดไว้แล้วเชียวว่าถึงตายก็ให้มาพำนักในจวนเขาไม่ได้ ทูตซีเจียงคณะนี้เหมือนโดนคำสาปอย่างไรอย่างนั้น ประสบเคราะห์ร้ายไปทีละคนๆ เขาไม่รับเผือกร้อนนี้ไว้แน่นอน
ด้านหัวหน้าสำนักพิธีกรรมแอบรู้สึกว่าโชคดีอยู่ในใจ แต่รุ่ยอ๋องกลับต้องปวดเศียรเวียนเกล้าแล้ว
เขารู้อยู่แล้วว่าอะไรๆ ที่ทางเจ้าหกปัดมาให้เขาต้องมิใช่เรื่องดี! จนใจที่เขาไร้วาทศิลป์ ทุกครั้งมักโดนเจ้าหกใช้คารมไล่ต้อนจนตกเป็นรองอยู่ร่ำไป
ถึงแม้ขณะนี้เสด็จพ่อจะทรงออกจากการจำศีลแล้ว แต่ก็ไม่ใส่พระทัยเรื่องของโลกภายนอกมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่สนใจว่ากงอ๋องจะพำนักอยู่ที่ใด แต่ถ้าคนมาป่วยตายในวังของเขา เสด็จพ่อต้องคิดบัญชากับเขาแน่
เสด็จพ่อทรงเกลียดชังเรื่องวุ่นวายเป็นที่สุด
รุ่ยอ๋องคิดเรื่องพวกนี้แล้วกระทั่งข้าวปลาก็กินไม่ลง เขาก้าวขาเดินไปที่เรือนของหลีเจี่ยว
พอนางเห็นเขามาหาก็ตื่นเต้นยินดีเป็นอันมาก รีบเข้าไปต้อนรับอย่างกุลีกุจอ
หลังจากวันนั้นที่นางร่วมหอกับรุ่ยอ๋อง เขาไม่เหยียบย่างเข้าประตูห้องนางอีกเลย ส่งผลให้นางหวาดหวั่นว้าวุ่นใจมาโดยตลอด ทว่าการดูแลเอาใจใส่ในทุกๆ ด้านกลับดีขึ้นกว่าตอนมาอยู่วังอ๋องแรกๆ อย่างมาก พวกสาวใช้ปรนนิบัติรับใช้นางอย่างพิถีพิถันถึงขั้นชวนให้อึดอัดเลยทีเดียว
หลีเจี่ยวมิใช่คนโง่งม นางคิดทบทวนไปมาก็คาดเดาเจตนาที่แท้จริงของรุ่ยอ๋องได้ นี่คือท่านอ๋องคาดหวังว่านางจะตั้งครรภ์กระมัง
ครั้นนึกถึงว่ารุ่ยอ๋องมีอายุสามสิบปีแล้ว แต่ในวังอ๋องอันใหญ่โตกลับไม่มีโอรสธิดาสักพระองค์ ประกายไฟในใจหลีเจี่ยวก็ลุกโชนขึ้น
วันนั้นท่านอ๋องโกรธเคืองสุดจะกล่าวชัดๆ ยังส่งคนมาดูแลนางเช่นนี้ เห็นได้ว่าปรารถนาอยากมีทายาทอย่างยิ่งยวด นางต้องพยายามตั้งครรภ์ให้จงได้!
อันว่ามารดาอาศัยบุตรชายเลื่อนฐานะ ทันทีที่นางให้กำเนิดโอรสองค์โตของท่านอ๋อง ตำแหน่งพระชายาก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว
รุ่ยอ๋องเข้ามาก็กวาดสายตาวนเวียนอยู่ตรงกลางลำตัวของหลีเจี่ยว
หมอใหญ่ประจำวังอ๋องบอกว่าตอนนี้ยังเร็วเกินกว่าจะตรวจได้ว่าหลีซื่อมีครรภ์หรือไม่ ชวนให้เขาร้อนรุ่มใจจริงๆ
หากหลีซื่อตั้งครรภ์ได้ ย่อมต้องดีที่สุดเป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่ได้…
เมื่อคิดถึงที่หลีเจี่ยววางหลุมพรางตน รุ่ยอ๋องก็ขยะแขยงเหมือนกินแมลงวันเข้าไป ยิ่งคิดไปถึงกวนจวินโหวที่โดนตีตรวนจำคุกอยู่ก็บังเกิดความรู้สึกว่าคล้ายว่าได้ไม่คุ้มเสียอีก
ตอนแรกเขาคิดอาศัยหลีซื่อผูกสัมพันธ์กับกวนจวินโหว เพื่อจะได้ช่วยเกื้อหนุนตนอีกแรงในวันหน้า คิดไม่ถึงว่าพริบตาเดียวกวนจวินโหวก็กลายเป็นบุตรชายของขุนนางต้องโทษเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าเจ้าหกจะแอบหัวเราะเยาะลับหลังเขาเพราะเรื่องนี้ไปกี่ครั้งกี่หน
“ท่านอ๋อง เสวยพระสุธารสชาเพคะ” หลีเจี่ยวยกน้ำชามาให้ด้วยตนเอง
รุ่ยอ๋องรับถ้วยน้ำชาไว้แล้ววางลงบนโต๊ะ เขาเอ่ยถามโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ “หลายวันมานี้ร่างกายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ขอบพระทัยที่ท่านอ๋องทรงห่วงใย หม่อมฉันสบายดีทุกอย่าง เพียงไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการง่วงนอนในฤดูใบไม้ผลิหรือไม่ จึงมักรู้สึกง่วงเพลียอยู่บ่อยๆ เพคะ”
ง่วงเพลีย? รุ่ยอ๋องฟังแล้วลอบยินดี
เขาเคยเป็นบิดาคนมาก่อน อีกทั้งเพราะโอรสธิดาอายุสั้นตายไปทีละพระองค์ๆ จนภายหลังถึงเอาใจใส่มากขึ้น เขาเคยถามไถ่เรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการให้กำเนิดบุตรของสตรีกับหมอประจำวังอ๋องไม่น้อย
หมอประจำวังอ๋องเคยบอกว่าสองสามเดือนแรกที่สตรีตั้งครรภ์จะง่วงนอนอ่อนเพลียอย่างยิ่ง
หรือว่าหลีซื่อจะมีข่าวดีแล้วจริงๆ
รุ่ยอ๋องลอบตื่นเต้น ใบหน้าเขาแฝงรอยอาทรอยู่หลายส่วน “เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนมากๆ อย่าคิดฟุ้งซ่าน”
“หม่อมฉันจะจดจำคำกำชับของท่านอ๋องไว้ให้ขึ้นใจเพคะ”
พอเห็นหลีเจี่ยววางตัวว่านอนสอนง่าย ประกอบกับเป็นไปได้มากว่านางจะตั้งครรภ์ บันดาลให้ความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ที่เขามีต่อนางสลายหายไปไม่น้อยโดยไม่รู้ตัว
นางเหลือบตามองรุ่ยอ๋องแวบหนึ่งก่อนเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านอ๋องทรงมีเรื่องกลัดกลุ้มพระทัยใช่หรือไม่เพคะ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” รุ่ยอ๋องมองนางอย่างเฉยเมย
หลีเจี่ยวยกมือขึ้นวางบนหัวไหล่ของเขาแล้วบีบนวดให้ นางนวดไปพูดไปว่า “หม่อมฉันเห็นท่านอ๋องขมวดพระขนงแน่นเลยคิดว่าทรงมีเรื่องกลัดกลุ้มพระทัยน่ะสิเพคะ”
พอได้ยินเสียงอ่อนเสียงหวานของสตรี พร้อมกับความเบาสบายหลังจากหัวไหล่ผ่อนคลายลง รุ่ยอ๋องรู้สึกอยากปรับทุกข์กะทันหันอย่างปราศจากเหตุผล เขากล่าวทอดถอนใจ “กงอ๋องของซีเจียงมาพำนักอยู่ในวังเราแล้วล้มป่วย อาการยังทรุดลงทุกวัน ข้าคิดถึงเรื่องนี้ก็กลุ้มใจอยู่บ้าง”
“กงอ๋องล้มประชวรแล้วมิได้เชิญหมอหลวงมาดูพระอาการหรือเพคะ”
“ไฉนจะไม่ได้เชิญ ขนาดเป็นหัวหน้าแพทย์หลวงหลี่ของสำนักแพทย์หลวงมาตรวจอาการแล้วยังคงไม่กระเตื้องขึ้นดุจเก่า”
หลีเจี่ยวกลอกตาไปมา นางยืนอยู่ด้านหลังหลังรุ่ยอ๋องพลางกล่าวเสียงนุ่ม “หม่อมฉันกลับมีผู้ที่เหมาะสมคนหนึ่ง…”
รุ่ยอ๋องเอี้ยวกายไปจ้องหน้านาง “ผู้ที่เหมาะสมอะไร”
หลีเจี่ยวหลุบตาต่ำด้วยสีหน้าอ่อนน้อม “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องทรงเคยได้ยินหรือไม่ว่าน้องเจาของหม่อมฉันนับถือหมอเทวดาหลี่เป็นท่านปู่บุญธรรม แล้วหมอเทวดาหลี่ยังให้นางเป็นผู้สืบทอดด้วยเพคะ”
รุ่ยอ๋องตาเป็นประกาย “จริงหรือ”
ตอนเขาจะรับตัวหลีซื่อเข้าวังเคยส่งคนไปสืบเรื่องของสกุลหลี เคยได้ยินได้ฟังว่าคุณหนูสามของจวนผิดแผกจากผู้อื่นอยู่บ้าง แต่เรื่องที่นางมีวิชาแพทย์ล้ำเลิศนี้เขากลับไม่เชื่อถือ
หรือว่าเด็กสาวที่ยังไม่ปักปิ่นจะเก่งกาจกว่าพวกหมอหลวงของสำนักแพทย์หลวงหรือไร นี่คิดดูแล้วก็เป็นไปไม่ได้ วิชาแพทย์มิใช่ทักษะฝีมือที่ใช้ฆ่าเวลาเช่นการดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร และวาดภาพพวกนั้น หมอผู้หนึ่งไม่เคยตรวจอาการคนป่วยเป็นร้อยๆ คนจะเป็นหมอชื่อดังได้หรือ
กระนั้นยามนี้รุ่ยอ๋องชักสองจิตสองใจอยู่สักหน่อย
ในเวลาเช่นนี้หลีซื่อคงไม่กล้าหลอกลวงเขากระมัง ถ้านางกล่าวคำเท็จก็จะจับได้ง่ายดายเหลือเกิน
“จริงเพคะ น้องเจามีความสามารถสูงมากเพคะ ตอนนั้นบุตรชายคนเล็กของจวนฉางชุนป๋อกลายเป็นคนปัญญาอ่อน น้องเจาฝังเข็มทีเดียวก็รักษาเขาให้หายดีได้ เรื่องนี้มีคนล่วงรู้มากมาย ท่านอ๋องทรงส่งคนไปสอบถามดูก็จะทราบเองเพคะ”
รุ่ยอ๋องฟังแล้วตรึกตรองพักหนึ่ง
หลีเจี่ยวลอบยิ้มเยาะ แต่สีหน้ากลับแฝงรอยลำบากใจอยู่สักหน่อย “แค่ว่าน้องเจาค่อนข้างไว้ตัวเพคะ อีกทั้งยังเป็นคู่หมั้นของกวนจวินโหว ท่านอ๋องทรงเชิญนางมาตรวจอาการให้กงอ๋อง เกรงว่านางคงไม่เต็มใจ”
ในดวงตารุ่ยอ๋องมีแววกระด้างผุดขึ้นวูบหนึ่ง แต่น้ำเสียงเขากลับอ่อนนุ่มมาก “ถึงอย่างไรคุณหนูสามเป็นอิสตรีนางหนึ่ง ให้นางมาตรวจอาการให้กงอ๋องเป็นการสร้างความลำบากใจให้นางอยู่บ้างจริงๆ มิสู้เอาอย่างนี้เถอะ เจ้าก็บอกว่าไม่ค่อยสบายแล้วให้นางมาดูอาการให้”
หลีเจี่ยวหัวเราะอยู่ในใจ
หลีซานจะมาเยี่ยมข้า? คงเป็นเรื่องน่าหัวร่อสิ้นดี
แต่ที่นางต้องการก็คือคำปฏิเสธของหลีซาน ถึงตอนนั้นต้องทำให้รุ่ยอ๋องไม่พอใจเป็นแน่
บัดนี้ท่านอ๋องย่อมไม่ทำอะไรหลีซานเป็นธรรมดา แต่รอวันหน้าเมื่อเขาก้าวขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งนั้นแล้วค่อยพูดเป่าหูอีกที นางไม่เชื่อหรอกว่าหลีซานยังจะอยู่อย่างเป็นสุขได้เช่นนี้
พอคิดถึงว่ากวนจวินโหวถูกจับกุมเข้าคุก หลีเจี่ยวก็อยากหัวเราะเสียงดังๆ ใจจะขาด น่าเสียดายที่หลีซานยังไม่ออกเรือนไป หาไม่แล้วคงต้องไปอยู่เป็นเพื่อนกวนจวินโหวในคุกแล้ว
“จริงๆ แล้วน้องเจามีอคติกับหม่อมฉันเสมอมา ไม่รู้ว่านางจะเต็มใจมาหรือไม่นะเพคะ”
“ให้ผู้ดูแลของวังอ๋องไปสักครั้งเถอะ”
“เพคะ”
เฉียวเจาได้รับเทียบที่ผู้ดูแลวังรุ่ยอ๋องถือมาส่งให้ด้วยตนเองแล้วนึกประหลาดใจ
หลีเจี่ยวไม่สบายจะเชิญนางไปดูอาการให้ อนุที่ไร้ศักดิ์ฐานะผู้หนึ่งของวังอ๋องยังต้องให้ผู้ดูแลถือเทียบมาส่งให้เองหรือ
ไม่ว่าจะเป็นการที่ผู้ดูแลวังอ๋องมาเชิญด้วยตนเอง หรือความสัมพันธ์ของนางกับหลีเจี่ยว เรื่องนี้แฝงความพิลึกพิลั่นไว้อย่างชัดเจน
ความคิดในหัวเฉียวเจาแล่นเร็วรี่ นางนึกออกอย่างรวดเร็วถึงเรื่องที่กงอ๋องของซีเจียงป่วยหนักหลังเข้าพำนักในวังรุ่ยอ๋อง
เฉียวเจาเพ่งมองเทียบเชิญของวังรุ่ยอ๋องพลางแย้มยิ้ม
ดูทีว่านี่เป็นดังคำกล่าวว่าใจของเฒ่าสุรามิได้อยู่ที่สุรา เชิญนางไปตรวจอาการป่วยให้หลีเจี่ยวเป็นข้ออ้าง ความจริงแล้วจะให้ไปรักษากงอ๋องต่างหาก
รักษาโรคให้กงอ๋อง?
เฉียวเจาหยุดใคร่ครวญครู่เดียวก็ตกลงใจไปตามคำเชิญนี้
ขณะนี้เซ่าหมิงยวนยังอยู่ในคุก ถ้ากงอ๋องเป็นอะไรไปในเวลานี้หวั่นใจว่าฮ่องเต้จะคิดฆ่าเขาเร็วขึ้น อีกอย่างโอกาสที่เขาจะได้ออกมายังต้องรอคอยไปอีกระยะหนึ่ง
เฉียวเจาเตรียมตัวเล็กน้อยแล้วติดตามผู้ดูแลไปยังวังรุ่ยอ๋อง