หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 671
บทที่ 671
ด้านนอกแสงตะวันแจ่มจ้า เหล่าองครักษ์รอคอยอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ยามเงาร่างสูงใหญ่ร่างนั้นปรากฏขึ้น พวกเขาพากันคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกัน “ท่านแม่ทัพ!”
เซ่าหมิงยวนยกมือขึ้น พวกเขาก็ลุกขึ้นยืนทันทีอย่างเป็นระเบียบพร้อมเพรียงกันแล้วไม่มีเสียงใดๆ ดังขึ้นอีก
เซ่าจือจูงม้าเข้ามา
เขารับสายบังเหียนไว้แล้วพลิกกายขึ้นม้า ขบวนทหารม้าก็มุ่งหน้าไปทางประตูเมืองอย่างองอาจเกรียงไกร
“ดูเร็วเข้า เป็นกวนจวินโหว!”
“ดีเหลือเกิน กวนจวินโหวออกมาแล้ว!”
ชาวบ้านมากมายคุกเข่าร่ำไห้น้ำหูน้ำตาไหล มีคนตะเบ็งเสียงพูดขึ้นกลางฝูงชน “ท่านแม่ทัพล้างแค้นแทนพวกข้าด้วย!”
ชั่วอึดใจเดียวเสียงตะโกนพูดคำนี้ก็ดังกระหึ่มกึกก้อง ผู้คนพากันคุกเข่าเรียงรายเต็มพรืดไปทั้งบริเวณ
เซ่าหมิงยวนจำต้องดึงสายบังเหียนหยุดม้าแล้วประสานมือคำนับทุกคน
“ท่านโหว กองทัพใหญ่รอรับคำสั่งอยู่นอกเมือง โปรดอย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย” เจียงหย่วนเฉาบอกเตือนเสียงเรียบ
ชายหนุ่มทอดสายตามองไกลๆ ไปทางถนนสายตะวันตกแวบหนึ่ง
ในพระราชโองการสั่งให้เขาออกเดินทางทันที อย่าได้ชักช้ารีรอ เขาย่อมเข้าใจว่าความรวดเร็วฉับไวเป็นหัวใจของการทำศึก
เขาเพียงคิดไม่ถึงว่าตนเพิ่งขอแต่งงานกับเจาเจาตอนอยู่ในคุก ตอนนี้กลับต้องไปออกรบโดยมิได้พบหน้านางแม้สักแวบเดียว
จากไปครานี้จะกลับมาเมื่อไรยังยากคาดเดา ใจเขาจะไม่เสียดายได้เช่นไร
ในจวนสกุลหลีที่ตรอกซิ่งจื่อ
ปิงลวี่วิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องของเฉียวเจาและคว้ามือนางหมับ “คุณหนู เร็วเข้าๆ ท่านเขยจะไปออกรบประเดี๋ยวนี้แล้ว เฉินกวงมาพาท่านไป!”
“เร็วถึงเพียงนี้?” เฉียวเจาไม่เสียเวลาผลัดอาภรณ์ก็วิ่งตามปิงลวี่ไปข้างนอกทันที
นางรอคอยเวลานี้มาโดยตลอด แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นวันใดกันแน่ ตอนแรกนางตั้งใจจะทำอาหารเต็มโต๊ะเลี้ยงเขาเองกับมือเป็นการขับไล่สิ่งอัปมงคล ใครจะคิดว่า…
“คุณหนู เร็วเข้าหน่อยเจ้าคะ!” ปิงลวี่วิ่งเร็วขึ้นกลับพบว่าเฉียวเจาโดนตนฉุดจนฝีเท้าซวนเซเสียหลัก จึงให้นางขี่หลังเสียเลย
เฮ้อ คุณหนูดีไปหมดทุกอย่าง มีข้อด้อยอย่างเดียวคือ ขาสั้นเกินไป
เฉินกวงรออยู่ที่ประตูข้าง เห็นปิงลวี่แบกเฉียวเจามาก็รีบขึ้นไปนั่งบนรถม้าพร้อมกับตะโกนบอก “คุณหนู รีบขึ้นรถม้าขอรับ!”
เฉียวเจากับสาวใช้ขึ้นรถม้าไปแล้ว มันก็เคลื่อนตัวออกแล่นอย่างรวดเร็ว
รถม้าวิ่งเร็วรี่ไปตามถนนศิลาเขียวอันกว้างขวางว่างโหรงเหรง แต่ยิ่งไปทางทิศเหนือยิ่งมีผู้คนมากขึ้น เฉินกวงจำต้องจอดรถม้า “คุณหนู รถม้าไปต่อไม่ได้แล้ว พวกเราเดินเท้ากันเถอะ ตอนนี้ท่านแม่ทัพน่าจะใกล้ถึงประตูเมืองทิศเหนือแล้ว”
เฉียวเจากระโดดลงมาอย่างว่องไวแล้ววิ่งทะยานไปข้างหน้า ส่วนเฉินกวงอยู่ด้านหน้าคอยยื่นมือดันคนที่ขวางทางออกเพื่อเปิดทางให้
“คุณหนู ดูสิ นั่นท่านเขยเจ้าค่ะ!” ปิงลวี่หายใจกระหืดกระหอบและยกมือชี้ไปทางประตูเมือง
ยามนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ทิวทัศน์งดงามลานตา สายลมโชยอ่อนคลอเคลียใบหน้า ท่ามกลางคลื่นฝูงชนที่แน่นขนัด นางมองปราดเดียวก็เห็นแม่ทัพหนุ่มในชุดเกราะเงินนั่งตัวตรงอยู่บนหลังอาชาอย่างสง่างามผู้นั้น เสื้อคลุมสีแดงเข้มโบกสะบัดตามแรงลมอยู่ด้านหลัง พู่แดงบนหมวกเกราะเงินปลิวไหวๆ
ครั้นเห็นเขาใกล้จะผ่านประตูเมืองไปแล้ว สิ่งที่กั้นขวางระหว่างคนทั้งสองคือหมู่คนที่เบียดเสียดเนืองแน่น เฉียวเจาอ้าปากทว่ามิได้เปล่งเสียงออกมา
ระยะห่างขนาดนี้ คนมากมายอย่างนี้ รอบด้านยังเสียงดังอึกทึกเช่นนี้ ไม่มีทางที่เขาจะได้ยิน
“แย่แล้วๆ ท่านเขยจะออกไปแล้ว!” ปิงลวี่ร้อนใจยิ่งกว่าผู้เป็นนาย นางเขย่าแขนของเฉียวเจายกใหญ่
เฉียวเจาเพ่งมองแผ่นหลังของร่างนั้นโดยไม่กะพริบตา เห็นเขาเจียนจะหายลับไปตรงหน้าประตูเมืองรอมร่อ ความคิดหนึ่งสว่างวาบขึ้นในหัว นางหยิบขลุ่ยกระดูกที่ห้อยคอไว้ออกมาเป่าสุดแรง
เสียงแหลมสูงเป็นจังหวะสั้นๆ ดังขึ้น เซ่าหมิงยวนหยุดชะงักและรีบหันหน้าขวับกลับมา
เสียงขลุ่ยยังคงดังอยู่ เขามองตามทิศทางของต้นเสียงครู่เดียวก็เห็นเฉียวเจาอยู่กลางกลุ่มคน
นางเห็นเขามองเห็นตนเองแล้วหยุดเป่าขลุ่ย ยกมือโบกไปมาให้เขา
เซ่าหมิงยวนเผยรอยยิ้มอ่อนโยนมองนางอย่างลึกซึ้ง เขาดึงพู่แดงบนหมวกเกราะเงินออกมาแขวนไว้ตรงปลายทวนยาวของทหารยามหน้าประตูเมืองก่อนจะขี่ม้าจากไป
เฉียวเจายืนนิ่งอยู่กับที่เหม่อมองพู่แดงที่ปลิวไหวๆ ตามลม นางบอกความรู้สึกในใจไม่ถูกว่าเป็นความปีติยินดีหรือสลดหดหู่
คนเป็นทหารต้องประสบผ่านการพลัดพรากอย่างนี้มาตั้งกี่ครั้งกี่หนก็สุดรู้ ครั้งนั้นตอนได้รับพระราชโองการให้ออกรบในวันพิธีมงคล ไม่รู้ว่าในใจเขาคิดอะไรบ้างนะ
เฉินกวงพยายามแหวกฝ่าฝูงชนไปจนถึงประตูเมืองแล้วขอพู่แดงจากทหารยามมามอบให้เฉียวเจา
นางลูบพู่แดงอย่างทะนุถนอมพลางกล่าวทอดถอนใจ “กลับกันเถอะ”
ตอนเดินกลับก็ไม่ง่ายดายเช่นกัน เหล่าชาวบ้านที่จะมาส่งกวนจวินโหวยังแห่แหนกันไปที่หน้าประตูเมืองไม่ขาดสาย เฉินกวงจำเป็นต้องเอาตัวบังอยู่หน้าเฉียวเจาคอยคุ้มกันอย่างใกล้ชิดถึงทำให้นางไม่โดนชนกระแทกได้
เมื่อผ่านถนนช่วงที่คนเบียดเสียดกันมากที่สุดมาได้ เฉินกวงระบายลมหายใจเฮือกใหญ่เลยทีเดียว
บนพื้นถนนมีข้าวของตกกระจัดกระจายหลายอย่างแม้กระทั่งรองเท้าที่โดนเหยียบหลุดหล่นไว้ พวกขอทานเริ่มไล่เก็บ ไม่นานนักก็มีขอทานสองสามคนทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้
เฉินกวงมองไปทางประตูเมืองแวบหนึ่งแล้วเก็บงำแววอิจฉาในดวงตาไว้ “คุณหนู ข้าส่งท่านกลับเรือนนะขอรับ”
ท่านแม่ทัพเคยบอกว่ารอไว้คุณหนูสามแต่งเข้ามาจวนแล้วเขาก็ไม่ต้องเป็นสารถี หากคนคู่นี้ไม่แต่งงานกันอีก เขาคงต้องร้อนใจตายแน่
เฉียวเจาก้าวขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกล “ไปจวนกวนจวินโหว”
“ขอรับ” เฉินกวงตวัดแส้ออกไปเป็นวิถีโค้งอย่างสวยงาม รถม้าก็วิ่งแล่นไปทางจวนกวนจวินโหว
ผ่านไปไม่นานนัก เจียงหย่วนเฉากับเจียงเฮ่อสองคนก็ปรากฏกายขึ้นตรงหัวมุมถนน
“ใต้เท้า พวกเราก็กลับกันเถอะขอรับ” เจียงเฮ่อเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง
ภาพกวนจวินโหวดึงพู่แดงบนหมวกเกราะกำนัลให้คู่หมั้นเมื่อครู่นี้ เขามองเห็นอย่างชัดเจนแล้ว
ฮือๆๆ…น่าประทับใจเหลือเกิน หากข้าเป็นสตรีก็อยากออกเรือนไปกับกวนจวินโหวทันที
เอ่อ…แต่ความคิดแบบนี้ต้องรีบเก็บงำไว้ให้ดีๆ หาไม่แล้วใต้เท้าต้องทำโทษให้ข้าไปขัดถังส้วมเป็นแน่
เจียงหย่วนเฉามองทิศทางที่เฉียวเจาลับร่างไปโดยไม่เปล่งเสียงพูด
ที่แท้นี่คือความรู้สึกของคนที่จิตใจตรงกัน ถึงแม้การพลัดพรากอย่างกะทันหันทำให้ทั้งคู่ไม่มีแม้แต่โอกาสจะพูดจากันสักคำ ทว่าในใจของกันและกันกลับไม่เคยแยกจากกัน
ขอทานผู้หนึ่งถูกขอทานอีกคนผลักล้มลงมากองอยู่ข้างเท้าเจียงหย่วนเฉา
เจียงเฮ่อเตะเขาทีหนึ่งทันใด “ไสหัวไป ขวางทางใต้เท้าข้า เดี๋ยวจะหักคอเจ้าซะเลย”
ขอทานเห็นเครื่องแต่งกายขององครักษ์จินหลินบนตัวพวกเขาได้ชัดถนัดตาแล้วตกใจแทบสิ้นสติ
ทว่าเจียงหย่วนเฉากลับล้วงก้อนเงินก้อนเล็กๆ ในถุงผ้าปักโยนให้ขอทานแล้วถึงสาวเท้าก้าวใหญ่เดินไป
“ใต้เท้า…” เจียงเฮ่อลุกลนไล่กวดตามไป
ผิดปกติ ใต้เท้าผิดปกติจริงๆ
เจียงหย่วนเฉาพลันอ้าปากพูด “เมื่อก่อนข้าก็เคยมีชีวิตแบบนี้”
เขาเคยต่อสู้ยื้อแย่งกับคนอื่นเพียงเพื่อหมั่นโถวลูกเดียวเหมือนขอทานพวกนี้เฉกเดียวกัน จวบจนท่านพ่อบุญธรรมปรากฏตัวขึ้น ชีวิตที่เปรียบดั่งฝันร้ายช่วงนั้นถึงสิ้นสุดลง
เจียงหย่วนเฉาคิดถึงท่าทางที่เจียงถังมองตนด้วยรอยยิ้มกว้างจนตาหยีเสมอๆ แล้วลมหายใจของเขาติดขัดอยู่สักหน่อย
ถ้าหากท่านพ่อบุญธรรมกับน้องบุญธรรมยังไม่ตาย ต่อให้ความรู้สึกที่เขามีต่อนางเป็นความรักฉันพี่น้อง แต่อย่างน้อยเขาก็มีครอบครัว บัดนี้นอกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน เขาไม่มีอะไรทั้งสิ้น
เขามักสูญเสียของสำคัญเหล่านั้นไปโดยไม่ทันตั้งตัวสักนิด บิดามารดาบังเกิดเกล้าจากโลกนี้ไปอย่างกะทันหัน ท่านพ่อบุญธรรมก็ตายอย่างฉับพลันดุจเดียวกัน