หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 672
บทที่ 672
รถม้าหยุดจอดที่จวนกวนจวินโหว เฉียวเจาพาปิงลวี่เดินเข้าไปข้างในก็เห็นฉือชั่นยืนอยู่ใต้ต้นไม้ในลานเรือน
“พี่ฉือ?”
ฉือชั่นหมุนกายมา แย้มยิ้มจนตาพริ้มพลางกล่าวว่า “ข้าคาดเดาว่าเจ้าต้องมาที่นี่”
เฉียวเจาสาวเท้าเข้าไปหา “พี่ฉือรอข้าอยู่หรือเจ้าคะ”
ฉือชั่นหุบยิ้มเล็กน้อย กล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ทำนองนั้น หยางเอ้อร์ไปแล้ว เซ่าถิงเฉวียนก็ไปแล้ว จู่ๆ ข้ารู้สึกว่าชีวิตน่าเบื่อพิกลจริงๆ ดื่มสุราเป็นเพื่อนข้าสักจอกเถอะ”
เฉียวเจาลังเลใจเล็กน้อยแล้วตอบตกลง แต่กลับเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไปพูดคุยกับหว่านวานก่อนนะเจ้าคะ”
ฉือชั่นมองนางอย่างหลากใจครู่หนึ่งก่อนกล่าวอย่างขบขัน “ช่างเข้าตำราที่ว่าเมื่อรักเรือนย่อมรักอีกาบนหลังคาเรือนดีแท้ เจ้ารีบไปปลอบเด็กเถอะ”
เฉียวเจาไปหาเฉียวหว่าน
พอเห็นเฉียวเจา ดรุณีน้อยที่รออยู่หน้าประตูก็เดินเข้ามาหาด้วยฝีเท้าเร็วรี่ สีหน้าของนางร้อนรุ่มใจ “พี่หลี พี่เขยของข้าออกมาแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเจาเอ่ยตอบยิ้มๆ “ออกมาแล้ว”
“ดีเหลือเกินเจ้าค่ะ” เฉียวหว่านยกชายกระโปรงหมุนตัวรอบหนึ่ง แต่นึกได้ว่าต้องวางตัวเป็นกุลสตรี นางจึงหยุดชะงักทันควัน ฝืนสะกดความดีใจไว้เขย่งส้นเท้าชะเง้อมอง “พี่เขยอยู่ไหนเจ้าคะ ไฉนไม่กลับมาพร้อมกับพี่หลีเล่า”
“พี่เขยของเจ้าไปออกรบแล้ว”
“ออกรบ?” เฉียวหว่านกะพริบตาปริบๆ “ไปปราบชาวต๋าจื่อใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเจาพานางไปนั่งข้างโต๊ะหินในลานเรือน จากนั้นกล่าวอธิบายเสียงนุ่ม “ใช่แล้ว ชาวต๋าจื่อบุกมาปล้นชิงชาวต้าเหลียงเราอีกแล้ว ดังนั้นต้องขับไล่พวกนั้นออกไป”
ทีแรกนางนึกว่าเฉียวหว่านต้องร้องไห้ คิดไม่ถึงว่าแม่นางน้อยกลับพยักหน้าถี่รัวพลางกล่าว “พี่เขยเก่งที่สุดเจ้าค่ะ จะต้องไล่คนชั่วพวกนั้นไปได้แน่นอน พี่หลี เมื่อวานข้าอ่านตำราแล้วพบปัญหาที่ไม่เข้าใจ ท่านสอนข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้สิ”
เฉียวเจาอ่านตำราเป็นเพื่อนเฉียวหว่านเกือบหนึ่งชั่วยาม นางรอให้แม่นางน้อยวางตำราลงแล้วนอนหลับไปถึงกลับไปที่โถงหน้าของจวนโหว
ฉือชั่นรอคอยจนหลับไปเหมือนกัน
เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ยกมือหนึ่งเท้าคาง ใบหน้าแฝงรอยอ่อนล้าจางๆ ผิดไปจากยามปกติที่มักแสดงอารมณ์ออกมาโดยไม่ปิดบัง หัวคิ้วที่ย่นเข้าหากันนิดหนึ่งราวกับจะเผยให้รู้ว่ามีความในใจอย่างไร้ที่สิ้นสุด
เฉียวเจายืนอยู่เบื้องหน้าเขา ชั่วขณะนั้นนางไม่รู้ว่าควรปลุกเขาให้ตื่นขึ้นดีหรือไม่
ฉือชั่นกลับคล้ายรับรู้ได้ว่ามีคนมาแล้ว ดวงตาที่เป็นประกายงามระยับหามีผู้ใดเทียบเคียงได้คู่นั้นเปิดขึ้น
“ขืนเจ้าไม่กลับมาอีก ข้าคงรอจนผมหงอกแล้ว” สุ้มเสียงเอื่อยเฉื่อยดังขึ้น ประหนึ่งว่าบุรุษที่มีความในใจหนักอึ้งผู้นั้นไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
เฉียวเจาย่อมไม่เปิดโปงเขาเป็นธรรมดา นางคลี่ยิ้มกล่าวว่า “บอกว่าจะดื่มสุรามิใช่หรือเจ้าคะ”
ฉือชั่นลุกขึ้นยืน “ไปที่ศาลาในลานเรือนเถอะ ในเรือนอึดอัด”
ทั้งสองนั่งในศาลา กาสุราหยกขาวใบหนึ่งกับจอกสุราเข้าชุดกันสองใบตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างเขากับนาง
สุราหมดไปหนึ่งกา เฉียวเจาไม่ได้ดื่มสักเท่าไร ส่วนใหญ่โดนฉือชั่นดื่มลงท้องไป
สองแก้มของชายหนุ่มแดงเรื่อ เขาเริ่มเมาน้อยๆ ขณะเอ่ยสั่งเด็กรับใช้นามเถาเซิงให้ยกสุรามาให้
“พี่ฉือ อย่าดื่มอีกเลย”
ฉือชั่นเลิกคิ้วมองนางแวบหนึ่ง เอ่ยถามด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มไม่ยิ้ม “อะไรกัน จะใช้อำนาจของประมุขหญิงจวนโหวปรามมิให้แขกดื่มสุราตั้งแต่ตอนนี้แล้วรึ”
เฉียวเจาเม้มปากอย่างพูดไม่ออก นางย่อมไม่คิดเล็กคิดน้อยกับคนเมาผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นคนเมาที่มีความในใจด้วย
ฉือชั่นมองดูเด็กสาวที่ทำสีหน้าเฉยเมย เขาพลันคลายยิ้มแล้ว “ไม่ดื่มสุราก็ได้ พวกเราเดินหมากกันเถอะ”
เฉียวเจารับกาสุราจากมือของเถาเซิงมาเลื่อนไปตรงหน้าเขา “ดื่มสุรากันดีกว่าเจ้าค่ะ”
ฉือชั่นอึ้งงัน “…” ยอดฝีมือเดินหมากเช่นข้าถึงกับโดนรังเกียจหรือ
สุราล่วงลงสู่ท้องฉือชั่นจอกแล้วจอกเล่า เฉียวเจารินสุราให้เขาเงียบๆ ไม่กล่าวห้ามอีก
บนโต๊ะมีกาสุราเปล่าเพิ่มขึ้นอีกสามสี่ใบอย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมของสุราในศาลาลอยฟุ้งออกไป ปลาที่ซ่อนตัวอยู่ก้นสระดีดตัวขึ้นเหนือผิวน้ำราวกับว่าได้กลิ่นของมัน
ฉือชั่นเอามือเท้าคาง ดวงตาเขาเป็นประกายฉ่ำวาวงามจับตา
เขาไม่ได้มองเฉียวเจา แต่จับจ้องมัจฉาน้อยที่กระโดดตัวลอยเหนือน้ำในสระนอกศาลาอย่างใจลอย
“พี่ฉือ ท่านเจอปัญหาอะไรใช่หรือไม่” เพลานี้เฉียวเจาถึงถามไถ่ขึ้น
“เจอปัญหา?” ฉือชั่นพยายามขบคิดแล้วส่ายหน้า “ไม่มี”
เฉียวเจานึกว่าเขาไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ฉือชั่นกลับเบนหน้ามา ดวงตาคู่งามหรี่ลงน้อยๆ “คนที่เจอปัญหาคือเซ่าถิงเฉวียนชัดๆ”
“เขาปลอดภัยแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ” เฉียวเจาลอบเอะใจ แต่ยังกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
ความผิดปกติของฉือชั่นเกี่ยวข้องกับเซ่าหมิงยวน?
“ปลอดภัย?” ฉือชั่นทำเสียงสูงเล็กน้อย “ปลอดภัยที่ไหนกัน ช้าเร็วเสด็จลุงฮ่องเต้ก็ต้องคิดบัญชีกับเขา”
จงรักภักดีต่อแผ่นดินและกษัตริย์ กตัญญูต่อบิดามารดา ในสองด้านนี้เซ่าหมิงยวนทำได้อย่างไร้ที่ติติงมาแต่ไหนแต่ไร
ทว่าในฐานะสหายรัก เขาแจ่มแจ้งดีว่าเซ่าหมิงยวนมิใช่คนที่จงรักภักดีและกตัญญูโดยไม่ลืมหูลืมตา
เมื่อวันนั้นมาถึง เขามั่นใจได้ว่าสหายรักที่มีหลีซานแล้วไม่มีทางนั่งรอความตายแน่
น่ากลัดกลุ้มเหลือเกินจริงๆ ถ้าถึงตอนนั้นเขาช่วยเซ่าหมิงยวนโค่นล้มเสด็จลุง ท่านแม่ต้องฆ่าเขาทิ้งเป็นแน่กระมัง
ฉือชั่นกรอกสุราเข้าปากอีกจอกหนึ่ง เขาฟุบลงบนโต๊ะหินหลับไปอย่างทนไม่ไหวในที่สุด
“พยุงคุณชายของเจ้าไปที่ห้องพักแขก ข้าจะไปต้มน้ำแกงสร่างเมาให้”
เฉียวเจาใส่สมุนไพรชนิดหนึ่งเพิ่มลงในน้ำแกงสร่างเมา
เถาเซิงปรนนิบัติฉือชั่นดื่มเข้าไปแล้วเพียงหนึ่งชั่วยาม เขาก็ตื่นขึ้น
“คุณชาย ท่านตื่นแล้วหรือขอรับ”
ฉือชั่นลุกขึ้นนั่ง ก้มหน้ามองแวบหนึ่งพบว่าอาภรณ์บนกายถูกผลัดเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ เขามองเถาเซิงที่แต่งกายเรียบร้อยอย่างแคลงใจ “ที่นี่ที่ไหน”
“ที่นี่เป็นจวนกวนจวินโหวขอรับ ท่านดื่มสุรากับคุณหนูหลี…”
เถาเซิงยังกล่าวไม่จบ ฉือชั่นก็นึกขึ้นได้แล้ว เขาจับข้อมือของเถาเซิงพลางเอ่ยถาม “หลังจากนั้นล่ะ”
“หลังจากนั้น?” เถาเซิงทำตาปริบๆ “หลังจากนั้นท่านก็เมาสุราน่ะสิขอรับ”
“แล้วข้า…”
เถาเซิงรีบโบกมือไปมายิ้มๆ “ไม่มีๆ คุณชายจะเป็นคนที่เมาสุราแล้วเกิดตัณหาหน้ามืดได้อย่างไรกันเล่าขอรับ”
“ไสหัวไป!” ฉือชั่นยกมือเขกหน้าผากเด็กรับใช้ทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าขรึมลง “ข้าพูดอะไรที่ไม่สมควรพูดหรือไม่”
“อันนี้ไม่มีจริงๆ ขอรับ”
ฉือชั่นโล่งอกเล็กน้อย เขานวดๆ หว่างคิ้ว “หนนี้เมาสุรากลับไม่ปวดศีรษะ”
“คุณหนูหลีเป็นคนต้มน้ำแกงสร่างเมาเองกับมือขอรับ”
ฉือชั่นนิ่งขึงไปอึดใจหนึ่งถึงพลิกกายลงจากเตียง “แล้วคุณหนูหลีล่ะ”
“คุณหนูหลีกลับจวนไปแล้วขอรับ”
“อ้อ เช่นนั้นพวกเราก็กลับเถอะ”
เมื่อฉือชั่นกับเถาเซิงสองนายบ่าวกลับถึงวังองค์หญิงใหญ่ฉางหรงก็มีคนรับใช้เอ่ยเตือนขึ้น “คุณชาย องค์หญิงใหญ่ทรงเชิญท่านไปพบหลังจากกลับมาถึงขอรับ”
“รู้แล้ว ข้าผลัดอาภรณ์แล้วค่อยไป”
ถึงแม้เขาจะผลัดอาภรณ์ไปแล้วตอนอยู่ที่จวนกวนจวินโหว แต่ยังคงปกปิดกลิ่นสุราบนกายไม่ได้ เขาจึงเร่งรีบชำระกายแล้วสวมชุดอยู่กับเรือน จากนั้นรุดไปยังเรือนที่ประทับขององค์หญิงฉางหรง
ยังไม่ถึงต้นฤดูร้อน องค์หญิงใหญ่ฉางหรงแต่งกายด้วยเสื้อผ้าบางเบา ดูไปแล้วราวกับเป็นหญิงสาววัยราวยี่สิบปี พอเห็นฉือชั่นเดินเข้ามา วงหน้างามผุดผาดของนางมีรอยโทสะผุดขึ้นจางๆ “ไปที่ใดมา”
ฉือชั่นยกยิ้ม “ข้ามิใช่เด็กน้อยแล้ว จะไปที่ใดยังต้องรายงานต่อท่านแม่ทุกๆ ครั้งด้วยหรือขอรับ”
องค์หญิงฉางหรงแค่นเสียงฮึ “ไปส่งกวนจวินโหวมาสินะ”
“ในเมื่อท่านแม่ทราบแล้วยังจะถามไปไยเล่า” ฉือชั่นพูดด้วยน้ำเสียงดั่งคำกล่าวว่าสุกรตายไม่กลัวน้ำร้อน
“ข้าเคยบอกไว้ว่าวันหลังอย่าใกล้ชิดกับกวนจวินโหวจนเกินไปมิใช่หรือ”
พอเห็นบุตรชายไม่พูดจา องค์หญิงฉางหรงมีสีหน้ามึนตึงยิ่งขึ้น “หรือว่าเจ้าอยากกวนโทสะเสด็จลุงของเจ้าด้วย”
ฉือชั่นนิ่งเงียบไปนานก่อนจะคลายยิ้มฉับพลัน “หากท่านแม่อยากให้ข้าตัดไมตรีกับกวนจวินโหวก็ย่อมได้ขอรับ”