หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 678
บทที่ 678
เฉียวเจาเล่าเรื่องของอาจูให้เหอซื่อฟัง นางตอบตกลงทันทีและให้บุตรสาวเป็นคนเลือกว่าจะให้พี่สะใภ้ของอาจูทำหน้าที่ไหน
“ก็ไปอยู่ห้องซักผ้าเถอะ ที่นั่นได้ค่าจ้างมาก”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเป็นคนมีน้ำใจกว้างขวาง ถ้าเป็นงานหนักใช้แรงมากก็จะให้เงินค่าจ้างมากกว่าเรือนอื่นๆ ไม่น้อย แม้ว่าทำงานในห้องซักผ้าจะเหน็ดเหนื่อย แต่สำหรับบ่าวไพร่ที่ร้อนเงินและไม่กลัวลำบากถือเป็นงานที่ดีงานหนึ่ง
แน่นอนว่ายังมีจุดที่สำคัญกว่าคือกับคนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอย่างนี้ ถึงแม้เฉียวเจาจะมีใจระแวดระวังอยู่แล้ว แต่ไม่อยากให้อยู่ที่เรือนของเจ้านายในจวน
พี่สะใภ้ของอาจูได้เข้ามาในจวนอย่างรวดเร็ว แม้นนางจะพูดกับอาจูอย่างไม่พึงพอใจอยู่สักหน่อยที่ถูกส่งไปอยู่ห้องซักผ้า แต่นางทำงานตามหน้าที่อย่างสงบเสงี่ยม อาจูถึงโล่งใจไปที ชีวิตจึงกลับเข้ารูปเข้ารอยตามเดิมอีกครา
ยามนี้จวนสกุลหลีสงบสุขไร้คลื่นลม ทางราชสำนักกลับมีความเคลื่อนไหวอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้เฉียวเจาเอาข่าวอุทกภัยทางทิศใต้ไปบอกกับฉือชั่น คุณชายฉือซึ่งเป็นขุนนางคนใหม่ถอดด้ามก็ตามติดเรื่องนี้อย่างไม่ลดละ เขาถวายฎีกาสามฉบับ ฉบับที่หนึ่งฟ้องร้องนายอำเภอไถสุ่ยที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยบกพร่อง ฉบับที่สองฟ้องร้องหลันซงเฉวียนรองเสนาบดีกรมโยธายักยอกเบียดบังเงินซ่อมเขื่อน ฉบับที่สามฟ้องร้องสมุหราชเลขาธิการหลันซานยับยั้งฎีกาเรื่องเกิดอุทกภัยในอำเภอไถสุ่ยคร่าชีวิตราษฎรในหมู่บ้านหลายแห่งไปหลายร้อยคนไว้ไม่นำขึ้นทูลรายงาน
หลันซานกับบุตรชายครองอำนาจบารมีในราชสำนักมาสิบกว่าปีจนไม่มีคนกล้าตอแยด้วย ทุกคนต่างคิดไม่ถึงว่าเจ้าหนุ่มซึ่งใช้อภิสิทธิ์เข้ามารับตำแหน่งข้าหลวงตรวจสอบหกกรมผู้นี้ถึงกับตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับสองพ่อลูกสกุลหลัน
หากที่ทำให้เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นตกใจจนอ้าปากค้างคือหลังจากที่ฉือชั่นถวายฎีกาต่อๆ กันไปแล้วเจ็ดแปดวัน ฮ่องเต้มีพระราชโองการลงอาญานายอำเภอไถสุ่ยจริงๆ และเรียกตัวหลันซานกับบุตรชายไปที่ห้องทรงพระอักษรด่าทออย่างหนักยกหนึ่ง
รองสมุหราชเลขาธิการสวี่หมิงต๋ากับบรรดาขุนนางใหญ่ในหกกรมเก้ากองที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น มองดูฉือชั่นก้าวออกมายืนยันความจริงกับสองพ่อลูกจนลืมหุบปากไปตามๆ กัน
นี่เข้าตำราที่ว่าออกหมัดสะเปะสะปะชกครูมวยตายได้* โดยแท้ นอกจากคดีของสิงอู่หยางแม่ทัพคั่งวอกับคดีประหารชีวิตเจิ้นหย่วนโหวทั้งตระกูล หลันซานกับบุตรชายเคยโดนฮ่องเต้ด่าทออย่างรุนแรงเช่นนี้เมื่อไรกัน
หลังเลิกประชุมขุนนาง พรรคพวกของรองสมุหราชเลขาธิการสวี่หมิงต๋าไปชุมนุมตัวกันที่ห้องหนังสือในคฤหาสน์สกุลสวี่
ขุนนางผู้หนึ่งหน้าตาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นคึกคัก “ใต้เท้าสวี่ ครานี้พวกเราคิดโค่นล้มเจ้าอำมาตย์โฉดหลันซานก็มีความหวังแล้ว ท่านต้องแย่งตัวท่านข้าหลวงฉือมาอยู่ฝั่งเดียวกับเราให้ได้นะขอรับ”
“นั่นสิ ท่านข้าหลวงฉือเป็นดั่งลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ อีกทั้งมีองค์หญิงใหญ่หนุนหลังอยู่ ไม่แน่ว่ายังสามารถกัดเนื้อสองพ่อลูกนั่นขาดได้สักชิ้นนะ”
สวี่หมิงต๋าฟังคำวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้แล้วแอบกลอกตาขึ้น
ตอนท่านข้าหลวงฉือได้รับตำแหน่งนี้ คนที่อยู่ที่นี่เต้นผางๆ กันยกใหญ่ ฎีกาฟ้องร้ององค์หญิงใหญ่ฉางหรงมากมายถูกส่งไปบนโต๊ะทรงพระอักษรดุจเกล็ดหิมะปลิวว่อน ตอนนี้คิดจะดึงเขามาเป็นพรรคพวกอีก จะสงวนท่าทีนิดๆ หน่อยๆ สักสองวันไม่ได้หรือ
“รอดูต่อไปเถอะ” สวี่หมิงต๋าหรี่ตากล่าวขึ้น
ในจวนของหลันซาน สองพ่อลูกอยู่ในห้องหนังสือคุยถกกันถึงเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
หลันซงเฉวียนยกเท้าเตะเก้าอี้ตัวหนึ่งล้มคว่ำไป สีหน้าเขาบึ้งตึง “เจ้าลูกสุนัขแซ่ฉือผู้นั้นเป็นคุณชายในตระกูลสูงศักดิ์อยู่ดีๆ ไม่ชอบ จะเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยเหตุใด ไม่ได้ ข้าต้องหาโอกาสกำจัดเขา!”
หลันซานสูงวัยแล้ว ไปโดนด่าที่ห้องทรงพระอักษรมายกหนึ่งก็อ่อนเพลียอยู่บ้าง เขาปรือตาขึ้นครึ่งหนึ่งกล่าวว่า “จะเอาชีวิตใคร เจ้านึกว่าเจ้าหนุ่มแซ่ฉือเป็นขุนนางที่ไม่มีเทือกเถาเหล่ากอใดๆ พวกนั้นรึ มารดาของเขาคือองค์หญิงใหญ่ฉางหรง!”
“แล้วจะมีอันใด ท่านพ่อ ท่านยังมองไม่ออกหรือ เจ้าหนุ่มนั่นก้าวเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนักก็ได้ตำแหน่งข้าหลวงตรวจสอบกรมโยธาทันที ข้าเป็นรองเสนาบดีกรมโยธา นี่เห็นชัดว่าเขาพุ่งเป้ามาที่ข้านะขอรับ เป็นบุตรชายขององค์หญิงฉางหรงแล้วจะทำไม เขาหมายกำจัดบุตรชายท่าน ข้าก็ต้องกำจัดเขา!”
ตำแหน่งข้าหลวงตรวจสอบหกกรมจัดได้ว่าเป็นขุนนางทัดทาน ปฏิบัติหน้าที่คล้ายคลึงกับข้าหลวงตรวจการ และมีอำนาจตรวจสอบการปฏิบัติงานของหกกรม
ฉือชั่นรับตำแหน่งข้าหลวงตรวจสอบกรมโยธา นั่งก้นยังไม่ทันร้อนก็ลงดาบหลันซงเฉวียนซึ่งเป็นรองเสนาบดี ถ้าเขาไม่คลุ้มคลั่งต่างหากถึงน่าแปลก
“เหลวไหล!” หลันซานลืมตาพรึบ ประกายคมกล้าจุดวาบขึ้นในดวงตา “เจ้าอย่าวู่วาม! ข้าอาจมีตำแหน่งเป็นถึงสมุหราชเลขาธิการ แต่เจ้านึกว่าข้านั่งอยู่ในตำแหน่งนี้อย่างมั่นคงมากหรือ เช่นนั้นเจ้าก็คิดผิดแล้ว ขุนนางฝ่ายบุ๋นเทียบกับแม่ทัพไม่ได้ ดั่งเช่นกวนจวินโหวนั้นทั้งที่ฮ่องเต้อยากฆ่าเขาทิ้งให้สาแก่ใจ แต่กลับไม่อาจไม่พะเน้าพะนอเอาใจให้ดีๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ไม่มีทางเกิดเหตุการณ์แบบนี้อย่างเด็ดขาด พวกเราอาศัยความเชื่อใจและความโปรดปรานของฮ่องเต้ ทันทีที่สูญเสียพวกมันไป โอรสสวรรค์สามารถทวงทุกสิ่งกลับไปด้วยความคิดเพียงชั่วแล่นได้ จะโดนปลดจากตำแหน่งหรือริบทรัพย์สมบัติก็มิใช่เรื่องแปลกประหลาดแม้แต่น้อย…”
แม้นหลันซงเฉวียนรับฟังอยู่ แต่สีหน้ากลับไม่ยอมจำนน
พวกเขาสองพ่อลูกใช้มือเดียวปิดฟ้าในราชสำนักมาสิบกว่าปี สร้างฐานอำนาจหยั่งรากลึก ฮ่องเต้จะแตะต้องพวกเขาตามใจชอบได้เยี่ยงไร หรือว่าพวกเขายังเทียบกวนจวินโหวไม่ได้ ช่างน่าขันสิ้นดี!
“ฮ่องเต้เป็นท่านลุงแท้ๆ ของฉือชั่น แล้วคำพูดขององค์หญิงฉางหรงก็มีน้ำหนักกับไทเฮาและฮ่องเต้ หากเจ้าลงมือกับบุตรชายของนางจริงๆ ก็เตรียมรอนางมาแลกชีวิตกับพวกเราได้เลย”
หลันซงเฉวียนขยับๆ มุมปากทว่าไม่เปล่งวาจาใด
หลันซานเอ่ยเตือนอย่างไม่วางใจ “อย่าทำเหลวไหล ลูกหลานผู้สูงศักดิ์พวกนี้ล้วนทำอะไรตามอำเภอใจ เขามิใช่บัณฑิตหลวงที่ผ่านการสอบรับราชการอย่างแท้จริงสักหน่อย ปล่อยให้เขาก่อกวนไปพักหนึ่งก็จะเลิกราไปเอง”
ฉือชั่นผู้ก่อคลื่นลมระลอกนี้ขึ้นออกจากห้องทรงพระอักษรแล้วมิได้กลับไปที่วังองค์หญิงใหญ่ แต่ไปดื่มสุราตามลำพังในหอชุนเฟิง
ชายหนุ่มเดินเข้าห้องส่วนตัวที่เก็บไว้ให้กลุ่มของเขาโดยเฉพาะแล้วนั่งตรงริมหน้าต่าง ดื่มสุราพลางมองความเป็นไปบนถนนทางนอกหน้าต่างอย่างใจลอย
ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ฉือชั่นกล่าวเสียงเนือยๆ โดยไม่ได้เหลียวหน้าไป “ไม่ตั้งใจเตรียมตัวสอบ มาที่นี่ทำอะไร”
จูเยี่ยนสาวเท้าไปนั่งลงฝั่งตรงข้าม เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “ดื่มสุราเป็นเพื่อนเจ้า”
มีสหายรักดื่มสุราเป็นเพื่อน ฉือชั่นย่อมยินดีเป็นธรรมดา เขายื่นมือเรียวยาวไปรินสุราให้อีกฝ่ายจนเต็มจอก
จูเยี่ยนยกจอกสุราขึ้น “จอกนี้ข้าดื่มคารวะเจ้า ข้าได้ยินเรื่องในวันนี้แล้ว”
ฉือชั่นหยักยิ้ม “แพร่ข่าวกันว่องไวนัก”
จูเยี่ยนยิ้มฝืดๆ “ใช่น่ะสิ ท่านพ่อข้ายังเรียกข้าไปถามความโดยเฉพาะ”
ฉือชั่นเลิกคิ้วแค่นหัวร่อ “สั่งกำชับเจ้าวันหลังให้ไปมาหาสู่กับข้าให้น้อยลงกระมัง”
จูเยี่ยนโคลงศีรษะยิ้มๆ เป็นเชิงยอมรับ
พวกเขาเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เริ่มเดินเตาะแตะจนไม่ต่างกับพี่น้องสายเลือดเดียวกัน เรื่องพวกนี้ไม่มีอะไรน่าปิดบัง
ฉือชั่นกระดกจอกสุราดื่มรวดเดียวหมดแล้วกล่าวเยาะๆ “ช่างน่าขบขันเสียจริง ท่านแม่ข้าสั่งกำชับข้าว่าอย่าไปมาหาสู่กับถิงเฉวียน ส่วนท่านพ่อเจ้าสั่งกำชับเจ้าให้ไปมาหาสู่กับข้าน้อยลง ที่แท้พวกท่านนึกว่าพวกเราเป็นเด็กสามขวบอยู่หรือไร”
จูเยี่ยนหลุบตาลงเพ่งมองจอกสุรา “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องในวันนี้เจ้าทำได้อย่างหมดจดงดงาม”
“ไม่ใช่ข้าทำได้อย่างหมดจดงดงาม เป็นเสด็จลุงโดนฎีกาฉบับแล้วฉบับเล่าของข้ากวนใจจนทนไม่ไหวเท่านั้นเอง”
เสด็จลุงผู้นั้นของเขากลัวความวุ่นวายเป็นที่สุด ได้รับฎีกาที่เขานำไปส่งเองหลายสิบฉบับในวันเดียวยังทานทนอยู่ได้หลายวันถึงลงทัณฑ์นายอำเภอไถสุ่ยก็มิใช่ง่ายดายแล้ว
“เจ้าต้องระวังจะโดนหลันซานกับบุตรชายแก้แค้น”
ฉือชั่นวางจอกสุราลง นิ้วมือเรียวยาวเห็นข้อนิ้วชัดกุมประสานกัน เขาหรี่ตากล่าวอย่างยิ้มเยาะ “หลันซงเฉวียนอาจจะเต้นผางๆ แต่ข้าไม่กลัวเขาอาละวาด ขอแค่เขาเริ่มอาละวาดก็จะเสียกระบวนไปเอง สำหรับหลันซานนั้น เขาชราภาพมากแล้ว สติย่อมอยู่เหนืออารมณ์จึงไม่ต้องกังวลใจ”
จูเยี่ยนฟังแล้วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขากรอกสุราเข้าปากอักๆ ถึงกล่าวทอดถอนใจ “เจ้าประจักษ์แจ้งแก่ใจเท่านั้นเป็นพอ”
เป็นเขาคิดมากไปเอง แม้ว่าสือซีจะอารมณ์ปรวนแปร ไม่ยึดถือแบบแผนธรรมเนียมใดๆ แต่จริงๆ แล้วเป็นคนที่มองอะไรๆ ได้ทะลุปรุโปร่งยิ่ง
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า รีบเตรียมเนื้อเตรียมตัวตบแต่งภรรยาไวๆ เถอะ”
“รอหลังการสอบฮุ่ยซื่อผ่านไปแล้วค่อยว่ากันเถอะ”
ฉือชั่นชักสนอกสนใจ “เจ้าจะเข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อครั้งนี้แล้วหรือ”