หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 679
บทที่ 679
จูเยี่ยนยกยิ้มเอ่ย “สมควรเข้าร่วมได้แล้ว การสอบคราวก่อนยังไม่ใคร่มั่นใจนัก ครั้งนี้ลองดูเถอะ”
หยางเอ้อร์เดินทางไปทิศใต้ปราบปรามชาววอโค่ว ถิงเฉวียนกำลังสู้รบกับชาวต๋าจื่อ บัดนี้แม้แต่สือซียังหาสิ่งที่เหมาะสมกับตนเองพบแล้ว เขาย่อมจะเชือนแชต่อไปอีกไม่ได้
สองสหายรักดื่มสุราแล้วต่างคนต่างกลับเรือน
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงกำลังรอฉือชั่นอยู่
“เดิมทีข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะทำอะไร ทว่าวันนี้เจ้าก่อเรื่องใหญ่เกินไปสักหน่อย กระทั่งหลันซานกับบุตรชายล้วนโดนฮ่องเต้ตำหนิติเตียนเพราะเจ้า”
ฉือชั่นขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด “นี่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของข้าในฐานะข้าหลวงตรวจสอบกรมโยธา เห็นหลันซานกับบุตรชายฉ้อราษฎร์บังหลวงแล้วจะให้แสร้งเป็นใบ้กระนั้นหรือ หากเป็นเช่นนี้ ข้าจะนั่งบนหลุมส้วมเฉยๆ โดยไม่อุจจาระไปไย!”
องค์หญิงฉางหรงเห็นบุตรชายฉุนเฉียว นางพลันยิ้มออกมา “ใต้หล้านี้มีคนที่นั่งบนหลุมส้วมเฉยๆ โดยไม่อุจจาระมากมายตั้งเท่าไร แต่ในเมื่อเจ้าอยากทำอย่างนี้ ข้าก็ไม่ห้ามปราม แค่เตือนเจ้าไว้คำหนึ่ง อย่าให้ตนเองเดือดร้อนไปด้วย”
“เรื่องนี้ย่อมมิต้องให้ท่านแม่ต้องกังวลใจเป็นธรรมดาขอรับ”
อืม ถึงตัวข้าต้องเดือดร้อนไปด้วย ท่านแม่ก็ต้องไปขอให้เสด็จลุงฮ่องเต้ช่วยข้าอยู่ดี
แต่ไรมาฉือชั่นไม่เคยปฏิเสธความสะดวกสบายที่ได้มาเพราะชาติกำเนิด และไม่เคยแสร้งทำตัวสูงส่งยอมอ้อมทางไกลแต่ไม่ใช้ทางลัด จริงๆ แล้วเขาหาได้มีปณิธานจะอุทิศตนต่อราชสำนักและอาณาประชาราษฎร์ที่เป็นเพียงลมปากอันใดไม่
ดังคำกล่าวว่า ‘ไม่มีใครรู้ใจบุตรชายเกินหน้ามารดา’ เมื่อเห็นฉือชั่นทำสีหน้าไม่เดือดเนื้อร้อนใจ องค์หญิงฉางหรงถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “แล้วเจ้าเคยใคร่ครวญหรือไม่ว่าเมื่อเสด็จลุงของเจ้าถึงวาระสุดท้าย…”
องค์หญิงฉางหรงกล่าวเลี่ยงไป “ถึงตอนนั้นเจ้าจะพึ่งบารมีใครอีกเล่า”
“ข้าไม่ได้คิดมากมายขนาดนั้นขอรับ” น้ำเสียงของฉือชั่นราบเรียบ เขาสบตากับมารดาด้วยสายตาสงบนิ่ง “หากใครๆ คิดมากมายขนาดนั้น หยางเอ้อร์ไม่มีทางไปปราบชาววอโค่ว เซ่าถิงเฉวียนก็ไม่มีทางรั้งอยู่ที่แดนเหนือตั้งแต่อายุสิบสี่ และถึงขั้นสังหารภรรยาเองกับมือ”
องค์หญิงฉางหรงอึ้งงันไปเล็กน้อย ในใจนางผสมปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายหลาก
“ท่านแม่ ข้าดื่มสุรามารู้สึกปวดศีรษะอยู่บ้าง ถ้าไม่มีเรื่องอื่นอีก ข้าจะไปพักผ่อนแล้วขอรับ”
“เจ้าไปเถอะ” องค์หญิงฉางหรงโบกมือบอกให้บุตรชายออกไป ค่อยลุกขึ้นเดินไปที่ข้างหน้าต่างเหม่อมองออกไปข้างนอก
ต้นพุทธรักษานอกหน้าต่างผลิใบหนาแน่นเขียวชอุ่ม ปุยสีขาวของต้นหยางลอยมาจากทางใดก็สุดรู้เล็ดลอดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอ้าอยู่ มันปลิวหล่นลงบนปลายนิ้วขององค์หญิงฉางหรง
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้น
“องค์หญิง…”
องค์หญิงฉางหรงเหลียวมองนางข้าหลวงตงอวี๋ปราดหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าออกไปเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ”
ตงอวี๋ถอยออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง
องค์หญิงฉางหรงยืนพิงหน้าต่างตรึกตรองเรื่องของฉือชั่น
กับบุตรชายผู้นี้ นางไม่รู้ว่าควรปฏิบัติต่อเขาอย่างไรมาโดยตลอด ยามเห็นดวงหน้าที่คล้ายคลึงบุรุษผู้นั้นราวกับแกะ นางก็อยากหยิบกรรไกรมาทำลายโฉมเขาใจจะขาด แต่พอเด็กผู้นี้เติบใหญ่ขึ้นทุกวัน ถึงที่สุดแล้วเขากับบุรุษผู้นั้นก็ไม่เหมือนกัน
หลันซานกับบุตรชายมีอำนาจล้นฟ้าได้เพราะอาศัยความโปรดปรานและไว้วางใจของเสด็จพี่ของนาง แต่หลานชายสองคนคือรุ่ยอ๋องกับมู่อ๋องต่างออกไป
หลันซงเฉวียนบุตรชายของหลันซานเข้าไปใกล้ชิดกับมู่อ๋องอยู่ลับๆ เป้าหมายของเขาก็คือหนุนมู่อ๋องขึ้นครองราชย์เพื่อรักษาความมั่งคั่งและอำนาจของตนสืบต่อไป
ที่ผ่านมาด้านรุ่ยอ๋องซึ่งเป็นคู่แข่งเพียงหนึ่งเดียวของมู่อ๋องกลับโดนหลันซานกับบุตรชายกลั่นแกล้งด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง หากเขาได้ขึ้นครองราชย์ วันที่พ่อลูกคู่นั้นจะพินาศล่มจมก็อยู่ไม่ไกลเกินรอแล้ว
ในเมื่อชั่นเอ๋อร์รังเกียจชิงชังสองพ่อลูกสกุลหลันถึงเพียงนี้ เช่นนั้นบางทีอาจถึงแก่เวลาที่นางควรจะเปลี่ยนจุดยืนที่วางตัวเป็นกลางมาตลอดหลายปีนี้แล้ว
เมื่อคิดถึงหลันซานกับบุตรชาย องค์หญิงฉางหรงก็ยิ้มเยาะ บุตรชายของนาง นางจะทำกับเขาอย่างไรก็ได้ แต่หากคนอื่นบังอาจแตะต้องเขาแม้แต่ปลายเล็บ นางก็ไม่ต้องเกรงใจแล้ว
ห้องซักผ้าของจวนสกุลหลีมีหญิงคนงานชั่วคราวเพิ่มขึ้นผู้หนึ่งเปรียบดั่งหินกรวดที่ตกลงไปในทะเลสาบ ไม่ทำให้ละอองน้ำสาดกระเซ็นขึ้นมาสักเท่าไรก็สงบนิ่งดุจเดิม
คนรับใช้หน้าใหม่ที่เข้ามาในจวนด้วยการอาศัยบารมีของอาจูสาวใช้ข้างกายคุณหนูสาม อีกทั้งมิได้ทำหน้าที่สำคัญอะไร พวกบ่าวไพร่ในจวนสกุลหลีอย่างมากก็อยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกอื่นๆ อย่างอิจฉาริษยากลับไม่มี
พี่สะใภ้อาจูเป็นคนช่างพูด ไม่นานนักคนรับใช้ในจวนก็รู้เรื่องของอาจูไม่น้อย
ครอบครัวยากจน พี่ชายไม่มีปัญญาตบแต่งภรรยา อาจูขันอาสาขายตนเองไปเป็นสาวใช้ในตระกูลใหญ่ หลายปีนี้นางไม่เคยลืมเลือนญาติพี่น้อง แม้แต่เรือนที่บ้านเกิดยังสร้างขึ้นจากเงินค่าจ้างที่อาจูเก็บหอมรอมริบไว้
น่าเสียดายที่เกิดเหตุเภทภัยอย่างคาดไม่ถึง ถิ่นเกิดประสบภัยธรรมชาติ คนทั้งครอบครัวต้องเดินทางรอนแรมจนมาถึงเมืองหลวง แต่เพราะสิ้นเนื้อประดาตัวและทำมาหากินไม่ได้ ส่งผลให้ตกอับถึงขั้นเป็นขอทาน พอได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากับอาจูอีกครั้งถึงได้อยู่อย่างสุขสบาย
ใต้ชายระเบียงเรือนซ้ายของเรือนหยาเหอ ปิงลวี่ปิดปากหัวเราะไม่หยุด “อาจู พี่สะใภ้ของเจ้าผู้นั้นน่าขันจริงๆ พูดชมเจ้าประหนึ่งเทพธิดา ครานี้คนในจวนเรารู้กันหมดแล้วว่าเจ้าเป็นลูกกตัญญู”
อาจูได้ยินแล้วหลุบเปลือกตาลง เผยรอยยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน
ปิงลวี่กระตุกแขนเสื้อนาง “เป็นอะไรไป คนทั้งจวนชื่นชมเจ้าแล้วไม่ดีใจหรือ”
อาจูฝืนแย้มมุมปากพลางโคลงศีรษะเงียบๆ
เฉียวเจายืนอยู่ข้างหน้าต่างฟังพวกสาวใช้คุยกันแล้วแค่นเยาะในใจ
พี่สะใภ้ของอาจูหวังดีต่อนางที่ไหนกัน นี่เป็นการผลักอาจูออกมาเป็นเป้าสายตาให้บ่าวไพร่ทั่วทั้งจวนจับตาดู วันหน้าถ้าคนในครอบครัวนั้นมีเรื่องขอร้องแล้วอาจูคิดปฏิเสธก็ต้องทนรับความกดดันอย่างหนักหน่วง
ปิงลวี่เป็นคนจิตใจใสซื่อจึงคิดไม่ถึงจุดนี้เป็นธรรมดา นางเห็นเงาร่างตรงหน้าประตูลานเรือนก็เบะปาก “อาจู พี่สะใภ้ของเจ้ามาอีกแล้ว”
อาจูกัดริมฝีปากอย่างกระดากใจแล้วก้าวขาเดินไปหา “ก็บอกแล้วว่าไม่มีอะไรอย่ามาหาข้าที่นี่มิใช่หรือ”
“ข้ารู้แล้วๆ เจ้าบอกว่าที่นี่เป็นเรือนพำนักของคุณหนู หญิงคนงานอย่างพวกข้าไม่ควรมา แต่ข้ามีเรื่องถึงได้มาหาเจ้ามิใช่หรือ”
“พูดสิ มีเรื่องใด”
พี่สะใภ้ของอาจูไม่กล่าวตอบ กลับกลอกตามองซ้ายมองขวา
“พี่สะใภ้มองอะไรหรือ” น้ำเสียงของอาจูปึ่งชาขึ้น
บางทีนางอาจทำผิดตั้งแต่ต้น คิดแค่ว่าจะมองดูมารดาป่วยตายโดยไม่ดูดำดูดีไม่ได้ ถึงช่วยให้พี่สะใภ้เข้ามาทำงานในจวนสกุลหลี
พี่สะใภ้ของนางมิใช่คนที่ขยันขันแข็งและเจียมเนื้อเจียมตัวมาแต่ไหนแต่ไร “คิกๆ ก็ข้าไม่เคยเห็นเรือนพำนักของบุตรสาวในตระกูลใหญ่ๆ มาก่อนน่ะสิ”
สีหน้าของอาจูบึ้งตึงเต็มที่ “พี่สะใภ้ ท่านมาหาข้าเจ็ดแปดครั้งแล้ว”
“เปล่านะ ข้าได้ยินว่าคุณหนูสามเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ถึงได้เกิดอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา น้องเล็ก ข้ามาหาเจ้าก็เพื่อหารือว่าจะฉลองวันเกิดให้ท่านแม่อย่างไร”
“ฉลองวันเกิด?”
พี่สะใภ้ของอาจูทำหน้าหลากใจ “น้องเล็ก เจ้าคงไม่ได้ลืมว่าใกล้ถึงวันครบรอบวันเกิดของท่านแล้วกระมัง”
อาจูฟังด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นางถูกขายตั้งแต่เยาว์วัย ต่อให้ภายหลังครอบครัวพึ่งใบบุญของนางถึงมีกินมีใช้ แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่าพี่ชายพี่สะใภ้เคยฉลองวันเกิดให้มารดาเมื่อไร แล้วนางจะรู้ที่ไหนกันว่าวันครบรอบวันเกิดของมารดาคือวันไหน
“วันครบรอบวันเกิดของท่านแม่เป็นเดือนหน้านี่แล้ว น้องเล็ก เจ้าตั้งใจจะฉลองให้ท่านแม่อย่างไร”
“ถึงเวลาค่อยว่ากันเถอะ พี่สะใภ้อย่าลืมว่าข้าเป็นคนรับใช้ในเรือนผู้อื่น ไม่ได้เป็นคุณหนู ขอลาบ่อยๆ จนสร้างความไม่พอใจให้คุณหนู ดีไม่ดีอาจโดนปลดออกจากหน้าที่นี้ก็เป็นได้”
“ตกลงๆ เจ้าไปทำงานของเจ้าเถอะ ข้าไปก่อนล่ะ รอใกล้ถึงวันครบรอบวันเกิดของท่านแม่ค่อยมาหารือกับเจ้าอีกที” พี่สะใภ้ของอาจูดูเหมือนจะตกใจเพราะคำขู่นี้ นางไม่พูดอะไรต่ออีกก็หันหลังเดินจากไปอย่างลุกลน
อาจูนิ่งเงียบไปเนิ่นนานถึงหมุนกายกลับและพลันเห็นเฉียวเจา “คุณหนู…”
เฉียวเจาที่เดินมายืนอยู่ข้างหลังตบแขนนางเบาๆ “ทำหน้าที่ของเจ้าไปอย่างสบายใจ ไม่ต้องคิดมาก”