หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 680
บทที่ 680
เวลาผ่านไปอย่างสุขสงบไร้คลื่นลมอีกหลายวัน เช้าวันนี้เฉียวเจาไปที่เรือนชิงซงเพื่อคารวะฮูหยินผู้เฒ่าตามปกติ
“ท่านย่า ข้านำใบชาหน่อม่วงมาให้เจ้าค่ะ ท่านลองลิ้มรสดู”
“ใบชาหน่อม่วง?” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งได้ยินแล้วประหลาดใจอยู่สักหน่อย “ไปเอาใบชาหน่อม่วงจากไหนหรือ ข้าเคยได้ยินท่านเซียงจวินของจวนตะวันออกพูดว่าใบชาหน่อม่วงนี้เป็นชาบรรณาการก่อนเทศกาลชุนเซ่อ* เป็นของล้ำค่ามาก”
เมื่อครั้งวัยสาว ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งต้องเลี้ยงดูบุตรชายสองคนด้วยความลำบากเหนื่อยยาก ต้องใช้ชีวิตอย่างกระเหม็ดกระแหม่มามากกว่าครึ่งค่อนชีวิต นางจึงไม่มีนิสัยพิถีพีถันเรื่องการกินการอยู่เฉกเช่นนายหญิงผู้เฒ่าในตระกูลเศรษฐีผู้สูงศักดิ์
แม้กระนั้นก็ตามที เพราะท่านเซียงจวินของจวนตะวันออกเคยได้ดื่มชาบรรณาการหน่อม่วงนี้มาก่อนและมาโอ้อวดให้นางฟังไม่รู้กี่ครั้งกี่หนจนหูชาเลยจดจำได้มานานแล้ว
“กวนจวินโหวส่งมาให้เจ้าค่ะ” เฉียวเจาบอกอย่างตรงไปตรงมา
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งฟังแล้วยิ่งแปลกใจ “ท่านโหวไปออกรบแล้วมิใช่หรือ”
เฉียวเจาแสดงท่าทีเปิดเผย “อ้อ องครักษ์ในจวนเขานำมาให้เจ้าค่ะ”
หญิงชราอดชอบอกชอบใจไม่ได้ นางจับมือหลานสาวมาตบเบาๆ “เห็นได้ว่าท่านโหวเอาใจใส่เจ้ามาก กระทั่งองครักษ์ยังรู้จักส่งของดีๆ มาให้เจ้า”
เหอซื่อยังอยู่เดือน ลูกสะใภ้ที่มาคารวะยามเช้าจึงเหลือแค่หลิวซื่อ นางได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกล่าวประโยคนี้ก็เม้มปากยิ้มก่อนเอ่ยขึ้น “หรือจะบอกว่าคุณหนูสามของเราเป็นคนมีบุญก็ได้เจ้าค่ะ ถึงมีว่าที่สามีดีๆ อย่างนี้ แน่นอนว่าฮูหยินผู้เฒ่าก็มีบุญเช่นกันถึงมีหลานสาวกตัญญูเช่นคุณหนูสาม”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองหลิวซื่ออย่างฉงนใจ เพราะอะไรหนึ่งปีมานี้นางมักเกิดอุปาทานอยู่ร่ำไปว่า หลานเจาต่างหากที่เป็นบุตรสาวในไส้ของลูกสะใภ้คนรอง!
“นั่นสิ หลานเจาของเราเป็นคนมีน้ำใจ ตอนนี้ข้าหวังเพียงว่าท่านโหวจะกลับมาอย่างปลอดภัยยิ่งเร็วยิ่งดี”
“ฮูหยินผู้เฒ่าสบายใจได้เต็มที่เจ้าค่ะ ท่านเขยสามดีกับคุณหนูสามของเราขนาดนี้ จะต้องกลับมาอย่างปลอดภัยเป็นแน่”
ฮึ ส่วนพวกที่คิดร้ายต่อคุณหนูสามถ้าไม่ตายก็พิการ แม้แต่ฮ่องเต้เล่นงานท่านเขยสามยังโดนชาวต๋าจื่อบุกมาโจมตีถึงเมืองหลวง เห็นได้ว่าผลจากการสังเกตการณ์ของข้าถูกต้องแม่นยำยิ่ง
และเพราะนางเปลี่ยนท่าทีต่อคุณหนูสามได้ทันท่วงทียังได้พึ่งบารมีของคุณหนูสามไม่น้อย ยังไม่ต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น นางมารร้ายอย่างปิงเหนียงนั่นก็ได้คุณหนูสามช่วยกำจัดให้
เวลานี้นางแค่เฝ้ารอที่คุณหนูสามพูดว่านางให้กำเนิดบุตรได้จะเป็นความจริงโดยไว
น้ำเสียงของหลิวซื่อมั่นอกมั่นใจ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกำลังอารมณ์ดีเลยไม่ทันสังเกต แต่เฉียวเจากลับมีสีหน้าชอบกลอยู่หลายส่วน
เพราะดีต่อนางก็กลับมาได้อย่างปลอดภัย นางรู้สึกไม่วายเหตุและผลนี้ฟังดูทะแม่งๆ ที่ตรงไหนนะ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งได้รับชาชั้นเลิศที่หลานสาวนำมาแสดงความกตัญญูก็ปลาบปลื้มอยู่ในใจ ส่งผลให้อยากพูดคุยมากกว่าปกติ นางจึงรั้งตัวเฉียวเจากับหลิวซื่อและบุตรสาวสองคนให้ร่วมกินอาหารเช้าด้วยกันเสียเลย
“อายุมากแล้วกินพวกเนื้อสัตว์ก็ติงว่าทั้งมันทั้งเลี่ยนไป ในเรือนนี้ต้องมีโจ๊กใส่ฟักทองกับมันเทศทุกมื้อไม่เคยขาด แต่สงสัยว่าคนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าคงไม่เคยชิน พอดีเรือนครัวยังทำโจ๊กสามเซียนไว้ด้วย น่าจะถูกปากพวกเจ้านะ”
“ดูฮูหยินผู้เฒ่าพูดเข้า พวกข้ากินอะไรก็ได้ทั้งนั้นเจ้าค่ะ” หลิวซื่อกล่าวเช่นนี้ แต่ก็รับโจ๊กสามเซียนมาตักกินคำหนึ่ง
แม้นมิใช่ว่านางต้องกินอาหารที่ใส่เนื้อสัตว์เท่านั้น แต่ไม่คุ้นเคยกับการกินโจ๊กมันเทศจริงๆ
ใครจะรู้ว่าพอโจ๊กสามเซียนที่ยามปกติรู้สึกว่าหอมอร่อยเข้าปาก หลิวซื่อก็เกิดอาการคลื่นไส้ระลอกหนึ่ง นางรีบหันศีรษะไปอีกทางแล้วเริ่มอาเจียนลม
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกับเฉียวเจาอดมองหน้ากันไปมาไม่ได้
หลิวซื่อก้มตัวอาเจียนเสร็จแล้วรับถ้วยน้ำที่สาวใช้ยื่นให้มาบ้วนปาก จากนั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปากแล้วพูดอย่างกระดากอาย “คงเป็นเพราะเมื่อคืนกินมากไป…”
นางพูดไปครึ่งๆ กลางๆ ก็ชะงักกึก หันขวับไปมองเฉียวเจา
เมื่อครู่นี้ข้าอาเจียนแล้ว อาเจียนแล้ว! หรือว่า…
พอนึกถึงความเป็นไปได้บางประการ หัวใจของหลิวซื่อเต้นรัวแรงราวกับจะกระดอนออกมานอกอกในชั่วขณะ
เยือกเย็นไว้ๆ ไม่แน่ว่าอาจจะกินมากเกินไปจริงๆ นะ
ถึงอย่างไรหลิวซื่อเป็นสตรีออกเรือนแล้วที่เคยให้กำเนิดบุตรมาสองคน ความคิดแรกของนางคือตนเองมีครรภ์ ครั้นเรื่องที่คาดหวังมาเนิ่นนานจนหมดหวังไปนานแล้วจู่ๆ ก็มีความเป็นไปได้ขึ้นมา สติบอกให้นางปฏิเสธสุดกำลังเพื่อไม่ให้ยิ่งหวังมากยิ่งผิดหวังมาก
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกลับไม่คำนึงถึงว่าในหัวของหลิวซื่อจะคิดอะไรไปร้อยแปดพันประการ นางเอ่ยแนะขึ้นทันที “หลานเจา จับชีพจรให้ท่านอาสะใภ้รองทีสิ”
เฉียวเจาผงกศีรษะ วางมือแตะข้อมือของหลิวซื่อตั้งสมาธิตรวจชีพจร
หลิวซื่อไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ได้ยินแต่เสียงหัวใจเต้นตึกตักๆ ของตนเองยิ่งมายิ่งถี่เร็วขึ้น สุดท้ายนางกระตุกมือกลับมากุมอกพลางกล่าว “ไม่ได้ๆ ขอข้าสงบอกสงบใจก่อน”
พอเห็นมารดาสามีมองนางอย่างแปลกใจ หลิวซื่อยิ้มอย่างกระดากกระเดื่องแล้วยื่นข้อมือออกไปอีกครา
เฉียวเจาคลายยิ้ม “ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ”
หลิวซื่อมองนางด้วยสายตาวาดหวัง มือกำผ้าเช็ดหน้าแน่นด้วยความตื่นเต้น
“ยินดีกับท่านอาสะใภ้รองด้วยเจ้าค่ะ”
ทันทีที่หลิวซื่อได้ยินเช่นนี้นางก็จับมือเฉียวเจาไว้หมับ “คุณหนูสาม ความหมายของเจ้าคือ…”
“ท่านอาสะใภ้รองมีครรภ์แล้ว แต่เวลาสั้นไป ยังตรวจด้วยการจับชีพจรได้ไม่ชัดเจน”
“มีครรภ์ก็พอ…มีครรภ์ก็พอแล้ว ชัดเจนหรือไม่ไม่เป็นไร” หลิวซื่อพูดละล่ำละลัก
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยินดีจนสุดระงับเช่นเดียวกัน “เจาเจา เจ้ายืนยันได้ใช่หรือไม่”
เฉียวเจาพยักหน้า
“อมิตาภพุทธ สวรรค์คุ้มครอง…”
หลิวซื่อส่ายหน้า “อมิตาภพุทธอะไรกันเจ้าคะ ข้าไหว้พระอธิษฐานขอพรมาเป็นร้อยเป็นพันหน จะเทพยดาฟ้าดินหรือองค์พระพุทธล้วนไม่ศักดิ์สิทธิ์ ข้ามีครรภ์ได้ต้องขอบคุณคุณหนูสามต่างหาก”
พอนางกล่าวถึงตรงนี้ก็ร่ำไห้สุดเสียงแล้ว
เป็นสตรีผู้หนึ่ง…สตรีที่เกิดในยุคสมัยนี้ จะมีสักกี่คนที่เข้าใจถึงความทุกข์ทรมานและขมขื่นใจจากการไร้บุตรชายมานานหลายปีนี้ของนางได้เล่า
เดิมทีนางยอมรับชะตากรรมไปแล้ว ใช้ความปากคมปากกล้าปกปิดความอ่อนแอภายในใจ ไหนเลยจะคิดถึงว่าการเปลี่ยนแปลงความคิดที่มีต่อคุณหนูสามจะส่งผลบุญมาให้นางเฉกนี้
หากว่าข้ามีบุตรชายสักคนได้… หลิวซื่อยิ่งคิดยิ่งร้องไห้เสียงดังขึ้น
“เอาล่ะ อย่าร้องไห้ ตอนนี้อายุครรภ์ยังอ่อนอยู่ จะดีใจเสียใจมากเกินไปไม่ได้นะ” หญิงชราเอ่ยเตือนขึ้น
หลิวซื่อหยุดร้องไห้ทันควัน นางมองเด็กสาวอย่างวาดหวัง
เฉียวเจาเอ่ยด้วยรอยยิ้มละไม “ท่านอาสะใภ้รองไม่ต้องวิตกเกินไป ท่านเป็นคนสุขภาพแข็งแรง เพียงระวังตัวสักหน่อยก็ไม่มีปัญหาแน่ ประเดี๋ยวข้าจะเขียนสิ่งที่พึงระวังด้านอาหารการกินแล้วส่งไปให้ท่านที่เรือนจินหรงนะเจ้าคะ”
ข่าวหลิวซื่อตั้งครรภ์แพร่กระจายไปทั่วจวนสกุลหลีอย่างรวดเร็ว
หลีกวงซูกลับถึงจวนได้ยินพวกบ่าวไพร่พูดคุยซุบซิบกันพอดี เขาตะลึงงันไปอย่างช่วยไม่ได้ จึงเรียกหญิงรับใช้ผู้หนึ่งมาไต่ถาม “นายหญิงรองมีข่าวดีอะไร”
หญิงรับใช้กลั้นยิ้มไม่อยู่ “เหตุใดนายท่านรองถามเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ แน่นอนว่านายหญิงรองใกล้จะให้กำเนิดคุณชายน้อยน่ะสิเจ้าคะ ข้าขอแสดงความยินดีกับนายท่านรอง…”
นางยังพูดไม่จบ หลีกวงซูก็สาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปข้างหน้าแล้ว
รอจนเขาเดินห่างไปไกล หญิงรับใช้เบะปากบ่นอุบอิบ “ข่าวดีครั้งใหญ่ขนาดนี้ นายท่านรองไม่แจกเงินขวัญถุงสักเหรียญ ต่างจากนายหญิงรองลิบลับ ล้วนเป็นเจ้านายเหมือนกัน ไฉนเรื่องนิสัยมารยาทถึงได้ต่างกันมากเช่นนี้นะ”
หลีกวงซูตรงดิ่งไปที่เรือนจินหรงเห็นหลิวซื่อก็ถามขึ้นทันที “คนในจวนบอกว่าเจ้ามีครรภ์แล้วหมายความว่าอะไร”
”จะหมายความว่าอะไรได้ล่ะ” หลิวซื่อทำสีหน้าชอบกล “ก็ข้าตั้งครรภ์แล้ว ข้าจะได้เป็นมารดาคนอีกแล้วน่ะสิ”
“นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน”
หลิวซื่อฟังแล้วไม่ชอบใจ “เหตุใดจะเป็นไปไม่ได้ คุณหนูสามตรวจชีพจรข้าแล้ว เป็นชีพจรของคนมีครรภ์อย่างไม่ต้องสงสัย!”
ในใจหลีกวงซูเคลือบแคลงเรื่องที่เฉียวเจาได้รับการถ่ายทอดวิชาแพทย์จากหมอเทวดาหลี่โดยตรงมาโดยตลอด เขายังไม่เชื่อว่าเด็กสาวที่ยังไม่ปักปิ่นนางหนึ่งจะเข้าใจเรื่องการตั้งครรภ์คลอดบุตร พอได้ยินคำกล่าวของภรรยา เขาเพียงรู้สึกว่าไร้สาระ “เหลวไหล เจ้าอยากมีลูกจนเสียสติไปแล้วกระมัง ได้ยินแม่เด็กน้อยผู้หนึ่งพูดจาส่งเดชก็ป่าวประกาศให้คนรู้กันไปทั่ว ไม่กลัวขายหน้าบ้างเลย!”