หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 682
บทที่ 682
ในศาลารับลมกลางสวนดอกไม้ของจวนฉางชุนป๋อ ขณะที่ฮูหยินหลายท่านลิ้มรสชากันอยู่ มีฮูหยินผู้หนึ่งเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ “พูดถึงคุณหนูสามของสกุลหลีผู้นั้น นางมีเรื่องมีราวไม่หยุดหย่อนจริงๆ พักก่อนในงานเลี้ยงรับรองคณะทูตซีเจียงก็แสดงฝีมือโดดเด่นเหนือใคร นี่เป็นเรื่องดี เพราะช่วยเชิดหน้าชูตาให้ต้าเหลียง แต่เรื่องที่นางก่อขึ้นตอนนี้กลับน่าขบขันเหลือเกิน”
“เรื่องอะไรหรือ”
“อะไรกัน หวงฮูหยิน เรื่องที่สองวันนี้ลือกันเซ็งแซ่ขนาดนี้ ท่านไม่รู้เลยหรือ”
“ก็มารดาสามีข้าล้มป่วยอยู่มิใช่หรือ ข้าต้องทั้งดูแลเรือนทั้งเฝ้าไข้ ไหนเลยจะมีเวลาฟังเรื่องพวกนี้”
“มิน่าท่านถึงไม่รู้…” หวังซื่อภรรยาของเสนาบดีศาลยุติธรรมรีบเล่าเรื่องที่ได้ยินมาเป็นคุ้งเป็นแคว
“ไม่กระมัง คุณหนูสามสกุลหลีจะล้อเล่นเรื่องแบบนี้กับอาสะใภ้ได้หรือ ข้ารู้เรื่องของหลิวซื่อนายหญิงรองของครอบครัวนั้น เมื่อตอนคลอดบุตรคนที่สอง ร่างกายนางได้รับความกระทบกระเทือน ท่านหมอบอกว่าไม่มีทางตั้งครรภ์ได้แล้ว…”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” ฮูหยินที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวทำน้ำเสียงแปลกใจ
ฮูหยินที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ปิดปากพูดยิ้มๆ “ถึงอย่างไรมิใช่เรื่องดีอันใด เรื่องที่ท่านไม่รู้ก็ต้องมีบ้างนะ ส่วนข้าเป็นเพราะภรรยาของท่านหมอที่ตรวจอาการให้นายหญิงรองสกุลหลีเป็นญาติผู้พี่ของหญิงรับใช้อาวุโสในสกุลเดิมของข้า ถึงได้ยินได้ฟังโดยบังเอิญ…”
“ถ้าเป็นอย่างนี้ คุณหนูสามก็ออกจะไม่รู้ความเกินไป เอาเรื่องพรรค์นี้มาพูดล้อเล่นได้ที่ใดกันเล่า”
“ที่แปลกพิกลที่สุดมิใช่เรื่องนี้ แต่เป็นนายหญิงรองสกุลหลีผู้นั้น ขนาดท่านหมอบอกแล้วว่าคุณหนูสามวินิจฉัยผิด แต่หัวเด็ดตีนขาดนางก็ยังไม่เชื่อ เก็บตัวอยู่ในเรือนบำรุงครรภ์แล้ว”
“หรือว่านายหญิงรองอยากมีลูกจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วกระมัง”
“ไม่มีบุตรมาหลายปี จู่ๆ มีคนบอกนางว่าตั้งครรภ์แล้ว จะฟั่นเฟือนก็ไม่น่าแปลก คนเรานี่นะ มักไม่อยากเชื่อเรื่องร้ายๆ ขอยอมเชื่อเรื่องดีๆ ที่เลื่อนลอยดีกว่า”
ฮูหยินทั้งหลายพูดวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างออกรสออกชาติขึ้นทุกที มีเพียงฮูหยินของฉางชุนป๋อที่ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาสักคำ
หวังซื่อภรรยาของเสนาบดีศาลยุติธรรมเอ่ยอย่างฉงนใจ “เหตุใดหยางฮูหยินไม่พูดไม่จาอยู่ตลอดเล่า”
ฮูหยินของฉางชุนป๋อคลี่ยิ้ม “ข้าไม่ใคร่อยากเอ่ยถึงคนตระกูลนั้นนัก แต่บอกว่าคุณหนูสามสกุลหลีตรวจได้ว่าคนอื่นตั้งครรภ์ นั่นคงเป็นเรื่องไร้สาระน่าขันที่สุดในใต้หล้าเลยทีเดียว”
กล่าวถึงตอนท้าย ฮูหยินของฉางชุนป๋อไม่แยแสแม้แต่จะเก็บงำความเกลียดชังที่มีต่อสกุลหลีไว้แล้ว
ที่มาที่ไปของเรื่องนี้ทุกคนต่างรู้กันดีอยู่ในใจ หวังซื่อไม่ลงรอยกับสกุลหลีมาแต่ไหนแต่ไร นางจงใจกล่าวขึ้น “ข้าจำได้ว่าคุณชายเล็กของจวนท่านได้คุณหนูสามสกุลหลีรักษาจนหาย…”
“พูดเหลวไหล” ฮูหยินของฉางชุนป๋อพูดเสียงหลงตัดบทหวังซื่อ ครั้นเห็นทุกคนมองนางอย่างประหลาดใจ รีบดื่มน้ำชาคำหนึ่งกลบเกลื่อนที่ตนเสียกิริยา
“ซูเอ๋อร์ของข้าไม่ได้ป่วยเป็นอะไรสักหน่อย หมอหลวงเคยบอกแล้วว่าศีรษะเขาโดนกระทบกระแทกเลยมีเลือดคั่ง เดิมทีรอให้เลือดที่คั่งอยู่สลายไปก็จะหายสนิทเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณหนูสามสกุลหลีผู้นั้น!”
ทันทีที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ฮูหยินของฉางชุนป๋อก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความชิงชัง
แม้ว่ายังหาตัวคนร้ายที่ทำร้ายซูเอ๋อร์บาดเจ็บไม่ได้เรื่อยมา แต่จะให้นางเชื่อว่าไม่เกี่ยวข้องกับสกุลหลีนั้นเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด หากที่น่าขุ่นเคืองมากกว่าคือทั้งที่ซูเอ๋อร์ไม่ได้เป็นอะไร แค่สติเลอะเลือนไปบ้างหลังได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่พอคุณหนูสามสกุลหลีก่อความวุ่นวายอย่างนั้นขึ้น ทำให้คนทั้งเมืองหลวงรู้กันหมดว่าซูเอ๋อร์เคยปัญญาอ่อนมาก่อน จนบัดนี้จะตบแต่งภรรยาที่เข้าท่าเข้าทางสักคนก็ยังไม่ได้
“นั่นน่ะสิ แค่เด็กสาวผู้หนึ่งที่ได้คำชี้แนะสั่งสอนจากหมอเทวดาไม่กี่คำก็พูดกันแล้วว่าได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหมอเทวดาโดยตรง ก่อนหน้านั้นคุณหนูรองสกุลหลีก็เคยกระทำเรื่องแอบอ้างชื่อสวมรอยแทนที่วัดต้าฝู เห็นได้ว่าการอบรมบ่มเพาะของสกุลหลีมีปัญหา มีก็แต่กวนจวินโหวที่ไม่มีมารดาบังเกิดเกล้าช่วยดูแลจัดการให้ถึงได้ตกลงหมั้นหมายกับสกุลนี้…”
บุตรสาวของอาลักษณ์เล็กๆ ผู้หนึ่งกลับได้แต่งงานกับกวนจวินโหว เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มีฮูหยินในตระกูลต่างๆ ตั้งมากเท่าไรก็สุดรู้ที่อิจฉาริษยาอยู่ในใจ แม้ต่อหน้าจะแสดงท่าทางสุภาพเกรงใจต่อชาวสกุลหลีเป็นการให้เกียรติกวนจวินโหว แต่ลับหลังพอมีโอกาสเหยียบย่ำพวกเขา คำพูดทับถมแดกดันที่เก็บกักไว้ในใจเหล่านี้ก็หลุดออกมาแล้ว
ในวังรุ่ยอ๋อง หลังหลีเจี่ยวได้ยินเรื่องนี้กลับนิ่งขึงไปนานครู่หนึ่ง
คนภายนอกล้วนยิ้มเยาะปรามาสหลีซานเรื่องที่รักษาอาการเป็นหมันของท่านอาสะใภ้รองจนหายดี ซ้ำยังบอกว่าท่านอาสะใภ้รองตั้งครรภ์แล้ว แต่เหตุอันใดนางกลับรู้สึกได้รางๆ ว่าเรื่องนี้มีโอกาสเป็นความจริง
จริงสิ ตั้งแต่วันนั้นที่บังเกิดความคิดแปลกๆ นั่นโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย นางไม่อาจเห็นหลีซานเป็นหลีซานคนเดิมในอดีตได้อีกต่อไป
ถ้าหลีซานเป็นพวกภูตผีปีศาจเช่นที่นางคิดจริงๆ การรักษาอาการเป็นหมันของท่านอาสะใภ้รองได้จะแปลกอะไรล่ะ
บางที… หลีเจี่ยวลูบหน้าท้องตนเองเบาๆ
หลายวันนี้หมอประจำวังอ๋องล้วนมาตรวจชีพจรดูแลสุขภาพให้นางเป็นประจำทุกวัน แต่นางแจ่มแจ้งดีแก่ใจว่านี่คือท่านอ๋องร้อนใจอยากรู้ว่านางตั้งครรภ์หรือไม่ แต่ท่านหมอใหญ่บอกว่าขณะนี้ยังเร็วเกินไป ไม่อาจวินิจฉัยออกได้
ความรู้สึกของการเฝ้ารอผลลัพธ์เช่นนี้ช่างทรมานใจเหลือเกิน ทุกลมหายใจเข้าออกล้วนอยู่ในความทุรนทุราย
บางทีข้าอาจจะขอให้ท่านอ๋องเชิญหลีซานมา…
ไม่ได้ ท่านอ๋องเริ่มให้ความสนใจหลีซานแล้ว ข้าจะสร้างโอกาสให้ทั้งคู่ได้พบปะกันมากขึ้นไม่ได้!
หลีเจี่ยวทนข่มใจและล้มเลิกความคิดนี้
ในโรงหมอเต๋อจี้ ท่านหมอชรากำลังดุด่าเด็กรับใช้ผู้ติดตามหิ้วหีบยาให้เขา “เรื่องของเรือนผู้อื่นก็เอาไปพูดส่งเดชได้หรือ เจ้าเด็กบัดซบผู้นี้ ไสหัวออกไปจากโรงหมอเต๋อจี้วันนี้เลย!”
เด็กรับใช้คุกเข่ากับพื้นกล่าววิงวอน “นายท่านผู้เฒ่าอย่าขับไล่ไสส่งข้าเลยขอรับ ข้าไม่ได้ตั้งใจพูดออกไป แค่เผลอหลุดปากเท่านั้น”
“เลิกพูดได้แล้ว ไม่ว่าเจ้ามีเหตุผลอะไรก็ให้เจ้าอยู่ในโรงหมอเต๋อจี้ไม่ได้แล้ว เจ้าไปซะ” ท่านหมอชราโบกมือไปมา
“นายท่านผู้เฒ่า ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ ข้ากำพร้าบิดามารดา อยู่ในโรงหมอเต๋อจี้ตั้งแต่เล็กจนโต ท่านไล่ข้าไปแล้ว หลังจากนี้ข้าจะอยู่ที่ใดเล่าขอรับ”
ท่านหมอชราหลับตาลงซ่อนแววตาเวทนา เขาปลดถุงผ้าปักที่เหน็บเอวไว้โยนส่งให้ “ในนั้นมีเงินอีกสองตำลึง รับไว้เถอะ”
“นายท่านผู้เฒ่า…”
“ไปเถอะๆ”
เด็กรับใช้เดินเหลียวหลังเป็นระยะออกจากโรงหมอเต๋อจี้อย่างอาลัยอาวรณ์ รอกระทั่งไปถึงที่ที่ปลอดคน เขาเช็ดน้ำตาทิ้งทันทีแล้วเผยรอยยิ้มออกมา
คนผู้นั้นกล่าวไม่ผิดดังคาด เขาร้องไห้ให้น่าสงสารสักหน่อยยังจะได้เงินอีกหลายตำลึงด้วยนะ
ออกจากโรงหมอเต๋อจี้แล้วจะมีอันใด คนผู้นั้นมอบเงินให้เขาตั้งร้อยตำลึง!
ในเรือนซ้ายของเรือนหยาเหอของสกุลหลี ปิงลวี่เดินเข้ามาอย่างฉุนเฉียว
เฉียวเจาเห็นรอยแดงๆ หลายขีดบนหน้านางก็อดสงสัยไม่ได้ “นี่เกิดอะไรขึ้น”
“ข้าโมโหจะตายอยู่แล้วเจ้าค่ะ ข้าซื้อของอยู่ในร้านขายของชำนอกจวน ได้ยินสตรีสองคนพูดจาส่งเดช ข้าโกรธเหลือจะทนเลยตบตีกับพวกนาง” ปิงลวี่พูดพลางชำเลืองมองเฉียวเจาอย่างระมัดระวัง
ข้าทะเลาะวิวาทกับคนอื่น ไม่รู้ว่าคุณหนูจะมีน้ำโหหรือไม่…
สาวใช้น้อยกำลังรำพึงอยู่ในใจ กลับเห็นผู้เป็นนายกล่าวยิ้มๆ “แล้วนี่แพ้มารึ”
“ไม่ใช่สักหน่อย ข้าแค่โดนข่วนหน้าทีเดียว คุณหนูไม่ได้เห็นสตรีสองคนนั้น พวกนางถูกข้าชกจนหน้าบวมเป็นหัวสุกรเลยเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาโคลงศีรษะยิ้มๆ
ดูทีว่าอีกประเดี๋ยวท่านย่าต้องเรียกนางไปเปิดอกคุยกันในเรือนชิงซงแล้ว
ความคิดนี้เพิ่งผุดขึ้นในหัว ชิงอวิ๋นสาวใช้อาวุโสของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็มาหา “คุณหนูสาม ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญท่านไปพบเจ้าค่ะ”
ระหว่างทางชิงอวิ๋นกระซิบเตือน “มีสตรีสองคนนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ที่หน้าประตูใหญ่จวนเราเจ้าค่ะ สตรีผู้หนึ่งอุ้มเด็ก ส่วนอีกผู้หนึ่งอุ้มสุนัข”
เฉียวเจาชะงักเท้ากึก
สตรีอุ้มลูกมาหาเรื่อง นางเข้าใจได้เป็นอย่างดี แต่ที่อุ้มสุนัขมานี่คือเกิดอะไรขึ้นหรือ