หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 684
บทที่ 684
ดังคำกล่าวว่าราษฎรไม่ต่อสู้กับขุนนาง ชาวบ้านทั่วไปกลัวพบเจ้าหน้าที่ทางการเป็นที่สุด สองครอบครัวนั้นถูกจับกุมแล้ว จึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าพวกเขาจะมาเอะอะอาละวาดภายในช่วงเวลาสั้นๆ
สกุลหลีเป็นครอบครัวที่มีศีลธรรม หากเปลี่ยนเป็นจวนบางจวนคงติดสินบนทางการไปแล้ว สองครอบครัวนั้นคงได้อยู่ในคุกหลวงจนฉลองวันตรุษ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งสลัดความรู้สึกที่สับสนปนเปทิ้งไป นางเอ่ยกับหลิวซื่อ “เจ้ารีบกลับเรือนไปพักผ่อนเถอะ”
นางลุกขึ้นยืนกล่าวพร้อมรอยยิ้มละไม “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
รอหลิวซื่อไปแล้ว หญิงชรามองเฉียวเจาพลางถอนใจเฮือกหนึ่ง “หลานเจา ตกลงเรื่องที่เจ้าบอกว่าท่านอาสะใภ้รองมีครรภ์นั้นแม่นยำหรือไม่กันแน่”
ดวงตาของเฉียวเจาทอประกายวูบหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพูดขึ้นตรงๆ “ข้าลองถามไถ่ท่านอาสะใภ้รองของเจ้า ถ้านับตามวันแล้วตอนนี้ทารกยังไม่ครบเดือน ว่ากันตามหลักเหตุผล ต่อให้ตั้งครรภ์ก็ยังตรวจไม่ออกนะ”
หลิวซื่อจะมีครรภ์ก็ดีหรือไม่ได้ตั้งครรภ์ก็ช่าง นี่เดิมเป็นเรื่องภายในจวนสกุลหลี แต่บัดนี้กลับเล่าลือกันระเบ็งเซ็งแซ่ คนทั้งเมืองหลวงต่างชะเง้อคอยาวรอดูสกุลหลีเป็นตัวตลก นี่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไม่อาจไม่รอบคอบแล้ว
แม้นนางจะเห็นว่าเฉียวเจาไม่มีทางพูดส่งเดช แต่การวินิจฉัยของท่านหมอชราจากโรงหมอเต๋อจี้ทำให้นางไม่สบายใจ เลยแอบตามหมอมาจับชีพจรให้ลูกสะใภ้คนรองอีกหลายคน ผลปรากฏว่าทั้งหมดต่างลงความเห็นแบบเดียวกันคือ หลิวซื่อไม่ได้ตั้งครรภ์ หรือไม่ก็ยังตรวจไม่ออกเพราะเร็วเกินไป
เรื่องมาถึงขั้นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งย่อมไม่ตำหนิโทษเฉียวเจาแน่นอน ในใจของหญิงชรา ต่อให้เด็กผู้หนึ่งทำผิดพลาดแล้วจะมีอันใดเล่า ทว่าเรื่องนี้กลายเป็นหัวข้อสนทนายามว่างในวงน้ำชาของชาวเมืองหลวงก็ชวนให้ขุ่นเคืองใจเหลือเกิน
เฉียวเจานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงกล่าวยิ้มๆ “คนใต้หล้าล้วนกล่าวว่าท่านปู่หลี่สามารถชุบชีวิตคนตายได้ กลับมิได้คิดไปถึงหลักเหตุผลหรอกเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งนิ่งขึงไป จากนั้นยิ้มออกแล้ว
เป็นนางคิดผิดทางเอง แต่ไรมาหลักเหตุผลล้วนใช้กับคนทั่วๆ ไป แต่มิใช่กับหมอเทวดา เจาเจาได้เรียนวิชาแพทย์จากเขา เป็นธรรมดาที่จะมีจุดซึ่งคนทั่วๆ ไปคิดไม่ถึง
“ตกลง ในเมื่อเจ้าพูดอย่างนี้แล้ว ท่านย่าก็วางใจได้” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพลันรู้สึกว่าความอึดอัดกลัดกลุ้มในใจสลายหายไปหมดสิ้น
พอเฉียวเจากลับถึงเรือนซ้ายแล้วเรียกปิงลวี่มาหา
นางก้มหน้างุดอย่างรู้ว่าตนเองก่อปัญหาขึ้นแล้ว เฉียวเจาไม่ทันปริปาก นางก็คุกเข่าลงอย่างสงบเสงี่ยม “คุณหนู ข้าไม่ดีเอง สร้างปัญหาให้ท่านแล้ว”
เฉียวเจามองนางเงียบๆ
ปิงลวี่หายใจไม่ทั่วท้อง “คุณหนู ท่านคงมิใช่ไม่ต้องการข้าแล้วกระมัง”
เฉียวเจายิ้มน้อยๆ “รู้ตัวว่าผิดแล้วหรือ”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
“แล้วผิดตรงไหน”
ปิงลวี่ครุ่นคิดอย่างจริงจัง มีคนนินทาว่าร้ายคุณหนู ข้าชกหน้าคนผู้นั้นจนบวมปูดเป็นหัวสุกร มันก็ไม่ผิดปกติโดยสิ้นเชิงนี่นา
“ยังไม่รู้ว่าตนเองผิดตรงไหนอีกหรือ” พอเห็นสาวใช้น้อยทำหน้าม่อยคอตก เฉียวเจาทั้งฉิวทั้งขัน
“ผิดที่…ผิดที่…” ปิงลวี่หวาดหวั่นสุดใจว่าคิดเหตุผลไม่ออกสักทีจะทำให้ผู้เป็นนายโกรธมากขึ้น นางบังเกิดปฏิภาณวูบหนึ่งกล่าวขึ้น “ผิดที่ไม่ได้ปกปิดฐานะของตนเองให้ดีเจ้าค่ะ! คุณหนูวางใจได้ ถ้ามีคราวหน้าอีก ข้าจะดักตีลับหลัง!”
เฉียวเจานิ่งงันไปชั่วอึดใจแล้วกลั้นยิ้มไม่อยู่ แบบนี้ดูเหมือนก็ทำได้นะ
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วันหลังเจอเรื่องอะไรต้องคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมาให้มากขึ้น หากรู้สึกว่าตนรับผิดชอบผลลัพธ์นั่นได้ไหวก็ทำไปให้เต็มที่ แต่ถ้าสุดท้ายตนเองหมดปัญญาต้องให้คนอื่นช่วยสะสางให้ เช่นนั้นคือเจ้าวู่วามไป เข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
คนกล้าหาญอย่างขาดสติมักถูกคนหัวเราะเยาะ เพราะว่าเขามองข้ามอานุภาพของปัญญาไป
ปิงลวี่พยักหน้าอย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
หลีกวงซูออกจากที่ว่าการด้วยสีหน้าบูดบึ้งแล้วกลับไปคิดบัญชีกับภรรยาที่เรือนจินหรง
“ล้วนเป็นวีรกรรมที่เจ้าก่อไว้ ไปหลงเชื่อคำพูดส่งเดชของเด็กสาวผู้หนึ่ง ทีนี้เป็นอย่างไรล่ะ เรื่องนี้ถูกลือออกไปจนรู้กันทั้งเมืองหลวง ข้ากลายเป็นตัวตลกในสายตาของผู้คนไปแล้ว”
หลีกวงซูกลับมารายงานตัวเพื่อรับตำแหน่งใหม่ที่เมืองหลวงเมื่อปีกลาย แต่เพราะเหตุผลนานัปการส่งผลให้ถูกผัดผ่อนเรื่อยมา จวบจนเซ่าหมิงยวนนำทัพไปออกรบอีกครั้งหนึ่งถึงได้รับแต่งตั้งเป็นราชเลขาธิการฝ่ายซ้ายสังกัดกองงานตำหนักบูรพาในที่สุด
อันที่จริงราชเลขาธิการฝ่ายซ้ายนี้เป็นแค่ตำแหน่งลอยๆ แต่หลีกวงซูกลับยินดีแทบคลั่ง เหตุผลมิใช่อื่นใด เพราะตามธรรมเนียม เจ้าเมืองที่เคยอยู่สำนักราชบัณฑิตคนไหนๆ ก็ตาม เมื่อถูกโยกย้ายกลับเมืองหลวงแล้วได้เปลี่ยนไปอยู่ในสังกัดกองงานตำหนักบูรพา นั่นหมายถึงว่าทางราชสำนักมีความคิดจะส่งเสริมให้ก้าวหน้า
เขาแค่อดทนต่อไปอีกปีสองปีก็จะได้รับแต่งตั้งเป็นเก้าเสนาบดีชั้นต้น* แล้ว
ตอนนี้หัวหน้าสำนักพิธีกรรมโดนฮ่องเต้ปลดออกจากตำแหน่งไปแล้ว เพราะเกิดเรื่องกับคณะทูตซีเจียงไม่หยุดหย่อน ตำแหน่งนี้จึงว่างอยู่ หลีกวงซูตรึกตรองว่าพอถึงตอนนั้น ยังไม่พูดถึงตำแหน่งอื่น อยากเป็นหัวหน้าสำนักพิธีกรรมก็มิใช่ปัญหา
แต่หลีกวงซูคิดไม่ถึงว่าเพิ่งดีอกดีใจได้ไม่นานก็ต้องกลายเป็นตัวตลกยกใหญ่อย่างนี้ ตอนเขาเดินอยู่ในที่ว่าการถูกคนอื่นมองด้วยสายตาแปลกๆ ตลอด ช่างน่าอับอายขายหน้าดีแท้
หลิวซื่อแค่นหัวร่อเสียงหนึ่ง “ข้ากลับไม่รู้ว่าการที่ภรรยาตั้งครรภ์ สามีจะกลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่นไปแล้ว หรือว่าข้าสวมเขาให้ท่านกัน”
“เจ้า…เจ้าถึงกับกล่าวถ้อยคำพรรค์นี้ออกจากปากได้” หลีกวงซูโกรธจนหน้าเขียว นิ้วมือที่ชี้หน้าหลิวซื่อสั่นเทาไม่หยุด “ชั้นต่ำ!”
หลิวซื่อเบะปาก “ข้าย่อมพูดจาพะเน้าพะนอคนไม่เป็นเช่นพวกม้าผอมที่อ่อนหวานหยาดเยิ้มแน่นอน น่าเสียดายนะ ฮูหยินผู้เฒ่ากลับชมชอบสตรีชั้นต่ำอย่างช้า ไม่รู้จักชื่นชมม้าผอมที่ท่านพี่พากลับมา”
“หุบปากซะ!” หลีกวงซูได้ยินหลิวซื่อเอ่ยถึงปิงเหนียงก็รู้สึกเสียดแทงใจเต็มที เขาง้างเท้าจะเตะหลิวซื่อ
จังหวะนี้เองหญิงรับใช้ท่าทางกำยำแข็งแรงนางหนึ่งโผล่ออกมาจากข้างหลังหลิวซื่อ ตะครุบขาที่เตะมาของเขาไว้อย่างมือไวตาไว
“ปล่อยมือนะ!” หลีกวงซูตะโกนพูดด้วยความโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
หญิงรับใช้ปล่อยมือออกอย่างเชื่อฟัง หลีกวงซูจึงเสียหลักล้มหน้าคะมำไป
หลิวซื่อก้มหน้ามองบุรุษที่ล้มกองอยู่แทบเท้า กล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ยังไม่พานายท่านไปที่ห้องหนังสืออีก”
ฮึ ข้ารู้อยู่แล้ว พอบุรุษหมดรักแล้วไม่ว่าเรื่องไหนๆ ก็ทำออกมาได้ เคราะห์ดีที่ข้าเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า
นับแต่นั้นหลีกวงซูมิได้เหยียบย่างเข้าเรือนจินหรงแม้สักก้าวเดียวอีก
หลิวซื่อชอบใจที่ได้อยู่สงบสุข บำรุงครรภ์ของนางไปอย่างสบายอกสบายใจ ทว่าฝ่ายฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกลับเริ่มใจคอไม่ค่อยดี
ตอนหลานเจาจับชีพจรให้ลูกสะใภ้คนรองเป็นเพราะนางคลื่นไส้ ไฉนเวลาผ่านไปเรื่อยๆ อาการแพ้ท้องของนางกลับหายไปแล้วเล่า
“สะใภ้รอง เจ้าไม่รู้สึกพะอืดพะอมอึดอัดบ้างเลยหรือ” พอเห็นหลิวซื่อกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย หญิงชราก็เลียบเคียงถาม
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่รู้สึกไม่สบายตรงไหน กินอะไรก็อร่อย”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยุ่งยากใจมากขึ้น แบบนี้ไม่ถูกต้องนะ ตั้งครรภ์แล้วจะไม่คลื่นไส้ได้อย่างไรกัน
หลิวซื่อเป็นคนคิดอ่านได้ว่องไว แม้ตอนแรกๆ มิได้คิดอะไรมาก แต่มารดาสามีเอ่ยถามหลายครั้ง นางก็แจ่มแจ้งในบัดดล จึงหลุดหัวเราะดังพรืดอย่างห้ามไม่อยู่
“ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านสงสัยว่าเหตุใดข้าไม่อยากอาเจียนกระมัง”
หญิงชราพยักหน้า หาใช่นางคนเดียวที่สงสัย บัดนี้คนทั่วทั้งจวนล้วนพูดคุยซุบซิบกันอยู่ลับหลังแล้ว ยิ่งเป็นการยืนยันความจริงที่ว่าหลานเจาตรวจผิด
“เพราะคุณหนูสามจัดยาต้มให้ข้าดื่มแล้วช่วยให้อยากอาหารและแก้อาการอาเจียนเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นลูกสะใภ้ทำท่าไม่กังวลใจสักนิด ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็ถอนใจเฮือก “นับวันแล้วถ้าตั้งครรภ์ ตอนนี้ก็ต้องตรวจออกแล้ว เชิญหมอมาตรวจอีกทีเถอะ”