หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 689
บทที่ 689
เฉียวเจาชั่งใจเล็กน้อย นางเพียงเคยชินกับการจัดการเรื่องอะไรๆ ด้วยตนเอง ทั้งที่จริงๆ แล้วนางไม่จำเป็นต้องไปที่ร้านบะหมี่สกุลจางเองเลย
เฉินกวงพูดกล่อมต่อ “คุณหนูสาม ท่านยังไม่รู้กระมังว่าหลายวันนี้มีคนมาป้วนเปี้ยนทุกวันที่นอกจวนสกุลหลีของเรามากมาย ล้วนแล้วแต่อยากพบท่าน หากท่านย่างเท้าออกนอกประตูใหญ่ คงถูกคนพวกนั้นรุมล้อมจนกระทั่งจะกลับเข้าเรือนก็ยังไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะไปร้านบะหมี่สกุลจางเลย”
ได้ยินเฉินกวงบอกเรื่องนี้ นางจึงล้มเลิกความคิดแล้วสั่งกำชับ “ทางพี่สะใภ้ของอาจู เจ้าส่งคนจับตาดูไว้สักหน่อย ข้าหวั่นใจว่านางจะกลัวอยู่ในใจแล้วตอนไปถึงร้านขายเต้าหู้จะเผยพิรุธออกมา”
เฉินกวงตบอกรับรอง “คุณหนูสามวางใจเถอะ ข้าช่วย ‘ฝึกซ้อม’ ให้นางได้ขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเจ้าด้วย”
หลังแยกกับเฉินกวง เฉียวเจากลับเข้าห้องแล้วหยิบสร้อยลูกประคำไม้กฤษณาออกมา
ไม้กฤษณาชั้นดีถูกแกะสลักขัดเงาเป็นลูกประคำกลมดิกเรียบลื่นทุกๆ เม็ด เห็นปราดแล้วก็รู้ว่ามีคนใส่ติดกายถ่ายทอดพลังให้มันมาเป็นเวลานาน จะบอกว่าสร้อยลูกประคำเส้นหนึ่งอย่างนี้มีราคาพันชั่งยังน้อยไป
เมื่อแรกที่อู๋เหมยซือไท่มอบสร้อยลูกประคำข้อมือให้ นางนึกว่าเป็นเพราะความผูกพันที่เกิดขึ้นในช่วงที่ได้คลุกคลีกันนั่น แต่ภายหลังนางยิ่งคิดยิ่งรู้สึกไม่ชอบมาพากล
ว่ากันถึงความผูกพัน นางจะเทียบกับองค์หญิงเจินเจินได้เช่นไรกัน อีกทั้งองค์หญิงเจินเจินเคยแสดงความอิจฉาที่นางได้รับสร้อยลูกประคำเส้นนี้มิใช่แค่ครั้งเดียว
“คดีนองเลือดที่อารามซูอิ่ง…สร้อยลูกประคำที่หล่นหาย…แมงมุมพิษประจำถิ่นหลิ่งหนาน...” เฉียวเจาหลุบตาเพ่งมองสร้อยลูกประคำพลางทวนพึมพำเงื่อนงำสำคัญเหล่านี้
หากพูดว่าการลักพาตัวอู๋เหมยซือไท่เกี่ยวข้องกับสร้อยลูกประคำเส้นนี้ เช่นนั้นท่านมอบมันให้นางก็น่าจะอยากให้มันอยู่ในที่ที่ปลอดภัย
ในความคิดของอู๋เหมยซือไท่ กลุ่มคนที่ลงมือกับท่านคงคิดไม่ถึงว่าท่านจะมอบสร้อยลูกประคำไม้กฤษณาให้แก่เด็กสาวที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อกันแม้แต่น้อยนิด
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ เฉียวเจามองสร้อยลูกประคำแล้วโคลงศีรษะยิ้มๆ อย่างห้ามไม่อยู่
นี่เป็นเผือกร้อนลวกมือโดยแท้ แต่นางกลับรับมันมาไว้ในมือไปแล้ว
เช่นนั้นสร้อยลูกประคำเส้นนี้มีความลับใดซ่อนอยู่เล่า
เฉียวเจายกสร้อยลูกประคำขึ้นพินิจดูอย่างละเอียด แต่เพ่งมองจนปวดตาแล้วยังมองเค้าเงื่อนใดไม่ออก นางได้แต่เก็บมันขึ้นอย่างมิดชิด รอข่าวจากทางเฉินกวง
พริบตาเดียวก็เข้าสู่วันที่สอง ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลอยเคลื่อนขึ้นเหนือศีรษะ ช่วงเวลาของการรอคอยดูเหมือนจะยืดยาวเป็นพิเศษ
เฉียวเจาตั้งกระดานหมากแล้วเรียกอาจูมาเดินหมาก
ผ่านไปไม่นานนัก หญิงสาวมองเม็ดหมากดำที่พ่ายแพ้ไม่เป็นท่าแล้วชายตามองสาวใช้แวบหนึ่ง นางโยนเม็ดหมากขาวเป็นมันวาวลงในโถ กล่าวทอดถอนใจว่า “อาจู จิตใจเจ้าว้าวุ่นแล้ว”
ใบหน้าของอาจูซับสีแดงระเรื่อ นางกล่าวอย่างกระดากใจ “ข้าละอายใจนัก เสียทีที่คุณหนูชี้แนะสั่งสอนเจ้าค่ะ”
อาจูฉลาดเฉลียวไม่อวดตน และมีพรสวรรค์ในเชิงหมากอยู่มาก ปกตินายบ่าวสองคนจะผลัดกันรุกผลัดกันรับขับเคี่ยวกันได้นานพักหนึ่ง แต่วันนี้หมากกระดานนี้มิใช่ระดับฝีมือที่แท้จริงเลย
“นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เวลานี้พี่สะใภ้ของเจ้าน่าจะพบกับคนผู้นั้นที่ร้านบะหมี่สกุลจางแล้ว เจ้าจะเป็นห่วงความปลอดภัยของนางก็เป็นธรรมดาของมนุษย์นะ”
อาจูขยับริมฝีปาก แต่สุดท้ายไม่ได้เปล่งเสียงพูด
หลายปีที่ผ่านนี้นางผิดหวังในตัวพี่ชายพี่สะใภ้มานานแล้ว คนที่นางเป็นห่วงคือมารดากับหลานชายสองคน ทว่านางไม่มีหน้าจะบอกกับคุณหนู
เดิมทีนี่เป็นเรื่องที่พี่สะใภ้ก่อขึ้น นางบอกกับคุณหนูก็เท่ากับขอร้องให้คุณหนูช่วยปกป้องคนในครอบครัวตน แล้วนางจะเอ่ยปากออกได้อย่างไร
ไม่นานนักปิงลวี่วิ่งเหยาะๆ เข้ามา “คุณหนู เฉินกวงกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาออกไปพบกับเฉินกวงในศาลาที่อยู่ระหว่างลานเรือนหน้ากับเรือนหลัง
“เป็นอย่างไรบ้าง” พอเห็นเฉินกวงมีสีหน้าเครียดขรึม ในใจนางบังเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีอยู่หลายส่วน
“คนผู้นั้นตายแล้วขอรับ”
“ตายแล้ว?” เฉียวเจาเลิกคิ้วขึ้น
อีกฝ่ายตายไป เบาะแสที่มีอยู่น้อยนิดก็ขาดตอนแล้ว เฉินกวงรู้จุดนี้อย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของเขาแฝงรอยละอายใจ “คุณหนูสาม ข้าทำงานหละหลวมเอง หลังคนผู้นั้นพบกับพี่สะใภ้ของอาจู ข้าปรากฏตัวขึ้นหมายจะจับตัวเขา พวกข้าประมือกัน คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนที่ลงมือกับตนเองได้อย่างอำมหิต ทั้งที่ยังไม่ถึงคราวจนตรอกกลับฆ่าตัวตายแล้วขอรับ”
มาตรว่าเฉียวเจาจะรู้สึกเสียดาย แต่มิได้แสดงออกมาสักนิด นางเอ่ยถามอย่างใจเย็น “เขาปาดคอตายหรือว่า…”
“ไม่ใช่ขอรับ เขากัดฟันที่ซ่อนพิษไว้ฆ่าตัวตาย”
“นักรบพลีชีพ?”
เฉินกวงผงกศีรษะ “น่าจะเป็นนักรบพลีชีพขอรับ”
“วิธีตายนี้เหมือนกับวิธีตายของคนที่ลักพาตัวอู๋เหมยซือไท่ไปในครั้งนั้น” เฉียวเจายิ่งรู้สึกว่าตนคาดเดาไม่ผิด นางเปลี่ยนเป็นถามต่อ “แล้วศพล่ะ”
“ตอนพวกข้าประมือกันเกิดเสียงดังอึกทึกไม่น้อย พวกเจ้าหน้าที่ทางการรุดมาถึงอย่างรวดเร็วมาก ข้าเลยฉวยจังหวะล่าถอยออกมา ตอนนี้ศพน่าจะถูกเจ้าหน้าที่พวกนั้นเอาไป คุณหนูสาม ท่านอยากตรวจสอบศพหรือขอรับ ไม่อย่างนั้นข้าจะหาคนช่วย…”
“ไม่ต้องแล้ว” เฉียวเจาปฏิเสธคำเสนอแนะของเขา “เฉินกวง เจ้าพาคนไปเฝ้าที่เรือนของพี่สะใภ้อาจูตอนนี้เลย”
“ท่านเห็นว่าเขาจะไปที่เรือนของพี่สะใภ้อาจูหรือขอรับ”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “ฝ่ายนั้นต้องมิใช่คนเดียวแน่ แต่เป็นผู้ทรงอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง ตอนนี้เรื่องที่บงการให้พี่สะใภ้อาจูขโมยสร้อยลูกประคำล้มเหลว จะคิดแผนอะไรมาเล่นงานข้าอีกยังบอกได้ยาก แต่คนเหล่านั้นต้องฆ่าปิดปากพี่สะใภ้ของอาจูเป็นการระบายความโกรธแค้นอย่างแน่นอน”
“ได้ ข้าจะไปเตรียมการประเดี๋ยวนี้เลย”
“เฉินกวง หนนี้ระวังหน่อยนะ ต้องจับเป็นกลับมาให้ข้าสักคน”
“คุณหนูสามวางใจได้ ถ้าหนนี้ทำพลาดอีก ข้าจะตัดศีรษะออกมาให้ท่านโยนเล่นต่างลูกแพรปักเลยขอรับ!”
เฉียวเจาชำเลืองมองเขาด้วยสายตาพิกลๆ นางเอ่ยเสียงเรียบว่า “ใช้เตะแทนลูกหนังได้ แต่จะโยนแทนลูกแพรปักน่ะ เจ้าถามความเห็นของท่านแม่ทัพของเจ้าได้นะ”
เฉินกวงทำคอย่นรีบเผ่นออกไป
อาจูคุกเข่าลงกะทันหัน “ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ ข้าขอโขกศีรษะให้ท่าน”
เฉียวเจาหลุบตามองนาง กล่าวทอดถอนใจว่า “อาจู ลุกขึ้นเถอะ อย่าเอะอะก็คุกเข่าสิ”
อาจูลุกขึ้นยืนกุมมือไว้หน้าตัวอย่างเชื่อฟัง
“ข้าขอถามเจ้า หลังผ่านเหตุการณ์นี้ไป เจ้าตั้งใจจะจัดการอย่างไรกับคนในครอบครัว”
อาจูตรึกตรองครู่เดียวก็เอ่ยตอบ “ข้าอยากให้พวกเขาไปจากเมืองหลวงเจ้าค่ะ”
“ไปจากเมืองหลวง? บ้านเกิดของเจ้าน่าจะโดนน้ำท่วมไปแล้วกระมัง พวกเขากลับไปก็ไร้ที่อยู่อาศัย อีกอย่างถ้าข้าเดาไม่ผิด เป็นไปได้มากว่าเขตอิทธิพลของผู้อยู่เบื้องหลังคราวนี้คือแดนใต้ หากญาติพี่น้องของเจ้าไปทางทิศใต้ ถึงเวลาเกรงว่าจะยิ่งตกเป็นเบี้ยล่างนะ”
“คุณหนู จะ…จะให้พวกเขาไปตั้งรกรากที่แดนเหนือได้หรือไม่เจ้าคะ” อาจูกลั้นใจพูดออกมา
คนกลุ่มนั้นอยู่ในเมืองหลวง ครอบครัวของนางก็รั้งอยู่ที่นี่ไม่ได้แน่นอนแล้ว ไม่เช่นนั้นอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ทุกเมื่อ
เฉียวเจาคิดไม่ถึงว่าอาจูจะเอ่ยเสนอขึ้นเช่นนี้ นางใคร่ครวญแล้วพยักหน้ากล่าว “แม้ว่าแดนเหนือจะมีชาวต๋าจื่ออาละวาดก่อกรรมทำเข็ญ แต่สถานการณ์ในขณะนี้ไม่ซับซ้อนยุ่งเหยิงเท่าทางใต้ ไปลงหลักปักฐานที่นั่นเป็นความคิดที่ทำได้ เอาอย่างนี้เถอะ หลังเรื่องนี้จบลง ข้าจะจัดคนพาครอบครัวเจ้าไปส่งที่อำเภอเหออวี๋ ที่นั่นมีเรือนเดิมของสกุลหลีอยู่ ครอบครัวของเจ้าไปที่นั่นก็มีที่พึ่งพิงแล้ว”
“ขอบคุณคุณหนูมากเจ้าค่ะ” อาจูหลั่งน้ำตานองหน้า
เฉียวเจาตบหลังมือนางเบาๆ “อย่าคิดมากเกินไป วันหลังทำงานอย่างสบายใจก็แล้วกัน”
ตะวันคล้อยลงทางทิศประจิม ม่านราตรีคลี่คลุมอย่างรวดเร็ว
เฉียวเจาอ่านตำราอยู่ในห้องหนังสือ แสงเทียนวับๆ แวมๆ ส่งผลให้เงาร่างอ้อนแอ้นของนางที่ทอดทาบอยู่บนหน้าต่างกรุผ้าโปร่งไหววูบวาบตามไปด้วย
ปิงลวี่ที่เฝ้าอยู่ด้านข้างอ้าปากหาวทีหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ ขณะที่สะลึมสะลือเกือบผล็อยหลับไป พลันได้ยินเสียงเคาะหน้าต่างดังขึ้น