หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 690
บทที่ 690
ปิงลวี่ตื่นเต็มตาทันควัน นางหันหน้าไปมองเฉียวเจา “คุณหนู เป็นเฉินกวงมาแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเจาวางตำราลง เอ่ยเสียงเบาว่า “ไปเปิดหน้าต่างเถอะ”
นางเป็นคนสั่งกำชับให้เฉินกวงไปเฝ้าตอรอกระต่าย* ที่เรือนของพี่สะใภ้อาจูเอง ไม่ว่าจะค่ำมืดเพียงไหน ขอแค่คนกลุ่มนั้นไปที่นั่น จะต้องจับเป็นคนหนึ่งแล้วพามาหานางทันทีแม้ว่าจะเป็นกลางดึก นางก็จะรออยู่ในห้องหนังสือ
หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือตามที่เฉียวเจาคาดการณ์ไว้ คนที่จะไปที่เรือนของพี่สะใภ้อาจูฆ่าคนปิดปากจะต้องเลือกเวลากลางดึกถึงจะลงมือสะดวก ฉะนั้นคืนนี้นางไม่คิดจะเข้านอนเร็วแต่แรกอยู่แล้ว
“เจ้าค่ะ” ปิงลวี่ขานรับเบาๆ คำหนึ่งแล้วไปเปิดหน้าต่าง
เฉียวเจาเห็นเช่นนี้ก็ลุกขึ้นเดินไปที่ข้างหน้าต่าง
เมื่อหน้าต่างเปิดออก คนชุดดำคลุมหน้าผู้หนึ่งกระโดดลอดเข้ามาทิ้งตัวลงพื้นอย่างไร้สุ้มเสียงพร้อมกับดึงบานหน้าต่างที่เปิดอยู่ปิดเข้าหากัน
ปิงลวี่นิ่งขึงไปก่อนจะหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน “เจ้าไม่ใช่เฉินกวง! คนมากตัณหา ลิ้มรสกำปั้นข้า…”
คนชุดดำยืนทรงตัวนิ่งแล้วดึงผ้าคลุมหน้าลงเผยให้เห็นดวงหน้าหล่อเหลาคมคาย
ปิงลวี่ต้องดึงหมัดกลับกะทันหันจนเกือบล้มลง นางขยับๆ ปากที่อ้าค้างไว้แล้วพูดติดๆ ขัดๆ “ทะ…ท่านแม่ทัพ…ท่านมาได้อย่างไร…”
เซ่าหมิงยวนมิได้กล่าวตอบนาง เขาสาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปหาเฉียวเจาที่ตะลึงงันอยู่กับที่แล้วยื่นมือไปรวบตัวมาไว้ในอ้อมอกและประทับจูบลงบนริมฝีปากสีชมพูที่เผยออ้าด้วยความตกใจของเด็กสาว
ปิงลวี่เบิ่งตาโตกะทันหัน
ท่านแม่ทัพกำลัง…กำลังลวนลามคุณหนูอยู่!
ไม่ได้ ในฐานะที่เป็นสาวใช้อาวุโสผู้จงรักภักดีและปกป้องเจ้านายผู้หนึ่ง ถึงแม้ข้าจะรู้สึกว่านี่เป็นภาพที่สวยงามยิ่ง แต่ข้าจะให้ท่านแม่ทัพฉวยโอกาสกับคุณหนูเช่นนี้ไม่ได้
สาวใช้น้อยเหลียวมองรอบตัวแล้วคว้าแจกันดอกไม้ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะขาสูงมาแล้วเดินเข้าไป
ประเดี๋ยวก่อน ดูเหมือนคุณหนูโอนอ่อนคล้อยตาม?
อุ๊ย…น่าเขินอายเหลือเกิน ข้าทนดูไม่ได้แล้ว!
ปิงลวี่หมุนกายวิ่งออกไปอย่างลุกลน นางออกนอกประตูไปแล้วถึงพบว่ายังกอดแจกันดอกไม้ใบใหญ่ไว้ในอ้อมแขน จึงรีบย้อนกลับไปวางมันไว้ที่เดิม แต่ยังอดชำเลืองตามองไปด้านในด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ เป็นเหตุให้เท้าสะดุดทีหนึ่งก่อนจะออกวิ่งไปอย่างลุกลี้ลุกลน
ด้านเฉียวเจาชะงักนิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด ปล่อยให้บุรุษที่ยังแฝงกระไอเย็นทั้งสรรพางค์กายจูบนางอย่างหนักหน่วงดูดดื่ม
มือเท้าของนางอ่อนระทวย จำต้องเกาะไหล่ของเขาละม้ายเถาวัลย์พันเกี่ยวชายหนุ่มไว้ ยอมให้เขาตักตวงตามใจชอบ
ผ่านไปนานครู่หนึ่ง เซ่าหมิงยวนถึงผละออกห่างจากนาง เอ่ยเสียงแหบพร่าว่า “เจาเจา ข้ากลับมาแล้ว”
เฉียวเจายกมือลูบแก้มเขา อาศัยแสงเทียนพิศดูบุรุษซึ่งเดิมทีเป็นไปไม่ได้ที่จะปรากฏกายอยู่ที่นี่
เขาเดินทางสมบุกสมบันมาตลอดทางอย่างเห็นได้ชัด ในดวงตามีเส้นเลือดฝอยขึ้นเต็มตาขาว ปลายคางมีไรหนวดขึ้นเขียวครึ้มทั้งแข็งทั้งหยาบ กระทั่งอาภรณ์บนกายก็สกปรกมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่นดิน
กระนั้นความไม่สมบูรณ์พร้อมทั้งหมดนี้ล้วนเทียบมิได้กับความปีติยินดีของนางที่บังเกิดขึ้นจากการปรากฏกายของเขา
ความสุขผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจของนาง หยั่งรากแตกกิ่งใบและผลิดอกบานสะพรั่งดอกแล้วดอกเล่า
“เจาเจา เจ้ายังสบายดีกระมัง” เซ่าหมิงยวนไม่กะพริบตาแม้สักชั่วขณะ สายตาของเขาจ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่คลาดคลา
สตรีผู้นี้ทำให้เขาคิดถึงคะนึงหาทุกเช้าค่ำทุกลมหายใจ วันนี้ได้พบนางอีกครั้งในที่สุด
เมื่อต้องแยกจากกันคราวนี้ เขาถึงรู้ว่าที่แท้ความคิดถึงทำให้หัวใจคนเจ็บปวดนัก เขาเจ็บปวดจนแทบหายใจไม่ออกแล้ว
“ข้าสบายดี ท่านล่ะ กลับมาได้อย่างไร” หลังความดีใจในทีแรกคลายลง เฉียวเจากลับมามีสติดังเก่า นางเอ่ยถามคำถามที่ตนใส่ใจมากที่สุด
เซ่าหมิงยวนกะพริบตาปริบๆ “ข้าแอบกลับมาหาเจ้า”
นางมุ่นคิ้ว “สองทัพสู้รบกันอยู่ ท่านแอบกลับมาได้อย่างไร”
เขายื่นนิ้วมือไปลูบหว่างคิ้วของเด็กสาว ช่วงเวลาที่แยกจากกันสั้นๆ นี้ ปลายนิ้วของเขาหยาบกร้านขึ้นมากกว่าแต่ก่อนอย่างชัดเจน
“อย่าขมวดคิ้ว เจ้าฟังข้าพูดก่อน ขณะนี้ที่แดนเหนือกำลังเตรียมการโจมตีครั้งสุดท้าย ทั้งสองฝ่ายต่างคุมเชิงกันอยู่ อย่างน้อยต้องเจ็ดแปดวันให้หลังถึงจะมีการเปลี่ยนแปลง ข้าถึงสบช่องนี้รุดเดินทางตลอดคืนกลับมา”
เฉียวเจาฟังแล้วยังไม่สบายใจอยู่บ้าง “แต่ท่านออกจากค่ายทหารโดยไม่มีพระราชโองการ ถ้าเกิดถูกคนที่ประสงค์ไม่ดีรู้เข้า นั่นเป็นโทษมหันต์ถึงขั้นตัดศีรษะ…”
เซ่าหมิงยวนก้มหน้าจุมพิตหน้าผากโหนกนูนเนียนเกลี้ยงของนาง “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงข้า แต่อย่าคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย เชื่อข้า ถึงข้าจะหมกมุ่นคิดถึงสตรีที่ข้ารักตลอดเวลา ก็ไม่มีวันเอาชีวิตของเหล่าทหารมาล้อเล่น”
เฉียวเจาถึงมีสีหน้าดีขึ้น นางหมุนกายไปรินน้ำอุ่นถ้วยหนึ่งส่งให้เขาแล้วพูดเอ็ด “ต่อให้มั่นใจเต็มที่ว่าไม่ผิดพลาดเด็ดขาด แต่ในเมื่อรออีกแค่พักหนึ่งก็จะรู้ผลลัพธ์แล้ว ไยต้องด่วนใจร้อนตอนนี้ด้วย”
เซ่าหมิงยวนไม่เอื้อนเอ่ยวาจา เขามองนางอย่างลึกซึ้ง
เฉียวเจาเม้มปากยื่นมือไปสะกิดเขาทีหนึ่ง เอ่ยถามเสียงอ่อนว่า “เป็นอะไรไป”
เขาจับมือนางไว้แล้วกล่าวทอดถอนใจเบาๆ “เจาเจา สามปีก่อนในวันพิธีมงคลของพวกเรา ข้าต้องไปออกรบตามพระราชโองการเลยจากไปโดยไม่อำลา เป็นบทเรียนให้ข้ามากพอแล้ว ครั้งนี้ข้าไม่อยากจากไปโดยไม่อำลาอีก ข้ามาเพื่อกล่าวอำลาเจ้า”
เฉียวเจามีน้ำตาเอ่อซึมขนตาในชั่วอึดใจ จากนั้นเม็ดน้ำตาก็ไหลหยาดลงเม็ดแล้วเม็ดเล่าดุจสายฝน จนหยดต้องหลังฝ่ามือของชายหนุ่ม แต่นางเพียงเปล่งเสียงเรียก “ถิงเฉวียน…”
“เด็กโง่ อย่าร้องไห้” เขาโอบกอดนางไว้ในวงแขนด้วยความรู้สึกผิดเต็มอก
ชั่วชีวิตนี้เขามีสิ่งที่ติดค้างนางมากมายเกินไปแล้ว เขาไม่อยากติดค้างคำอำลากับนางอีก
“ใครร้องไห้กัน ท่านรีบปล่อยมือสิ เมื่อครู่นี้ต่อหน้าปิงลวี่ก็ทำปากว่ามือถึง ไม่รู้จักอายเอาเสียเลย” เฉียวเจายกมือเช็ดน้ำตาออกกลบเกลื่อนที่ควบคุมตนเองไม่อยู่
ชายหนุ่มก้มหน้ากัดติ่งหูนางเบาๆ น้ำเสียงเขาแหบต่ำมาก “สาวใช้ของเจ้ายังจะเอาไปพูดส่งเดชกับคนอื่นหรือไร”
เฉียวเจายกมือหยิกเอวเขาทีหนึ่งแล้วพูดดุ “ถึงจะไม่เอาไปพูดส่งเดชกับคนอื่น แต่ข้าก็อายอยู่ดีนี่ ท่านสำรวมตนสักหน่อย”
เซ่าหมิงยวนหักใจปล่อยมือได้ที่ไหนกัน เขาสวมกอดคนในอ้อมอกแน่นขึ้นพลางพูดกระซิบ “ไม่ปล่อย”
“ท่านยังหัดทำตัวพาลเกเรแล้วหรือ”
ชายหนุ่มเริ่มหัวเราะเบาๆ “ข้าเกเรมากมาโดยตลอด แต่ข้าเกเรกับเจ้าคนเดียวเท่านั้น”
ใจกล้าหน้าหนาและพาลเกเรเป็นเฉินกวงสอนเขาเอง บัดนี้ดูไปเจ้าหนุ่มผู้นั้นเป็นทั้งอาจารย์ทั้งสหายที่ดีของเขาโดยแท้ หากเขาหน้าบางสักหน่อย เกรงว่าตอนนี้ยังคงได้แต่พร่ำเพ้อรำพันด้วยความคิดถึง จะคว้าหญิงในดวงใจมาไว้ในอ้อมแขนเช่นตอนนี้ได้ที่ไหนกัน
“เจาเจา ข้าคิดถึงเจ้า” ชายหนุ่มเอาคางเกยเรือนผมสลวยกลางกระหม่อมนาง กล่าวรำพึงเสียงต่ำๆ
เฉียวเจาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง จากนั้นไม่ขยับเขยื้อนแล้ว
จุมพิตแผ่วเบาแตะลงบนหน้าผากระเรื่อยมาตามปลายคิ้วแล้วไล่ลงมาที่ข้างแก้ม สุดท้ายประกบปิดกลีบปากนุ่มนิ่มของนาง
ริมฝีปากของเขาเย็นเฉียบราวกับยังแฝงกระไอหนาวเย็นจากแดนเหนือ แต่กลับทำให้ความคิดจิตใจของนางเคลิบเคลิ้มมึนเมาประหนึ่งได้ดื่มเมรัยหวานล้ำ
“ท่านพักผ่อนสักครู่เถอะ…” เฉียวเจาเอ่ยเสียงอู้อี้
เขาไม่อาจปกปิดความอ่อนล้าไว้ได้ มันทำให้นางห่วงพะวงไปด้วย
“ไม่พักผ่อนแล้ว ข้าจะกลับไปประเดี๋ยวนี้เลย” เขากอดเอวเด็กสาวในอ้อมแขนแน่นๆ แล้วปล่อยมือออกอย่างฉับไว
เฉียวเจาอึ้งงันไป “จะกลับไปประเดี๋ยวนี้เลยหรือ”
เซ่าหมิงยวนส่งยิ้มให้นางอย่างร่าเริงเบิกบาน “ข้าคำนวณเวลาไว้หมดแล้ว อยู่ที่นี่นานสองเค่อค่อยเร่งรุดกลับไปก็ไม่มีใครรู้ใครเห็น”
“เจ้าคนทึ่ม…” เฉียวเจากัดริมฝีปากแน่น
เขายื่นมือไปลูบริมฝีปากนางเบาๆ พลางกล่าวเสียงนุ่ม “ข้าไปแล้วนะ รอข้ามาอีกทีคราวหน้าจะไม่ปีนกำแพงเด็ดขาด ข้าจะยกขบวนสินสอดทองหมั้นเดินเข้าประตูใหญ่ของเรือนเจ้าอย่างเปิดเผย เจาเจา เจ้าอย่าลืมนะ ตอนข้าอยู่ในคุกหลวง เจ้ารับปากจะแต่งงานกับข้าแล้ว”
“ข้าไม่ลืมหรอก ท่านรีบไปเถอะ หลังกลับไปแล้วรีบพักผ่อนโดยไวนะ”
“อื้อ” เซ่าหมิงยวนจูบเฉียวเจาอีกทีถึงหมุนกายเดินไปทางหน้าต่าง
เพลานี้เองจู่ๆ ก็มีเสียงคนเคาะหน้าต่างดังขึ้น