หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 695
บทที่ 695
สายตาของรุ่ยอ๋องนิ่งขึงไปทันควัน มาตรว่าเขาจะรักษาความเยือกเย็นไว้เต็มที่ แต่ริมฝีปากที่สั่นเทาน้อยๆ ยังคงเผยให้เห็นถึงความตกตะลึงพรึงเพริดของเขา “คุณหนูสามเก่งกาจถึงเพียงนี้หรือ”
หลีเจี่ยวคลี่ยิ้ม “ปีที่แล้วตอนน้องเจาเดินทางออกทะเลตามพระเสาวนีย์ของไทเฮา ก่อนออกจากเมืองหลวงเคยพูดว่ามารดาเลี้ยงของหม่อมฉันจะให้กำเนิดบุตรชายผู้หนึ่ง ท่านอ๋องน่าจะทรงทราบว่าก่อนหน้าไม่นานมารดาเลี้ยงก็คลอดน้องชายให้หม่อมฉันผู้หนึ่งจริงๆ…”
นางเพียงพูดเป็นนัยๆ แต่รุ่ยอ๋องโอนเอนเสียแล้ว
ถ้าคุณหนูสามตรวจออกจริงๆ ว่าทารกในครรภ์สตรีเป็นชายหรือหญิง เช่นนั้นเขาต้องเชิญนางมาตรวจดูแน่!
เด็กผู้นี้…
สายตาซึ่งจับอยู่ที่หน้าท้องหลีเจี่ยวของรุ่ยอ๋องทอประกายลุกโชนสุดจะเปรียบ
สวรรค์โปรดคุ้มครอง จะต้องเป็นโอรสให้ได้
บัดนี้ครบตามเวลาที่หมอเทวดาหลี่กำหนดไว้ เขาเริ่มพยายามได้แล้ว ต่อให้ในครรภ์ของหลีซื่อมิใช่โอรส ในวังมีอนุและนางบำเรอตั้งมากมาย อย่างไรก็ต้องมีคนที่ให้กำเนิดโอรสได้
“เจี่ยวเหนียง เจ้าอดทนรอสักสองสามวัน ตอนนี้คุณหนูสามอ้างว่าป่วยอยู่ วังอ๋องเราจะฝืนใจนางก็ไม่เป็นการดี อีกสองสามวันข้าจะไปเชิญอีกทีนะ”
“เพคะ” หลีเจี่ยวพยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย แต่ในดวงตามีแววยิ้มเยาะจุดวาบขึ้น
นางดูออกแล้วว่าหลีซานไม่มีวันให้เกียรติท่านอ๋อง เช่นนั้นก็ให้ท่านอ๋องโดนปฏิเสธหลายๆ ครั้งเถอะ โดนปฏิเสธบ่อยเข้า จะอารมณ์เย็นเพียงไหนก็ต้องนึกตำหนิต่อว่าต่อขานอีกฝ่ายแน่
รอวันหน้าย่อมต้องมีจังหวะได้คิดบัญชีทีหลังสักวัน ส่วนทารกในครรภ์นาง…
หลีเจี่ยวลูบหน้าท้องอย่างทะนุถนอม
นางร่วมหอกับท่านอ๋องครั้งนั้นครั้งเดียวก็ตั้งครรภ์ แสดงว่าสวรรค์เมตตานาง นางเชื่อว่าในเมื่อฟ้าลิขิตให้นางได้บุตรสมใจในทีเดียว บุตรผู้นี้ต้องเป็นเด็กชายแน่!
เวลาสองสามวันผ่านไปในชั่วพริบตา วังรุ่ยอ๋องส่งคนไปเชิญที่จวนสกุลหลีอีกครั้ง
เพลานี้เฉียวเจากำลังสนทนากับเฉินกวงในศาลา
“วันนี้สกัดคนไว้ได้อีกแล้วหรือ”
“ใช่น่ะสิขอรับ คนพวกนั้นบ้าคลั่งเอาการจริงๆ เล็ดลอดเข้ามาในจวนอย่างน้อยวันละสามเวลา ดีที่ล้วนถูกพวกข้าดักสกัดไว้ได้หมด”
“เห็นทีว่าฝ่ายตรงข้ามทรงอำนาจไม่น้อย”
มีทั้งความมุ่งมั่นทุ่มเทและกำลังคนแบบนี้ ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเห็นเป็นที่ประจักษ์แล้ว
เมื่อปะติดปะต่อเบาะแสที่ได้มาแล้ว คนพวกนั้นน่าจะเป็นกลุ่มอิทธิพลที่หลงเหลืออยู่ของซู่อ๋อง พวกเขารวบรวมไพร่พลสะสมกองกำลังมายี่สิบปี หรือนี่คือเตรียมการจะหวนกลับมาผงาดอีกครั้ง
ถ้าอย่างนั้นสร้อยลูกประคำไม้กฤษณามีประโยชน์อะไรกันแน่ถึงทำให้พวกเขาไม่ลดละความพยายามเช่นนี้เล่า
“คุณหนูสาม ท่านวางใจได้ คนของพวกเราล้วนเฝ้าดูด้านนอกของจวนไว้ และมีจำนวนคนมากพอให้สับเปลี่ยนเวรยามกันสองผลัด ฝ่ายนั้นอย่าได้หมายเล็ดลอดเข้ามาสักคน!”
“ข้ามิได้เป็นห่วงเรื่องนี้” เฉียวเจาคลายยิ้ม นางอดคิดไปถึงเซ่าหมิงยวนไม่ได้
เขาไปออกรบคราวนี้ ทิ้งองครักษ์ไว้เกือบครึ่งหนึ่งให้เฉินกวงสั่งการได้ตามชอบใจ จุดประสงค์ที่เขาทำอย่างนี้นางจะไม่เข้าใจได้เช่นไร
“แต่ท่านอย่าออกนอกเรือนจะดีกว่าขอรับ ถึงแม้มีพวกข้าคอยคุ้มครอง แต่อย่างไรข้างนอกก็ไม่ปลอดภัยเท่าในจวน”
“เจ้าสบายใจได้ ข้าไม่สร้างปัญหาให้พวกเจ้าแน่ ก่อนท่านแม่ทัพของพวกเจ้ากลับมา ข้าจะอยู่แต่ในจวนไม่ไปไหนทั้งนั้น”
ตอนนี้เองชิงอวิ๋นสาวใช้อาวุโสเดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน “คุณหนูสาม วังอ๋องส่งคนมาเชิญท่านอีกแล้ว คนที่มาหนนี้เป็นเสนาธิการของวังอ๋องเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาลุกขึ้นแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “คนที่มามีตำแหน่งใหญ่ขึ้นทุกทีๆ ข้าไปดูสักหน่อยดีกว่า”
เสนาธิการของวังอ๋องเป็นขุนนางลำดับหลักขั้นห้าที่ได้รับการแต่งตั้งโดยราชสำนักอย่างแท้จริง ถึงกับส่งคนในระดับนี้มาเชิญสตรีผู้หนึ่งเช่นนางเชียวหรือนี่ เห็นทีว่าครั้งนี้รุ่ยอ๋องหมายมั่นปั้นมือเต็มที่
ชิงอวิ๋นห้ามนางไว้ “คุณหนูสาม ที่ข้ามามิใช่เชิญท่านออกไป ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้ข้าบอกกล่าวให้ท่านทราบ อย่าพูดคุยอยู่ตรงนี้เลย จะถูกคนนอกพบเห็นได้ง่าย ท่านรีบกลับเข้าห้องเถอะเจ้าคะ”
“ท่านย่า…” กระแสไออุ่นเอ่อท้นขึ้นกลางอกนาง
ยามประสบปัญหามีผู้อาวุโสอยู่ข้างหน้ากางปีกปกป้องเป็นความโชคดีของนางแล้ว
“คุณหนูสาม กลับไปเถอะเจ้าคะ”
นางพยักหน้าแล้วกลับไปยังเรือนหยาเหอทันที
แม้นนางเป็นห่วงว่าท่านย่าจะรับมือคนของวังอ๋องอย่างไร แต่เมื่อท่านย่าให้ความไว้วางใจในตัวนางซึ่งเป็นผู้เยาว์คนหนึ่งเสมอ นางย่อมจะเชื่อมั่นว่าท่านย่าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนจะต้องสะสางเรื่องปวดเศียรเวียนเกล้าพรรค์นี้ได้อย่างเรียบร้อย
เฉียวเจาเพิ่งกลับถึงเรือนได้ไม่นาน คุณหนูสี่หลีเยียนก็มาหา
“พี่เจายุ่งอยู่หรือเปล่าเจ้าคะ ข้าได้ยินว่าช่วงนี้ท่านปักผ้าอยู่ตลอด”
มุมปากของเฉียวเจากระตุกริก นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่ยุ่ง น้องเยียนนั่งสิ”
หลีเยียนมิได้นั่งลง แต่กล่าวด้วยสีหน้าแดงเรื่อน้อยๆ “ถ้าพี่เจาไม่ยุ่ง จะไปดูท่านแม่ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ท่านอาสะใภ้รองเป็นอะไรไปหรือ”
ใบหน้าของหลีเยียนฉายแววกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง “เมื่อครู่ท่านพ่อกับท่านแม่มีปากเสียงกันเล็กน้อย ท่านแม่รู้สึกไม่ค่อยสบาย แต่ท่านบอกว่าไม่ต้องเชิญท่านหมอ ข้าเป็นห่วงสุขภาพของท่าน เลยคิดว่าหากพี่เจาสะดวก…”
“ไปเถอะ ข้าไปดูท่านอาสะใภ้รองสักหน่อย”
เฉียวเจารีบตามหลีเยียนไปที่เรือนจินหรง
หลิวซื่อได้ยินสาวใช้รายงานว่าคุณหนูสามมาหา นางนึกประหลาดใจแต่ก็พยายามลุกขึ้น จังหวะนี้เองสองสาวพี่น้องก็เดินเข้ามาแล้ว
“ท่านแม่ ข้าเชิญพี่เจามาดูท่านเจ้าค่ะ”
หลิวซื่อขึงตาใส่บุตรสาว “ไฉนเจ้าลูกผู้นี้ไม่รู้ความแบบนี้นะ ข้าก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร มันสมควรหรือไม่ที่จะเชิญพี่เจาของเจ้ามาที่นี่”
“ท่านอาสะใภ้รองอย่าตำหนิน้องเยียนเลย ยามนี้ท่านมีครรภ์อยู่ ระวังไว้สักหน่อยเป็นเรื่องถูกต้องเจ้าค่ะ” เฉียวเจาเดินไปที่ข้างกายหลิวซื่อแล้วจับชีพจรให้นาง ครู่หนึ่งต่อมาก็มีรอยยิ้มปรากฏ “ปกติเจ้าค่ะ ร่างกายของท่านอาสะใภ้แข็งแรงดี ขอแค่อย่าให้อารมณ์ปรวนแปรรุนแรงก็ไม่เป็นไร”
หลิวซื่อก็เผยรอยยิ้มปลอดโปร่งโล่งใจตามไปด้วย “ข้าก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร ล้วนเป็นเจ้าลูกผู้นี้ที่วิตกโดยใช่เหตุ”
“น้องเยียนมีความกตัญญูต่อท่านนะเจ้าคะ”
เฉียวเจาคุยสัพเพเหระกับหลิวซื่อครู่หนึ่งถึงลุกขึ้นอำลากลับ
“เยียนเอ๋อร์ ตามไปส่งพี่เจากลับเรือนสิ”
เฉียวเจาโบกมือไปมายิ้มๆ “ท่านอาสะใภ้รองจะเกรงใจไปไย จวนเราทั้งหลังก็มีอาณาบริเวณอยู่เท่านี้ เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว”
หลิวซื่อไม่คะยั้นคะยอตามมารยาทอีก
ใครๆ ล้วนบอกว่าบุญคุณใหญ่หลวงมิอาจเอื้อนเอ่ยคำขอบคุณ นางก็ไม่ถือธรรมเนียมหยุมหยิมพวกนี้แล้ว รอเมื่อคุณหนูสามออกเรือนค่อยสมทบสินเจ้าสาวมากขึ้นถึงจะถูก
เฉียวเจาย่างเท้าออกจากเรือนจินหรงกลับไปที่เรือนหยาเหอ
เรือนสองหลังนี้อยู่ห่างกันไม่ไกล เดินผ่านทางเดินแคบๆ ของสวนดอกไม้ไปก็ถึง
เข้าสู่เดือนสามกลางฤดูใบไม้ผลิแล้ว แม้ว่าสวนดอกไม้ของจวนสกุลหลีจะมีขนาดเล็กๆ แต่มวลพฤกษชาติเริ่มเบ่งบานประชันความสวยงามกันอย่างละลานตา โดยเฉพาะต้นอวี้หลานที่ยืนต้นตระหง่านอยู่ข้างสวนหินยิ่งผลิดอกพราวเต็มต้น
เฉียวเจาที่เหยาะย่างเยื้องกรายอย่างแช่มช้ายังดูเด่นสะดุดตายิ่งกว่าบุปผาบานสะพรั่งทั้งสวน กระทั่งนกกระจอกสองตัวยังเผลอแลมองอย่างลืมตัว จวบจนนางเดินมาใกล้ถึงรีบโผบินหนีไปจนกิ่งไม้สั่นไหวพากลีบดอกไม้ร่วงพรู
นางกลั้นยิ้มไม่อยู่ ขณะอ้อมผ่านสวนหิน ภาพเบื้องหน้านางพลันดับวูบ จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว
ตอนฟื้นสติอีกครา เฉียวเจามิได้ลืมตาขึ้นทันที นางหลับตาตั้งใจฟังเสียงชั่วอึดใจก็มั่นใจว่าตนอยู่บนรถม้าคันหนึ่ง
นี่มันเกิดอะไรขึ้น!
ครั้นทบทวนความทรงจำถึงเหตุการณ์ก่อนหมดสติไปอย่างละเอียด เฉียวเจาก็ปวดศีรษะแทบแตก
ตอนนั้นนางเพิ่งเดินอ้อมผ่านสวนหิน จากนั้นรู้สึกเจ็บตรงท้ายทอยแล้วไม่รู้สึกตัวอีก พูดอีกนัยหนึ่งก็คือนางน่าจะโดนลอบทำร้ายที่นั่น
เช่นนั้นคนที่ลักพาตัวนางเป็นใคร จะเป็นผู้ทรงอำนาจลึกลับที่ยังมิได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงจนบัดนี้กลุ่มนั้น หรือว่ารุ่ยอ๋องที่อับอายจนพาลโกรธที่เชิญนางไปไม่ได้
หากที่น่าแปลกกว่านั้นคือด้านนอกจวนสกุลหลีมีองครักษ์ของเซ่าหมิงยวนเฝ้าอยู่ทั้งสี่ทิศ แล้วนางถูกคนตีสลบพาตัวขึ้นรถม้าได้อย่างไร
ความคิดเหล่านี้แล่นเร็วรี่อยู่ในหัวเฉียวเจา นางฝืนข่มความตื่นกลัวค่อยๆ ลืมตาขึ้น
เมื่อความมืดมิดสะท้อนเข้าคลองจักษุ เฉียวเจาถึงเริ่มแตกตื่น นางยกมือขึ้นคลำใบหน้าถึงพบว่าดวงตาถูกปิดด้วยผ้าดำ
นางจะเอามือแกะผ้าออกก็มีเสียงพูดดังขึ้นในตอนนี้ “เจ้าตื่นแล้วหรือ”