หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 699
บทที่ 699
ครั้นเห็นเฉียวเจาไม่มีปฏิกิริยาใดๆ คนผู้นั้นชักมีดสั้นออกมาหมุนควงในมือแล้วจ่อที่ลำคอขาวผ่องของนางฉับพลัน
“แม่เด็กน้อย ฐานะคู่หมั้นของกวนจวินโหวไม่ได้มีความสำคัญอะไรสักนิดในสายตาของพวกข้า เจ้าอย่าได้หยิ่งผยองนึกว่ามีคนหนุนหลัง” มือของเขาออกแรงกดนิดเดียว บนเรียวคอขาวเนียนนุ่มมีรอยขีดสีแดงปรากฏขึ้นทันควันพร้อมกับโลหิตผุดซึมออกมาอย่างรวดเร็ว
เฉียวเจาหลุบตามองมีดสั้นที่ทอประกายเย็นเยียบ นางแย้มปากยิ้ม
ทีเขาทีเราจริงๆ ก่อนหน้านี้ไม่นานเฉินกวงเพิ่งใช้มีดสั้นแบบนี้กับคนของพวกเขา ตอนนี้พวกเขาก็ทำอย่างเดียวกันกับนาง
ทว่านางจะพูดได้อย่างไรเล่า นางไม่พูด ต่อให้โดนทรมานต่างๆ นานายังรักษาชีวิตไว้ได้ชั่วคราว ไม่แน่ว่าอาจถ่วงเวลาจนเฉินกวงมาช่วยนางได้ แต่ถ้าพูดแล้ว เกรงว่ามีดสั้นเล่มนี้จะมิได้หยุดอยู่ที่คอเพื่อขู่นาง แต่คงเสียบเข้ากลางอกนางไปแล้ว
นางอยากมีชีวิตอยู่
ถึงการมีชีวิตอยู่จะต้องลำบากยากเย็นปานใดก็ยังโชคดีกว่าตายไปเป็นอย่างมาก นางอยากเป็นภรรยาที่แท้จริงของเซ่าหมิงยวนสักที และยังอยากกตัญญูต่อบิดามารดาและผู้อาวุโสในตระกูลแทนหลีเจาที่จากไปแล้วอย่างเต็มที่ จะได้ไม่ผิดต่ออีกฝ่ายที่เหลือร่างกายนี้ไว้ให้นาง
“เจ้ายิ้มอะไร” ปฏิกิริยาของเฉียวเจาทำให้คนทั้งสองประหลาดใจยกใหญ่
“พวกเจ้าไม่ต้องเสียเวลาเปล่า ข้าไม่มีทางบอกหรอกว่าสร้อยลูกประคำอยู่ที่ไหน”
“แม่เด็กน้อยปากแข็งจริงๆ เจ้านึกว่าองครักษ์ที่กวนจวินโหวทิ้งเอาไว้จะตามหาที่นี่พบได้หรือ” น้ำเสียงของคนหนึ่งในนั้นห้วนกระด้างมากขึ้น เขามองเฉียวเจาพร้อมกับหัวเราะเยาะ “คุณหนูหลี ข้าขอบอกกับเจ้าตามตรงก็ได้ จะหวังให้องครักษ์ของกวนจวินโหวสืบสาวไปถึงตัวท่านอารองของเจ้าแล้วแกะรอยตามมาถึงที่นี่ช่วยเจ้าออกไปล่ะก็ เป็นไปไม่ได้หรอก”
เฉียวเจาแย้มยิ้มอ่อนหวาน “ท่านอารองของข้าตายแล้ว ถูกหรือไม่”
พวกเขาอึ้งงันไปอีกครา
“เช่นนั้นก็ขอบใจพวกเจ้าด้วยนะที่ช่วยล้างแค้นแทนข้าแล้ว” เฉียวเจาพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หลีกวงซูถูกกลุ่มอำนาจที่เหลืออยู่ของซู่อ๋องในหลิ่งหนานดึงตัวไปเข้าฝ่ายเดียวกันมานานแล้ว หนนี้เขากลับมาเมืองหลวงพร้อมกับภารกิจแต่แรก
ชั่วขณะที่รู้ว่าตนถูกลักพาตัว เฉียวเจาก็แน่ใจว่าการคาดเดานี้ถูกต้อง
พรรคพวกกบฏที่เหลือรอดอยู่ของซู่อ๋องจะก่อการใดในเมืองหลวงย่อมต้องระวังรอบคอบมากที่สุด ส่วนหลีกวงซูมิใช่บุตรชายคนโตผู้สืบสกุลหลี พวกนั้นเพียงดึงคนที่อยู่รอบตัวของเป้าหมายมาเข้าฝ่ายเดียวกัน หลังหมดประโยชน์ก็สังหารปิดปาก นี่เป็นเรื่องที่สุดแสนจะธรรมดาสามัญ
“คุณหนูหลี เคยมีคนบอกเจ้าหรือไม่ว่าสตรีที่ฉลาดเกินไปไม่น่ารักเลยนะ”
เฉียวเจาเม้มปากไม่พูดจา
“เห็นทีว่าคุณหนูหลีเป็นพวกที่พูดดีๆ ไม่ชอบ ชอบให้ใช้กำลังซะแล้ว”
“จะเปลืองน้ำลายกับนางไปด้วยเหตุใด เอาตัวไปทรมานก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที” อีกคนหนึ่งหยิบเชือกออกมา เขากระชากเฉียวเจามาแล้วมัดข้อมือแขวนไว้กับขื่อห้อง
เฉียวเจามีแค่ปลายนิ้วเท้าที่แตะถึงพื้นห้องได้ พาความรู้สึกเจ็บตึงแล่นปราดมาจากบริเวณข้อมือในฉับพลัน
แส้เส้นหนึ่งสะบัดฟาดใส่ตัวเด็กสาวกะทันหัน ร่างกายเล็กๆ ของนางแกว่งไกวไปมาละม้ายใบไม้ต้องแรงลม
เฉียวเจากัดริมฝีปากล่างไว้สุดแรงไม่ส่งเสียงสักแอะ
“ใจเด็ดจริงๆ ข้าจะดูว่าเจ้าจะทนไปได้สักกี่น้ำ!” คนผู้นั้นทำหน้าเย็นชา เงื้อแส้ในมือเฆี่ยนอีกหลายทีจนชุดกระโปรงของเฉียวเจาฉีกขาดในเวลาอันรวดเร็ว
เฉียวเจาเจ็บปวดเหลือทน อยากงอตัวเข้าหากันก็ทำไม่ได้ น้ำตาไหลออกมาทางหางตาของนางอย่างควบคุมไม่อยู่
“คุณหนูหลี เจ้าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์บอบบางน่าทะนุถนอมผู้หนึ่งจะทำปากแข็งถึงเพียงนี้ไปด้วยเหตุใด เจ้าบอกที่ซ่อนของสร้อยลูกประคำกับพวกข้า พวกข้าก็ไม่ให้เจ้าต้องเจ็บตัว แบบนี้ไม่ดีหรือ”
เฉียวเจากัดริมฝีปากพลางแค่นเสียงเยาะ “เจ้าเป็นนักรบพลีชีพที่ขายชีวิตรับใช้ผู้อื่นคนหนึ่ง จะพูดพล่ามขนาดนี้ไปเพื่ออะไร สงบปากสงบคำเฆี่ยนตีทรมานไป แบบนี้ไม่ดีหรือ”
“ดีมาก” คนผู้นั้นโยนแส้ทิ้งแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะใช้มีดสั้นในมือกรีดอาภรณ์ของนางตามรอยแหว่งวิ่นจากการโดนแส้ฟาด ตัดแขนเสื้อขาดออกชิ้นหนึ่งเผยให้เห็นท่อนแขนขาวกระจ่างของเด็กสาว
มีดสั้นเย็นเฉียบแตะลงบนผิวกายของนางชวนให้หนาวยะเยือก
เสียงหัวเราะของบุรุษดังขึ้น “คุณหนูหลีมีผิวพรรณงามไปทั้งเนื้อทั้งตัวเลยนะ”
ร่างของเฉียวเจาสั่นสะท้านอย่างสุดระงับ นางหลับตาลง
ชั่วขณะนี้ราวกับว่านางถูกคนผลักขึ้นไปบนกำแพงเมืองสูงลิบแห่งนั้นรอให้คนฆ่าแกงได้ตามใจอีกคราครั้งหนึ่ง
เซ่าหมิงยวน ไฉนท่านยังไม่มาช่วยข้า ข้าเจ็บเหลือเกิน…
สุ้มเสียงของบุรุษดังขึ้นริมใบหู “คุณหนูหลี เจ้าว่าถ้าพวกเขาได้ชมดูเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นของเจ้าทุกสัดส่วนแล้ว กวนจวินโหวยังจะแต่งงานกับเจ้าอีกหรือไม่นะ”
เฉียวเจาหลับตาไม่กล่าวตอบ
“เจ้าพูดสิ” คนผู้นั้นจับปลายคางของเฉียวเจาไว้บังคับให้นางลืมตาขึ้น
ดวงตาของเด็กสาวเป็นสีดำสนิทดุจบึงน้ำลึก ดูคล้ายสงบนิ่งแต่ยังแฝงไว้ด้วยไฟโทสะคุกรุ่นอยู่ลึกๆ ทั้งที่ดูอ่อนแอเปราะบางราวกับแตกหักได้แสนง่ายดาย กลับทำให้คนสองคนที่เค้นปากคำนางอยู่รู้สึกได้อย่างแจ่มชัดว่าสตรีตรงหน้าคือม้าพยศที่ยากจะปราบให้เชื่องได้ตัวหนึ่ง
ยากจะปราบให้เชื่อง? เขากลับอยากดูนักว่าสตรีนางหนึ่งจะถูกปราบให้เชื่องได้ยากเย็นเช่นไร!
คนผู้นั้นโยนมีดสั้นทิ้ง ยื่นมือไปฉีกกระโปรงของเฉียวเจาขาดออกครึ่งหนึ่ง
“หรือว่าถ้าพวกข้าเป็นเจ้าบ่าวแทนกวนจวินโหวสักครั้งหนึ่งเล่า”
แพขนตาของเฉียวเจาสั่นระริก นางลืมตาขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เขาต้องแก้แค้นแทนข้า”
“ฮ่าๆๆ แม่เด็กน้อยช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน คู่หมั้นที่ถูกคนอื่นย่ำยีไปแล้ว ต่อให้เขาแก้แค้นให้เจ้า แล้วเจ้าล่ะจะมีบทลงเอยอย่างไร ยังสามารถครองคู่อยู่กินกับกวนจวินโหวได้อีกหรือ”
เฉียวเจาเดาะลิ้นเบาๆ ทีหนึ่ง “พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรหยั่งเดาความคิดของเขา เขาสละเลือดสู้รบอยู่ที่แดนเหนือ ปกปักรักษาแผ่นดินให้ราษฎรต้าเหลียง ส่วนพวกเจ้าทำอะไรกันอยู่ พวกเจ้ากำลังพยายามจะย่ำยีคู่หมั้นของเขา!”
ความคับแค้นพลุ่งขึ้นจากส่วนลึกในใจเฉียวเจาระลอกหนึ่ง พาให้ดวงตาของนางทอประกายวาววับเป็นพิเศษ “ทีแรกข้านึกว่าพวกเจ้าเป็นนักรบพลีชีพ แต่บัดนี้ดูไปแล้วข้าผิดถนัด พฤติกรรมของพวกเจ้าไม่คู่ควรกับคำว่า ‘นักรบ’ สักนิด ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับพวกเจ้า เพียงเพราะว่าข้าเป็นมนุษย์ ขณะที่พวกเจ้าเป็นเดรัจฉาน! เอาเลยสิ ก็แค่เนื้อหนังมังสาที่ไม่เที่ยงแท้ ข้ายังทนได้ไหว!”
“ฝีปากคมคายจริงๆ ใกล้ตายรอมร่อยังปากแข็ง วันนี้ข้าจะดูว่าเจ้าทนไหวหรือไม่” คนผู้นั้นยื่นมือไปจะดึงสายรัดเอวของเฉียวเจา แต่ถูกพรรคพวกเดียวกันห้ามไว้
เขาส่งสายตาเป็นเชิงถาม อีกคนหนึ่งกล่าวว่า “แค่เด็กสาวผู้หนึ่ง อยากจะเค้นเอาคำตอบยังมีวิธีอื่นถมเถไป ไยต้องใช้วิธีต่ำช้าที่สุดพรรค์นี้ด้วย ข้าเองดีกว่า”
เฉียวเจามองดูอีกคนหนึ่งที่เดินมาใกล้ๆ
คนผู้นั้นใช้มีดสั้นตัดเชือกขาด
เฉียวเจาล้มทรุดลงนั่งกับพื้นจนกระเทือนถูกรอยแส้บนตัว นางเปล่งเสียงร้องในลำคอเบาๆ คำหนึ่ง
คนผู้นั้นหยักยิ้ม “คุณหนูหลี ท่านรู้หรือไม่ว่าเอาเข็มแทงเข้าไปในเล็บเป็นความรู้สึกเช่นไร”
เฉียวเจาไม่เอื้อนเอ่ยคำใด นิ่งเฉยมองดูคนผู้นั้นล้วงเข็มออกมาเล่มหนึ่งแล้วนั่งยองๆ ลงข้างกายนาง
“เวลาเข็มแทงเข้าเล็บแบบนี้ บุรุษส่วนใหญ่ยังทนไม่ไหวเลย ก็ไม่รู้ว่าคุณหนูหลีจะทนรับได้ไหวหรือไม่” คนผู้นั้นดึงมือของเฉียวเจาไปจับไว้ หมุนเข็มในมือแล้วแทงเข้าไปในเล็บของนางช้าๆ
“อือ…” เฉียวเจากัดริมฝีปากล่างไว้เต็มแรง นางสั่นเทิ้มไปทั้งสรรพางค์กายอย่างรุนแรง เหงื่อเย็นหลั่งไหลหยาดหยดดุจสายฝน
เซ่าหมิงยวน ความจริงข้าเริ่มกลัวแล้ว ข้ากลัวว่าวันหลังมือของข้าจะเขียนอักษร วาดภาพ ดีดพิณ เดินหมากไม่ได้แล้ว
เซ่าหมิงยวน ท่านกอดข้าที ข้าคิดถึงท่านแล้ว..
ท่ามกลางสติที่พร่าเลือน เฉียวเจาเห็นประตูห้องที่ปิดสนิทถูกถีบเปิดผลัวะออกพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่งกรูเข้ามา
“หยุดนะ!” สุ้มเสียงเดือดดาลของบุรุษดังลอยมากระทบหู คนที่ลงทัณฑ์ทรมานนางอยู่ถูกถีบทีเดียวกระเด็นออกไปไกล