หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 70
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียกวาดสายตาไปทั่วร่างเซ่าหมิงยวนรอบหนึ่งแล้วลอบถอนหายใจโล่งอก
ชายหนุ่มแสดงคำนับต่อนาง
หญิงชราถึงมองเห็นผ้าเช็ดหน้าที่สอดไว้ตรงไหล่เสื้อเขาผืนนั้น นางหน้าเสียเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านโหวได้รับบาดเจ็บแล้วหรือ”
หากมีข่าวลือออกไปว่ากวนจวินโหวได้รับบาดเจ็บที่นี่ เช่นนั้นจวนเสนาบดีโค่วก็ต้องโดนครหาแล้ว
ผู้คนใต้หล้าเพียงอยากเห็นวีรบุรุษพลีตนเพื่อความเที่ยงธรรม ไหนเลยจะเคยอยากเห็นญาติพี่น้องของวีรบุรุษกล้ำกลืนฝืนทนเล่า เซ่าหมิงยวนยิงธนูดอกเดียวสังหารเจาเจาตายได้ แต่เฉียวโม่จะยกกระบี่จ่อไปที่เซ่าหมิงยวนไม่ได้เป็นอันขาด
“ท่านยายโปรดวางใจ ข้าไม่เป็นไรขอรับ”
“ล้วนเป็นความวู่วามของเฉียวโม่ หวังว่าท่านโหวจะอภัยให้ด้วย”
“พี่เฉียวโม่ต่างหากขอรับที่ใจคอกว้างขวาง ไม่ถือสาหาความข้า”
“ท่านโหวใส่ยาจะดีกว่านะ แล้วก็อยู่กินอาหารที่นี่แล้วค่อยกลับเถอะ”
ยามอยู่เบื้องหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเซวีย เซ่าหมิงยวนค้อมศีรษะด้วยท่าทีเคารพอ่อนน้อมตลอดเวลา “ท่านยายไม่ต้องเป็นห่วง แค่บาดแผลเล็กๆ เลือดหยุดไหลแต่แรกแล้ว ข้ายังมีธุระอื่น ไม่ขอรบกวนขอรับ”
ตอนอยู่ในโถงเรือนมีคนอื่นอยู่หลังฉากกั้น ย่อมไม่อาจรอดพ้นหูของเขาไปได้เป็นธรรมดา
แม้เขาเชื่อถือในความซื่อสัตย์สุจริตของจวนเสนาบดีโค่ว อีกทั้งคุณหนูในตระกูลไม่มีทางกระทำอะไรที่ผิดมารยาท ทว่าเขาอยากจะตัดปัญหาทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ต้นลมมากกว่า
ครั้นเห็นเซ่าหมิงยวนยืนกราน ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียจึงได้แต่ตามใจเขา
อีกด้านหนึ่ง เหมาซื่อฟังคำรายงานของสาวใช้แล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบคำหนึ่ง นางกล่าวอย่างสนใจครามครัน “คุณชายเฉียวทำร้ายท่านโหว แต่ท่านโหวไม่ถือโทษสักนิดหรือ”
สาวใช้พยักหน้าหงึกหงัก “เจ้าค่ะ ไม่เพียงไม่ถือโทษเท่านั้น ข้าดูท่าทางท่านโหวแล้วถึงถูกตีก็ไม่ตอบโต้ ถูกด่าก็ไม่ปริปากเลยทีเดียวเชียวนะเจ้าคะ”
เหมาซื่อหลุบตาลง หมุนคลึงกำไลหยกตรงข้อมือพลางเอ่ยพึมพำ “พูดเช่นนี้แสดงว่าท่านโหวรู้สึกผิดต่อคุณชายเฉียวอย่างมากสินะ”
มิใช่คนเลือดเย็นแล้งน้ำใจ อย่างนั้นก็ยิ่งไร้ที่ติ ขอแค่ไม่ส่งลูกสะใภ้ไปแดนเหนือเหมือนพวกอับปัญญาเฉกจวนจิ้งอันโหว จนส่งผลให้เกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้นในตอนท้าย กวนจวินโหวไม่น่าจะละเลยทอดทิ้งภรรยาของตนเอง
“ไปเรียกคุณหนูใหญ่มา” เหมาซื่อตรึกตรองจบแล้วเอ่ยสั่งสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง
สาวใช้ออกไปครู่หนึ่งก็ย้อนกลับมารายงานว่า “ฮูหยิน คุณหนูใหญ่ไม่อยู่ในเรือน คุณหนูรองบอกว่าคุณหนูใหญ่ไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ด้านหลังเจ้าค่ะ”
เดินเล่นที่สวนดอกไม้ด้านหลัง?
เหมาซื่อหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย นางขึ้นเสียง “ไปตามหาที่สวนดอกไม้ด้านหลังสิ!”
เจ้าลูกผู้นี้ ชอบทำให้เหนื่อยใจอยู่ร่ำไป ไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้อะไรกัน ต้องไปหาเฉียวโม่เป็นแน่!
ในเรือนทิงเฟิง เฉียวหว่านสะลึมสะลือตื่นขึ้น
“พี่ใหญ่?” ดรุณีน้อยผุดลุกขึ้นอย่างคล่องแคล่ว มองไปรอบตัวอย่างงุนงง “คนเลวผู้นั้นล่ะเจ้าคะ”
เฉียวโม่ยื่นมือไปลูบศีรษะนาง “พี่ใหญ่เคยบอกแล้วว่าวันหน้าห้ามเรียกเช่นนี้อีก”
“แต่เขาฆ่าพี่เจานะเจ้าคะ ข้าไม่อยากเรียกเขาว่าพี่เขยเสียหน่อย” เด็กหญิงเริ่มคับใจ
ถึงนางกับพี่สาวไม่ได้อยู่ด้วยกันมากนัก แต่ทุกคราที่พี่เจาเข้าเมืองหลวงจะนำของเล่นสนุกๆ ของจยาเฟิงมาฝากนางบ่อยๆ อีกทั้งยังจับมือนางสอนวาดภาพเป็ด พี่เจายังดีดพิณได้ไพเราะ และเป่าซวิน* เป็น…
พี่สาวที่ดีอย่างนี้กลับถูกเจ้าคนตัวโตนั่นสังหารไปแล้ว เขาต้องเป็นคนเลวมากที่สุดอย่างแน่นอน
ดรุณีน้อยเงยหน้าขึ้น นางกระตุกแขนเสื้อพี่ชายด้วยสีหน้าลำพองใจ “พี่ใหญ่ คนเลวผู้นั้นไม่เห็นจะเก่งกาจอย่างที่พวกท่านพูดเลย เมื่อครู่นี้ข้าต่อยเขาทีเดียวก็เลือดออกแล้ว”
เฉียวโม่มองน้องสาวคนเล็กอย่างจนปัญญา แต่ในใจไพล่ไปคิดถึงน้องสาวคนโต
น้องสาวคนโตฉลาดเกินวัยตั้งแต่เด็กต่างจากน้องสาวคนเล็กที่ร่าเริงไร้เดียงสา ยามประสบกับเรื่องที่เด็กสาวทั่วไปล้วนตกใจทำอะไรไม่ถูก นางมักสุขุมเยือกเย็นเสมอ ประหนึ่งไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อาจทำให้นางแตกตื่นได้ แต่บางครั้งบางครายามอยู่กับคนในครอบครัวเช่นพวกเขา ก็จะเผยด้านที่ซุกซนออกมาให้เห็นเช่นกัน
ครั้งหนึ่งที่นางเข้าเมืองหลวง นางเลียนแบบลายมือท่านปู่เขียนสารฉบับหนึ่งหลอกเขาไปที่วัดต้าฝู แม้เขาจะดูออกว่าเป็นลายมือน้องสาวคนโต แต่ยังคงไปที่นั่นด้วยหักใจเห็นนางผิดหวังไม่ได้
จนบัดนี้หวนประหวัดถึงสิ่งที่พบเจอในวันนั้น คุณชายเฉียวยังหวาดผวาไม่หาย
ปกติเขาจะวางตัวสุภาพห่างเหินกับสตรีอย่างพอเหมาะพอสม จึงไม่รู้สึกว่ามีอันใด แต่หลังเหตุการณ์วันนั้นแล้วถึงกระจ่างแจ้งว่าที่แท้สตรีผู้หนึ่งไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือสตรีโขยงหนึ่ง!
เขาหนีตาลีตาเหลือกจนรองเท้าแทบหลุด ถูกน้องสาวคนโตที่แอบอยู่ใกล้ๆ รอดูเรื่องสนุกหัวเราะเยาะอยู่เป็นเวลานาน
เฉียวโม่ละม้ายเห็นภาพเด็กสาวเจ้าปัญญาหาผู้ใดเทียบเคียงได้ผู้นั้นส่งยิ้มน้อยๆ ให้เขาอย่างซุกซน มุมปากก็โค้งขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
เฉียวหว่านมองตาค้าง นางยกมือโบกไปโบกมาตรงหน้าพี่ชาย กล่าวอย่างแสนซื่อ “พี่ใหญ่ ท่านยิ้มแล้ว”
นับแต่ครอบครัวประสบเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ นางไม่เคยเห็นรอยยิ้มของพี่ใหญ่อีกเลย โดยเฉพาะวันที่ได้รับข่าวการตายของพี่เจา นางแอบเห็นพี่ใหญ่นั่งเงียบๆ อยู่ทั้งคืนไม่ยอมแตะต้องอาหาร
“พี่ใหญ่ ท่านคิดถึงพี่เจาแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ทุกคราที่พี่เจาเข้าเมืองหลวง พี่ใหญ่จะมีรอยยิ้มมากกว่าปกติ
บางครั้งนางจะนึกอิจฉาน้อยๆ แต่นางรู้ว่าพี่เจากับพี่ใหญ่ต่างหากที่เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน อายุไล่เลี่ยกัน และเข้าใจอะไรต่อมิอะไรได้มากกว่านาง
เฉียวโม่ดึงความคิดคืนมา ยกมือลูบผมนุ่มๆ ของน้องสาวคนเล็ก กล่าวรำพึงเบาๆ “ใช่แล้ว”
เขาคิดถึงน้องเจา คิดถึงบิดามารดาและญาติพี่น้อง คิดถึงเรือนที่ไม่อาจกลับไปได้อีกแล้ว
เฉียวหว่านอิงแอบข้างกายพี่ชาย กล่าวอย่างทอดถอนใจ “ข้าก็คิดถึงพี่เจาเจ้าค่ะ”
จวนเสนาบดีจะดีปานใดก็มิใช่เรือนของทั้งสอง
“ญาติผู้พี่…” ยามนี้เองเสียงหญิงสาวดังขึ้นนอกห้อง
เฉียวโม่จูงมือเฉียวหว่านเดินออกไป
โค่วจื่อโม่ยืนทำหน้ากระวนกระวายใจอยู่ในลานเรือน
เฉียวโม่ก้าวลงบันไดไปหยุดยืนนิ่ง เอ่ยอย่างสุภาพนุ่มนวล “ญาติผู้น้องมาหาข้าด้วยเรื่องใดหรือ”
ใบหน้าซีกซ้ายของเขาเป็นแผลไฟไหม้ น่ากลัวมากพอจะทำให้ใจเสาะกรีดร้องด้วยความตกใจ แต่เขายืนอยู่กลางลานโล่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่รู้สึกรู้สาที่เสียโฉมแม้แต่น้อย
สายตาของโค่วจื่อโม่ทอแววอ่อนโยนเฉกเดียวกัน ปราศจากร่องรอยผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น ชั่วพริบตาที่นางเห็นเฉียวโม่ สีหน้ากระวนกระวายแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนละมุนลง “ข้าได้ยินว่ากวนจวินโหวมาพบท่านก็เลยมาดูสักหน่อยเจ้าค่ะ”
วาจาของหญิงสาวแฝงความห่วงใย ยามที่กล่าวออกมา ใบหูของนางแดงเรื่อๆ ทว่าสีหน้าเป็นปกติ
“ท่านโหวกลับไปแล้ว ไม่มีเรื่องอะไร”
“อย่างนั้นก็ดีแล้ว ข้ากลับก่อนนะเจ้าคะ” โค่วจื่อโม่ยื่นมือไปหาเฉียวหว่าน “น้องหว่าน พี่ชิงหลันหาลายปักหลายแบบมาให้ข้า เจ้าอยากไปดูหรือไม่”
“ไปเจ้าค่ะ” เฉียวหว่านปล่อยมือเฉียวโม่ “พี่ใหญ่ ข้าไปที่เรือนพี่จื่อโม่นะเจ้าคะ”
“ไปเถอะ อย่าลืมนอนพักกลางวันด้วยนะ” เฉียวโม่พูดกำชับเสียงนุ่ม
มาตรว่าเขากับเฉียวหว่านจะเป็นพี่น้องกัน แต่พำนักอยู่เรือนเดียวกันยังคงไม่เหมาะไม่ควรอยู่ดี ด้วยเหตุนี้น้องสาวของเขาจึงแยกไปอยู่อีกเรือนหนึ่ง
เฉียวหว่านโบกมือให้เฉียวโม่แล้วตามโค่วจื่อโม่กลับไปยังที่พำนักของตน ทั้งคู่เพิ่งก้าวผ่านประตู ก็เห็นเหมาซื่อรออยู่ข้างใน
“ท่านแม่ ท่านมาได้อย่างไรเจ้าคะ” โค่วจื่อโม่แปลกใจอยู่บ้าง
เหมาซื่อตวัดสายตามองเฉียวหว่านก่อนเอ่ยกับโค่วชิงหลันที่ขยิบตาให้โค่วจื่อโม่อยู่ “ชิงหลัน พาน้องหว่านไปเล่นในสวนดอกไม้”
โค่วชิงหลันทำสีหน้าเป็นเชิงบอกพี่สาวว่าสุดปัญญาจะช่วยได้แล้วยื่นมือไปหาเฉียวหว่าน “น้องหว่าน ตามพี่ชิงหลันไปเล่นที่สวนดอกไม้กันเถอะ ตอนนี้มีผีเสื้อแล้ว พวกเราไปจับกันดีหรือไม่”
เฉียวหว่านส่งมือไปให้เงียบๆ เอ่ยตอบเสียงค่อย “ดีเจ้าค่ะ”
ถึงรู้สึกไม่ดี ไม่ชอบใจ แต่ไม่ไปได้หรือ
ดรุณีน้อยที่ตามโค่วชิงหลันออกไปอย่างว่าง่ายคิดอย่างทุกข์ใจ
หากเรือนยังอยู่ก็คงดี
รอเมื่อในห้องไม่มีคนนอกแล้ว เหมาซื่อมองบุตรสาวพลางถาม “จื่อโม่ เจ้าไปเรือนทิงเฟิงอีกแล้วหรือ”
* ซวิน เป็นเครื่องเป่าเก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของจีน มีประวัติศาสตร์ยาวนานเจ็ดพันปี ทรงกลมป้อมๆ มี 6-9 รู โดยมากจะทำจากหินหรือกระดูกสัตว์ ภายหลังพัฒนาขึ้นทำด้วยดินเผา