หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 706
บทที่ 706
ในเรือนอุ่น ปิงลวี่กำลังปรนนิบัติเฉียวเจาให้กินโจ๊กอยู่ พอได้ยินเสียง นางก็มองไปทางหน้าประตู
เมื่อเห็นเซ่าหมิงยวน ดวงตาของเด็กสาวเผยแววปีติยินดี
ชายหนุ่มสาวเท้าเร็วรี่ไปตรงข้างกายนาง ขอชามโจ๊กจากมือปิงลวี่ “มา ข้าเอง”
ปิงลวี่หันไปมองเฉียวเจา เห็นนางไม่คัดค้านก็ส่งชามให้เขา จากนั้นถอยไปยืนหน้าประตูอย่างรู้กาลเทศะ
อืม ดูต้นทางให้คุณหนูกับท่านเขยดีกว่า ถ้าเกิดมีคนมาจะได้บอกให้รู้ทันที
“ยังเจ็บหรือไม่” เซ่าหมิงยวนพิศดูนางอย่างเอาจริงเอาจัง เห็นใบหน้านางยังปราศจากสีเลือดก็อดปวดใจไม่ได้ เขาอยากรวบตัวนางมากอดไว้กับอกปลอบขวัญให้เต็มที่ใจจะขาด แต่ครั้นคิดถึงว่าข้างนอกยังมีท่านพ่อตาจับจ้องอยู่อย่างไม่ให้คลาดสายตา เขาจึงจำต้องล้มเลิกความคิดใจกล้าบ้าบิ่นนี้
หากได้แต่งเจาเจาเข้าเรือนโดยไวก็คงดี เช่นนั้นก็ไม่ต้องแยแสสายตาของใครคนใด
เขาคิดถึงตรงนี้แล้วทอดถอนใจอย่างสุดระงับ
“เจ็บ” เฉียวเจาตอบตามสัตย์จริง
เซ่าหมิงยวนก้มหน้าไปจูบหลังฝ่ามือนางอย่างห้ามใจไม่อยู่ “ใส่ยาแล้วใช่หรือไม่”
“ใส่ยาแล้ว ยังเป็นยาขี้ผึ้งที่ก่อนหน้านี้ข้าปรุงขึ้นเป็นพิเศษด้วย อีกไม่กี่วันน่าจะหายดีได้ ดังนั้นท่านไม่เป็นห่วงแล้ว”
“กินโจ๊กก่อนเถอะ” เขาตักโจ๊กคำหนึ่งไปรอที่ข้างปากนาง
เฉียวเจาอ้าปากกินเข้าไป เขายังหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปากให้ด้วย
ปิงลวี่เบนสายตาออกเงียบๆ
เฮ้อ…เห็นคุณหนูกับท่านเขยเป็นอย่างนี้แล้ว ข้ายังอยากออกเรือนบ้างเลย ทำอย่างไรดีนะ
“ท่านพ่อตาบอกว่าให้ข้าส่งของชิ้นนั้นไปให้หลันซงเฉวียน พวกเราจะได้หลุดพ้นจากเรื่องนี้”
เฉียวเจากลั้นยิ้มไม่อยู่ “ก็ดูจะเป็นความคิดที่ท่านพ่อคิดออกมา”
“ทำไมรึ เจ้าไม่เห็นพ้องหรือ”
นางส่ายหน้า “แม้จะเป็นความคิดที่ไม่เลว แต่นั่นเป็นของที่อู๋เหมยซือไท่มอบให้ข้า ให้ท่านเก็บไว้ก็ยังพอทำเนา แต่ถ้ามีเสียงเล่าลือออกไปว่าถูกส่งไปเป็นของกำนัลให้หลันซงเฉวียน แบบนั้นจะดูไม่งามแล้ว ถิงเฉวียน จริงๆ แล้วที่ข้าอยากรู้ให้แจ่มแจ้งมากที่สุดคือความลับของสร้อยลูกประคำ”
“รอเจ้าหายดี พวกเราค่อยมาไขความกระจ่างด้วยกัน” เซ่าหมิงยวนเพ่งมองดวงหน้าของเด็กสาวด้วยแววตาอ่อนโยน “เจาเจา เจ้าซูบลงแล้ว”
ยามสายตาสองคู่สบประสานกัน สองแก้มของเฉียวเจาร้อนซู่น้อยๆ นางหลุบตากล่าวว่า “ท่านก็ซูบลงเหมือนกัน”
“นายท่าน...” ปิงลวี่ที่ยืนอยู่หน้าประตูเรียกขานเสียงดัง
หลีกวงเหวินกระแอมไอเสียงหนึ่ง “ทำเสียงดังขนาดนี้ด้วยเหตุใด เชิญท่านเขยออกมาพูดคุยสิ”
ปิงลวี่มองคู่หมั้นหนุ่มสาวคู่นี้อย่างเห็นใจ นางเอ่ยบอกเสียงใสว่า “ท่านโหว นายท่านเชิญท่านออกไปเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนลูบๆ จมูกแล้วลุกขึ้นยืน ที่แท้ที่บอกว่าให้เขามาดูเจาเจาคือให้ดูแค่แวบเดียวจริงๆ
แม่ทัพหนุ่มมองคู่หมั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ เขาเก็บความรู้สึกหวานซึ้งที่อัดแน่นอยู่เต็มอกไว้ และเดินออกไปอย่างห่อเหี่ยวใจ
สายตาของเฉียวเจามองตามไปโดยไม่กะพริบตาจวบจนกระทั่งแผ่นหลังของบุรุษหายลับไปตรงหน้าประตู
“คุณหนู ดึงสติคืนมาได้แล้วเจ้าค่ะ” ปิงลวี่ยื่นมือไปโบกไปโบกมาตรงหน้าผู้เป็นนาย
แพขนตาของเฉียวเจากระพือขึ้นลงเบาๆ นางชายตามองสาวใช้แวบหนึ่ง
ปิงลวี่ปิดปากหัวเราะ “คุณหนูของข้า ท่านเขยรูปงามขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ”
เฉียวเจาเม้มปากยิ้ม “หรือว่าเขาไม่รูปงามเล่า”
ปิงลวี่คิดๆ แล้วพยักหน้า “ก็รูปงามดีเจ้าค่ะ แต่ถ้าจะบอกว่าคนที่รูปงามที่สุด จริงๆ แล้วยังคงเป็นคุณชายฉือ… อุ๊ย! ข้าพูดผิดไป คุณหนูอย่าถือสานะเจ้าคะ”
“เจ้าช่วยไปรินน้ำมาให้ข้าเถอะ” เฉียวเจาหาเหตุผลให้ปิงลวี่ออกไป นางมองตะขอเงินที่ด้านบนมุ้งคลุมเตียงแล้วยกมุมปากโค้งขึ้น
ไม่รู้เพราะอะไรนางยังคงรู้สึกว่าบุรุษของนางรูปงามอยู่ดีนะ
สาเหตุการตายของหลีกวงซูได้ข้อสรุปยืนยันว่าโรคกำเริบเฉียบพลันจนเสียชีวิต ต่อจากนั้นคือการจัดพิธีศพ
เมื่อถึงเวลานี้ก็ไม่อาจปิดบังเรื่องนี้กับหลิวซื่อนายหญิงรองได้อีกต่อไป ต่อให้นางตั้งครรภ์อยู่ ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่สามีตายแล้วนางยังไม่ปรากฏตัว
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคิดทบทวนไปมาแล้วสั่งให้คุณหนูสี่หลีเยียนเป็นคนไปบอกเสียเลย
ตามความคิดของหญิงชรา ผู้เป็นมารดาล้วนเข้มแข็ง ถึงหลิวซื่อได้ยินข่าวการตายของสามีแล้วจะทนรับไม่ไหว แต่เห็นบุตรสาวอยู่ตรงหน้าคงไม่ถึงขั้นควบคุมสติไม่อยู่ ครั้งนั้นนางก็มองดูบุตรชายที่สะอื้นไห้สองคน กัดฟันทนจนผ่านมาได้
ในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสองวัน ราวกับว่าหลีเยียนเติบโตขึ้นไม่น้อย นางเดินลากฝีเท้าที่หนักอึ้งไปที่ห้องของหลิวซื่อ ดวงตาทั้งคู่บวมช้ำเหมือนเมล็ดเหอเถา
“คุณหนูสี่มาเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวรายงาน
หลิวซื่อพิงหมอนอิงทรงกลมพลางพูดเสียงขุ่นๆ “เมื่อเช้าเจ้าลูกผู้นี้ไม่ได้มาแสดงคารวะข้า ไม่รู้ว่าไปเล่นซนจนลืมเวลาอยู่ที่ไหน รีบเชิญนางเข้ามาเถอะ”
หลีเยียนเดินก้มหน้าเข้ามาแสดงคารวะต่อมารดา
“เมื่อก่อนออกจะกระโดกกระเดก ไฉนวันนี้ถึงเรียบร้อยอย่างนี้ได้” หลิวซื่อกล่าวคำหนึ่งอย่างฉงนใจ ครั้นเห็นบุตรสาวยืนนิ่งไม่ขยับก็กวักมือเรียกนาง “เข้ามาสิ”
หลีเยียนยืนอยู่ที่เดิมกัดริมฝีปากไว้ จู่ๆ นางก็คุกเข่าลง
หลิวซื่ออึ้งงันไป “เยียนเอ๋อร์ นี่เจ้าทำอะไรของเจ้า หรือว่าก่อเรื่องอะไรขึ้น”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ หลิวซื่อหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “หรือว่าทำให้พี่เจาของเจ้าไม่พอใจ”
หลีเยียนก้มหน้าพูดเสียงเครือ “ท่านแม่ มีเรื่องหนึ่งข้าต้องบอกให้ทราบ ท่านฟังแล้วทำใจดีๆ ไว้นะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นจะไม่ดีต่อน้องชายในท้อง…”
หลิวซื่อทำหน้าเคร่งขรึม จ้องเขม็งไปที่บุตรสาวซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น “เยียนเอ๋อร์ เจ้าบอกมาก่อนว่าเจ้าล่วงเกินพี่เจาของเจ้าหรือไม่”
“เปล่าเจ้าค่ะ”
หลิวซื่อระบายลมหายใจเฮือก ยกมือขึ้นลูบจอนผม “เช่นนั้นเจ้าพูดเถอะ”
ขอเพียงมิใช่บุตรสาวของตนล่วงเกินคุณหนูสาม เรื่องใดๆ นางล้วนทนรับได้ไหว
“ท่านพ่อ…ท่านพ่อจากไปแล้ว…”
หลิวซื่อนิ่งขึงไป
หลีเยียนร่ำไห้มาทั้งคืน เพลานี้นางเป็นห่วงสุขภาพของมารดามากที่สุด จึงไม่มีแก่ใจจมจ่อมอยู่กับความเศร้าโศกแล้ว นางเอ่ยถามอย่างหวั่นวิตก “ท่านแม่ ท่าน…ไม่เป็นไรกระมัง”
หลิวซื่อกะพริบตา น้ำตาก็ไหลรินลงมา
หลีเยียนตกใจรีบลุกขึ้นวิ่งไปหามารดาแล้วซบหน้ากับตักนาง “ท่านแม่ ท่านอย่าเสียใจเกินไปเด็ดขาด อย่าลืมว่าท่านยังมีน้องชายข้าอยู่ในท้องนะเจ้าคะ…”
หลิวซื่อส่ายหน้าช้าๆ สีหน้าของนางเลื่อนลอย “แม่ไม่เป็นไร แม่แค่อยากร้องไห้…”
สามีคู่ชีวิตของนางผู้นั้นตายไปแล้ว!
เขาเคยเขียนคิ้วให้นางด้วยความรักหวานซึ้ง เคยให้คำสัญญาว่าจะครองคู่กันจนแก่เฒ่าผมหงอกขาว ทว่าชั่วพริบตาเดียวบุรุษผู้นั้นก็นอกใจนาง พาอนุโฉมงามพร้อมบุตรชายวัยเยาว์กลับเรือน ความรักความคิดถึงที่นางมีต่อเขาจืดจางหายไปจนสิ้นในเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน จะบอกว่าตอนนี้นางเสียใจมากหรือไม่ ดูเหมือนว่าจะไม่ แต่ไฉนในใจนางยังคงอัดอั้นคับข้องเช่นนี้นะ
นางรู้สึกแค้นใจเหลือเกินจริงๆ บุรุษผู้นั้นทิ้งทุกอย่างจากไปแบบนี้ เกรงว่าตอนตายยังมิได้ห่วงพะวงถึงนางกับลูกๆ ดีไม่ดียังคิดว่าในที่สุดได้ไปอยู่พร้อมหน้ากับปิงเหนียงแล้วก็เป็นได้
“ท่านแม่ ท่านอย่าทำอย่างนี้เลย ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ ร้องไห้แล้วก็จะรู้สึกดีขึ้น เมื่อคืนข้าร้องไห้อยู่ทั้งคืนเหมือนกัน ตอนนี้ไม่รู้สึกทุกข์ใจมากขนาดนั้นแล้ว” หลีเยียนพูดกล่อม
หลิวซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตา ถึงแม้สุ้มเสียงนางยังอู้อี้อยู่บ้าง แต่น้ำเสียงกลับสงบนิ่งแล้ว “ท่านพ่อเจ้าตายอย่างไร”
“ได้ยินว่า…ท่านพ่อโรคกำเริบเฉียบพลันจนเสียชีวิตตอนปฏิบัติงานอยู่ในที่ว่าการ...”
“พวกเจ้าออกไป” หลิวซื่อสั่งให้สาวใช้ออกจากห้องจนเหลือสองคนแม่ลูก
“เยียนเอ๋อร์ เจ้าบอกความจริงกับแม่ การตายของท่านพ่อเกี่ยวข้องกับพี่เจาของเจ้าหรือไม่”
หลีเยียนกัดริมฝีปากแล้วกล่าว “เมื่อวานพี่เจาหายตัวไปเจ้าค่ะ ผลสุดท้ายสืบพบว่าเป็นท่านพ่อเอาตัวพี่เจาใส่ไว้ในหีบหนังสือพาออกนอกจวนไป…”
หลิวซื่อฟังแล้วถอนใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง “นี่เขารนหาที่ตายเองนะ แล้วตอนนี้พี่เจาของเจ้าอยู่ไหน”
“พี่เจากลับมาแล้ว เมื่อครู่ข้าไปเยี่ยมนางมาแล้ว นางได้รับบาดเจ็บ ไม่ค่อยสดชื่นแข็งแรงเจ้าค่ะ”
หลิวซื่อถอนหายใจแรงๆ อย่างโล่งอก
ขอบคุณฟ้าดิน คุณหนูสามไม่เป็นไรก็ดี ไม่เช่นนั้นพวกข้าล้วนต้องพลอยเดือดร้อนไปเพราะเจ้าคนบัดซบผู้นั้นแล้ว
“ไปเถอะ ตามข้าไปหาท่านย่าของเจ้า”
หลีเยียนอึ้งงัน “…”
หรือว่าท่านแม่ได้รับความกระทบกระเทือนใจมากเกินไป ยังไม่ยอมรับความจริงว่าท่านพ่อจากโลกนี้ไปแล้ว