หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 708
บทที่ 708
“เรียกตัวสมุหราชเลขาธิการหลันซานเข้าเฝ้า…”
ท่ามกลางเสียงขานบอกดังกังวานไกลของเว่ยอู๋เสีย หลันซานในวัยย่างเจ็ดสิบเดินงกๆ เงิ่นๆ เข้ามา
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
“ใต้เท้าหลันมีเรื่องใดหรือ”
“ฝ่าบาท กระหม่อมได้รับข่าวว่ากวนจวินโหวเข้าเมืองหลวงโดยไม่มีพระราชโองการ ปรากฏตัวอยู่ละแวกใกล้ๆ ตรอกซิ่งจื่อพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะทรงพระอักษรยกปลายคิ้วขึ้น “เอ๊ะ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือนี่”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กวนจวินโหวสมควรอยู่ในสนามรบแท้ๆ ขณะนี้กลับปรากฏกายอยู่ในเมืองหลวง หลังจากกระหม่อมทราบเรื่องแล้วตกใจเป็นอันมาก” หลันซานพูดเสียงดัง
ฮ่องเต้หมิงคังเบะมุมปาก
เราไม่ตกใจเลยสักนิด ก็ตอนนี้กวนจวินโหวแอบอยู่หลังฉากกั้นนี่อย่างไรเล่า
เอ๊ะ การได้รู้อะไรๆ ก่อนขุนนางเป็นความรู้สึกที่ไม่เลวเลยทีเดียว
เมื่อคิดคำนึงถึงตรงนี้ ฮ่องเต้หมิงคังรู้สึกดีกับเซ่าหมิงยวนขึ้นเล็กน้อยโดยพลัน
ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยเจ้าลูกสุนัขผู้นี้ยังนับว่ารู้ความ
“ฝ่าบาท…” หลันซานจับสังเกตได้ว่าสีหน้าของฮ่องเต้ผิดแปลกไป เขาเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องทันใด
โอรสสวรรค์พระองค์นี้มีความคิดล้ำลึกพิสดารยากหยั่งถึง มิใช่เจ้านายที่ง่ายต่อการทำงานรับใช้ เขาต้องระวังตัวสักหน่อยจึงจะดี
ฮ่องเต้หมิงคังกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง “ข่าวของใต้เท้าหลันเชื่อถือได้หรือไม่”
“กระหม่อมมิกล้ากุเรื่องใส่ร้ายขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก แต่กวนจวินโหวแอบเข้าเมืองหลวงโดยไม่มีพระราชโองการจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“หากเป็นอย่างนี้ล่ะก็…” ฮ่องเต้ก้มลงมองเบื้องล่าง พินิจดูขุนนางชราที่เหลือเส้นผมไม่กี่เส้นด้วยสายตาลึกล้ำอึดใจหนึ่ง “ใต้เท้าหลันได้ข่าวมาจากที่ใดเล่า”
หลันซาน...
ฮ่องเต้หมิงคังเรียกนามนี้อยู่ในใจพร้อมกับนึกโยงไปถึงคำทำนายของราชครูจาง จากนั้นคิดต่อไปที่ความฝันซึ่งเซ่าหมิงยวนเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้แล้ว ส่งผลให้เขาอารมณ์ไม่ดีอย่างยิ่งยวด
หรือว่าที่หมายถล่มทับเขาก็คือภูเขาใหญ่ลูกนี้
ตาเฒ่าหลันซานผู้นี้ใจกล้าขึ้นเรื่อยๆ องครักษ์จินหลินของเขายังไม่รายงานเรื่องที่กวนจวินโหวเข้าเมืองหลวงโดยพลการ ตาเฒ่าผู้นี้กลับล่วงรู้แล้ว ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี
“กระหม่อมมีลูกศิษย์ผู้หนึ่งเห็นเข้าพอดีเลยส่งข่าวให้กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” หลันซานเห็นว่าฮ่องเต้หมิงคังไม่ได้พิโรธเป็นฟืนเป็นไฟดังเช่นที่ตนคาดการณ์ไว้ ลอบรำพึงในใจว่า พระทัยของกษัตริย์ช่างยากแท้หยั่งถึงนัก
เขาโขกศีรษะกล่าวว่า “ฝ่าบาท กวนจวินโหวเป็นผู้บัญชาการกองทัพ กลับเข้าเมืองหลวงโดยพลการ จุดมุ่งหมายเป็นที่น่ากังขาใจ กระหม่อมมีตำแหน่งเป็นสมุหราชเลขาธิการ พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ไม่เป็นอันกินอันนอนจึงตั้งใจมากราบทูล ฝ่าบาททรงโปรดวินิจฉัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของฮ่องเต้หมิงคังยังคงไม่เปลี่ยนแปลง น้ำเสียงของเขาราบเรียบ “อย่างนี้นี่เอง…เว่ยอู๋เสีย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เรียกตัวผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินเข้าวัง”
ไม่นานนักเจียงหย่วนเฉาก็รุดมาถึง
“ใต้เท้าหลันบอกว่ามีคนเห็นกวนจวินโหวปรากฏตัวที่ละแวกใกล้ๆ ตรอกซิ่งจื่อ ผู้บัญชาการเจียงพาคนไปสืบดูหน่อยเถอะ”
“น้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
เจียงหย่วนเฉาออกไปปฏิบัติตามคำสั่งทันที
ฮ่องเต้หมิงคังนวดๆ หว่างคิ้ว “เอาล่ะ ระหว่างที่รอผู้บัญชาการเจียงกลับมารายงานตัว พวกเราทำเรื่องสำคัญกันก่อนเถอะ”
หลันซานฟังแล้วหนังศีรษะชาวาบๆ
“เรายังไม่ได้ฝึกวิปัสสนาเลย ใต้เท้าหลันมาฝึกพร้อมกับเราเถอะ”
หลันซานรู้สึกหน้ามืดเป็นระลอก
ที่เรียกว่า ‘ฝึกวิปัสสนา’ คืออะไรนั้นเขารู้ซึ้งดี มันเป็นการสวดมนต์ท่องคาถาเป็นเพื่อนฮ่องเต้ แน่นอนว่าหากทำแค่นั้นไม่นับว่ามีอะไร แต่ที่แย่คือฮ่องเต้ตั้งใจจริงอย่างยิ่งยวด ทุกครั้นล้วนต้องคุกเข่าสวดมนต์ เขาแก่ชราปูนนี้กระดูกกระเดี้ยวไม่ดี ต้องคุกเข่านานๆ คงแทบเอาชีวิตไปทิ้งครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว
ช่างน่าเวทนาท่านสมุหราชเลขาธิการเฒ่าอายุเกือบเจ็ดสิบปีต้องคุกเข่าจนแข้งขาเป็นเหน็บชา
ขณะที่เขากำลังทอดอาลัยในชีวิต เจียงหย่วนเฉาก็กลับมารายงานตัวในที่สุด
“กราบทูลฝ่าบาท จวนสกุลหลีจัดพิธีศพอยู่ แต่ไม่พบเห็นกวนจวินโหว กระหม่อมยังไปที่อื่นๆ เช่น จวนกวนจวินโหวและจวนจิ้งอันโหว ก็ไม่พบวี่แววของกวนจวินโหวเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังมองไปทางหลันซาน
“คือว่า…” หลันซานคุกเข่าจนวิงเวียนตาลาย คิดหาข้อแก้ตัวไม่ออกโดยสิ้นเชิง
“เมื่อเป็นเช่นนี้น่าจะเป็นลูกศิษย์ของใต้เท้าหลันผู้นั้นตาฝาดไปแล้ว” ฮ่องเต้หมิงคังกล่าวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
หลันซานคุกเข่าพร่ำพูดขออภัยซ้ำๆ ด้วยหน้าตาซีดเซียว
“ใต้เท้าหลันก็ทำไปเพื่อเรา แล้วเราจะตำหนิโทษท่านได้อย่างไรเล่า เอาล่ะ ท่านออกไปเถอะ ผู้บัญชาการเจียงช่วยออกไปส่งท่านสมุหราชเลขาธิการหลันแทนเราด้วย”
“ใต้เท้าหลัน เชิญขอรับ”
หลันซานถวายคำนับต่อฮ่องเต้หมิงคังด้วยท่าทางงุ่มง่าม “กระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังพยักหน้ากับเว่ยอู๋เสีย
เขาเดินไปที่หลังฉากกั้น “เชิญท่านโหวขอรับ”
เซ่าหมิงยวนสาวเท้าออกมา แม้ต้องรออยู่หลังฉากกั้นเกือบหนึ่งชั่วยาม แต่ใบหน้าเขาไร้วี่แววกระวนกระวายให้เห็นแม้สักกระผีก
ฮ่องเต้หมิงคังเห็นอยู่กับตาก็พยักหน้ากับตนเอง รำพึงในใจว่า เจ้าหนุ่มผู้นี้กลับมีน้ำอดน้ำทนเฉกเดียวกับเราในยามบำเพ็ญตบะ เป็นผู้มีหน่วยก้านดีคนหนึ่งจริงๆ
“ไปเถอะ เก็บข้าวของสัมภาระแล้วรีบไสหัวกลับไป หากมีคนเห็นเจ้าในเมืองหลวงอีก เราจะไม่ละเว้นเจ้าโดยง่ายแล้ว” ฮ่องเต้หมิงคังโบกมือไล่อย่างรำคาญใจ
เซ่าหมิงยวนรักษาท่าทีสุขุมเยือกเย็นในทุกสถานการณ์เอ่ยขึ้นว่า “กระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ข้างต้นหลิวทอดกิ่งลู่ลมด้านนอกพระราชวังอันงดงามวิจิตร เจียงหย่วนเฉาเผยรอยยิ้มกว้าง “ท่านโหวชั้นเชิงสูงจริงๆ”
ใช้กลยุทธ์ทุบหม้อข้าวจมเรือ พลิกจากฝ่ายรับเป็นฝ่ายรุก ทำให้สมุหราชเลขาธิการหลันซานต้องคว้าน้ำเหลวกลับไป อีกทั้งคลี่คลายเภทภัยอันเป็นผลลัพธ์จากการเข้าเมืองหลวงโดยไม่มีพระราชโองการได้อย่างสิ้นเชิง วันนี้นับว่าเขาได้เห็นอีกด้านหนึ่งของคนผู้นี้แล้ว
เซ่าหมิงยวนมองเจียงหย่วนเฉานิ่งๆ แวบหนึ่งก่อนเดินสวนไหล่ผ่านไป “ใต้เท้าเจียงชมเกินไปแล้ว”
เจียงหย่วนเฉามองแผ่นหลังที่ห่างไปไกลแล้วยกมุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม
เพียงน่าเสียดายที่คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต หลีกวงซูตายไป กวนจวินโหวอยากตบแต่งคุณหนูเฉียวเป็นภรรยา อย่างน้อยก็ต้องรอถึงปีหน้าแล้ว
เซ่าหมิงยวนกลับถึงตรอกซิ่งจื่อ ชำระกายผลัดอาภรณ์แล้วนอนหลับจนม่านราตรีคลี่คลุม รอกระทั่งเขากินอาหารเสร็จแล้วท้องฟ้าก็มืดมิดยิ่งขึ้น
ชายหนุ่มใช้แถบผ้ายาวๆ พันรอบต้นขาหลายรอบจนอาการเจ็บปวดบริเวณที่เป็นแผลถลอกปอกเปิกบรรเทาลง ทั้งยังยกเท้าเตะเบาๆ แล้วพบว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวถึงเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นผลัดอาภรณ์เป็นชุดดำรัดกุมที่องครักษ์เตรียมไว้รอท่า
เขามิได้ออกไปทางประตู แต่กระโดดขึ้นไปบนขอบกำแพงของเรือนตน กระโจนกายไม่กี่ทีก็เข้าสู่ด้านในจวนสกุลหลีแล้ว
องครักษ์ที่เร้นกายอยู่ตามมุมต่างๆ พากันเหลือบตาขึ้นมองฟ้า
ที่แท้ท่านแม่ทัพของพวกเราเป็นคนพรรค์นี้นี่เอง! ไม่…ไม่…พวกเราไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
เฉียวเจามีบาดแผลเต็มตัวเลยได้แต่นอนอยู่เฉยๆ บนเตียงพักฟื้น แม้ว่าภายในจวนสกุลหลีกำลังยุ่งวุ่นวายและตกอยู่ในบรรยากาศโศกเศร้า นางก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ถึงกระนั้นพอคิดถึงคนที่แอบหนีกลับมาผู้นั้น ไม่ว่าอย่างไรนางก็คลายใจลงไม่ได้สักที
หญิงสาวเพ่งตาอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่นานสองนานก็ไม่ได้พลิกหน้าต่อไป นางจึงโยนมันลงข้างเตียงไปเสียแล้วเอ่ยถามขึ้น “ปิงลวี่ เป็นยามเท่าไรแล้ว”
“ยามไฮ่แล้ว” สุ้มเสียงอ่อนโยนดุจสายน้ำดังลอยมา
เฉียวเจาตาเป็นประกาย หัวใจเต้นรัวแรงชอบกล
ชั่วอึดใจเดียวบุรุษผู้นั้นนั่งลงข้างๆ นาง ไต่ถามเสียงเบาว่า “อาหารเย็นกินได้มากหรือไม่”
“มาก”
“เรี่ยวแรงกำลังวังชาเป็นอย่างไร”
“ก็ดี”
“แล้วอาการบาดเจ็บล่ะ”
เฉียวเจายิ้มอ่อนหวาน “ดีหมด”
“ได้อย่างนั้นก็ดี” เซ่าหมิงยวนยิ้มตาม เขาจ้องมองหญิงคนรักของตนโดยไม่กะพริบตา
เฉียวเจากลั้นหัวเราะไม่อยู่ “ข้าจำได้ว่าคนบางคนเพิ่งบอกว่ามาอีกทีคราวหน้าจะยกขบวนสินสอดทองหมั้นเดินเข้าประตูใหญ่ของเรือนอย่างเปิดเผย ไม่ปีนกำแพงอีกแล้ว”
เซ่าหมิงยวนยกมือลูบผมนางพลางกล่าวทอดถอนใจ “ข้าก็อยากทำอย่างนั้น ข้าอยากให้ฮูหยินผู้เฒ่าขับไล่หลีกวงซูออกจากวงศ์ตระกูลไปเสียตอนนี้เลยใจจะขาด เช่นนี้เจ้าก็ไม่ต้องไว้ทุกข์ให้เขาแล้ว”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เซ่าหมิงยวนก็กลัดกลุ้มใจ เดิมนึกว่ารบชนะชาวต๋าจื่อกลับมาก็จะคว้าหญิงงามมาครอบครองได้แล้ว ใครจะคาดคิดว่าหลีกวงซูจะจบชีวิตลง การแต่งงานของเขากับนางจึงต้องเลื่อนเวลาออกไป
ไฉนจะตบแต่งภรรยาเข้าเรือนถึงได้ยากเย็นอย่างนี้นะ
“ถิงเฉวียน…”
เซ่าหมิงยวนสบตาเฉียวเจา
“ท่านจะไปแล้วใช่หรือไม่”