หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 709
บทที่ 709
เซ่าหมิงยวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงคลายยิ้มอ่อนโยน “ใช่ อีกประเดี๋ยวก็ต้องไปแล้ว”
เฉียวเจาเม้มปาก ความอาลัยอาวรณ์ผุดขึ้นกลางอกจางๆ “เรื่องที่ท่านเข้าเมืองหลวงโดยพลการ...”
“วันนี้ข้าไปเข้าเฝ้าที่วังหลวง เรื่องนี้ถือว่าปล่อยผ่านไปได้แล้ว เจ้าวางใจได้”
เฉียวเจาระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง “ได้อย่างนั้นก็ดี แต่ท่านทำอย่างนี้อันตรายเกินไป วันหลังห้ามวู่วามแล้วนะ”
ใจคนยากหยั่งถึง นับประสาอะไรกับพระทัยของโอรสสวรรค์ของแผ่นดิน เรื่องที่ผู้บัญชาการทัพเข้าเมืองหลวงโดยพลการนี้ หากสะสางไม่ดีจะเป็นภัยร้ายแรงใหญ่หลวง มาตรว่าเฉียวเจารู้สึกอบอุ่นใจเมื่อคิดถึงว่าเซ่าหมิงยวนบุกบั่นทางไกลกลับมาช่วยนาง แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ด้วย
“ได้ วันหลังข้าจะไม่วู่วาม” ข้อแม้คือไม่เกิดเรื่องขึ้นกับเจ้า
เซ่าหมิงยวนจ้องมองดวงหน้าของเฉียวเจาแล้วรู้สึกว่าดูอย่างไรก็ไม่จุใจ
ดึกสงัดแล้ว เทียนไขบนโต๊ะมีสะเก็ดไฟแตกเปรี๊ยะทีหนึ่งกะทันหัน
เซ่าหมิงยวนโน้มตัวไปจุมพิตหน้าผากเฉียวเจาแล้วลุกขึ้นยืน เขากล่าวเสียงพร่าว่า “ข้าควรไปได้แล้ว”
“ท่านจะไปแบบนี้หรือ” นางช้อนตามองเขา
ชายหนุ่มอึ้งไปเล็กน้อย
นางยกปลายคางเรียวเล็กขาวผ่องขึ้น “จูบข้าทีหนึ่ง”
เพราะอะไรหลังจากหมั้นหมายกัน เจ้าคนผู้นี้กลับทื่อเป็นท่อนไม้ไปแล้ว หรือว่าก่อนหน้านี้ล้วนเป็นนางที่อุปาทานไปเอง
ใต้แสงไฟ วงหน้าของเด็กสาวขาวนวลเนียนดุจหยก กลีบปากเล็กจิ้มลิ้มเป็นสีชมพูซีดๆ เห็นแล้วชวนให้สงสารเอ็นดูมากขึ้น
“ข้า…” เซ่าหมิงยวนพลันรู้สึกลำคอแห้งผาก เขายืนอยู่กับที่ไม่กล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
“ท่านอะไรล่ะ จูบข้าสิ!” แม่นางเฉียวขยับตัวไม่ถนัดเพราะปวดไปทั้งเนื้อทั้งตัว ทำได้แค่เชิดคางสูงขึ้น ในดวงตาทั้งคู่มีเงาสะท้อนของแสงไฟระยิบระยับกับใบหน้าที่นิ่งงันของชายหนุ่ม
ทันใดนั้นเงาดำทอดทาบลงมา เรียวปากเย็นประทับลงบนกลีบปากอุ่นๆ ของเฉียวเจาทำให้หัวใจของนางเต้นรัวเร็วขึ้น
ผ่านไปนานครู่ใหญ่จนเทียนไขเกิดสะเก็ดไฟแตกเปรี๊ยะๆ อีกสองที ชายหนุ่มที่ลมหายใจถี่กระชั้นเอ่ยถามเสียงแหบพร่าด้วยสายตาแรงกล้า “พอใจหรือไม่”
เด็กสาวหน้าแดงด้วยความขัดเขิน แต่แสร้งทำเยือกเย็น “พอใช้ได้”
เซ่าหมิงยวนหัวเราะออกมา เขาหักใจละสายตาออกไม่ได้แม้ชั่วเค่อเดียว “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าจะพยายามให้มากขึ้น ข้าไม่พอใจกับคำว่า ‘พอใช้ได้’ หรอกนะ”
“ได้ ข้ารออยู่” เฉียวเจาเอ่ยตอบยิ้มๆ
“เจาเจา ข้าควรไปแล้วจริงๆ”
“ไปเถอะ”
เซ่าหมิงยวนมองนางอย่างลึกซึ้งแล้วออกเดินไปถึงริมหน้าต่างก็หยุดยืนนิ่งเหลียวหน้ามาพูดอย่างจริงจัง “อย่างมากสิบวันถึงครึ่งเดือนข้าก็กลับมาแล้ว รอข้านะ”
ชายหนุ่มลับร่างไปทางหน้าต่าง ใบกล้วยนอกห้องไหวเอนไปมาทอดเงาดำวูบวาบอยู่บนผ้าโปร่งกรุหน้าต่าง
เฉียวเจาเพ่งตามองหน้าต่างด้วยจิตใจที่เคว้งคว้างหดหู่
ปิงลวี่เยี่ยมหน้ามอง ก่อนจะลดสุ้มเสียงลงเรียกขาน “คุณหนู ข้าเข้าไปได้แล้วหรือยังเจ้าคะ”
“เข้ามาสิ”
ปิงลวี่จรดฝีเท้าเดินย่องเข้ามาแล้วไปตรวจดูที่หน้าต่างก่อนถึงกลับมาอยู่ข้างกายผู้เป็นนาย “ท่านแม่ทัพไปแล้วหรือเจ้าคะ”
“อื้อ”
ปิงลวี่มองเฉียวเจาแล้วปิดปากหัวเราะ
“หัวเราะอะไร”
“คุณหนู ปากท่านบวมแล้ว…” ครั้นรับรู้ได้ว่าบรรยากาศผิดปกติไป นางรีบหยุดหัวเราะ
“ไปนอนเถอะ เจ้าไม่ต้องอยู่รับใช้ในนี้แล้ว” เฉียวเจาทำหน้าตึงกล่าวขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นข้าไปนอนที่ด้านนอกนะเจ้าคะ คุณหนูมีอะไรก็ส่งเสียงเรียกข้าได้” ปิงลวี่วิ่งผลุบออกไป นางเอนกายลงนอนบนตั่งที่โถงด้านนอกของห้อง ยกมือถูหน้าแรงๆ
โอ๊ย คุณหนูกับท่านแม่ทัพรักกันหวานซึ้งเหลือเกินจริงๆ ถ้าเกิดมีลูกตัวน้อยแล้วจะทำฉันใด
เฉียวเจาซึ่งอยู่ด้านในของห้องหาได้รู้ไม่ว่าสาวใช้น้อยกังวลใจไปถึงไหนต่อไหนแล้ว นางสูดจมูกเบาๆ ราวกับกลิ่นอายของคนผู้นั้นยังลอยอวลอยู่ในห้อง
เฉียวเจาอดถอนใจเฮือกหนึ่งไม่ได้ จู่ๆ นางก็หวนคิดถึงการโต้เถียงระหว่างท่านปู่กับท่านย่าเมื่อหลายปีก่อน
ท่านปู่ตัดสินใจเอาเองให้นางหมั้นหมายกับเซ่าหมิงยวน ท่านย่าพูดว่าจวนจิ้งอันโหวเป็นตระกูลแม่ทัพตกทอดกันมาทุกรุ่น บุตรชายคนโตอาจจะรั้งอยู่เมืองหลวงเป็นซื่อจื่ออย่างปลอดภัยมั่นคง ส่วนบุตรชายคนรองมีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนต้องนำทัพออกรบ การเป็นภรรยาของทหารต้องแยกห่างกับสามีมากกว่าได้อยู่พร้อมหน้ากันแน่นอน อีกทั้งต้องอยู่อย่างหวาดหวั่นขวัญผวา ท่านไม่อยากให้หลานสาวได้รับความทุกข์นี้
บัดนี้คิดไปแล้วท่านย่าคิดอ่านวางแผนให้นางโดยยืนในมุมของคนเป็นภรรยาและมารดา แต่นางยังคงขอบคุณท่านปู่ที่กำหนดการแต่งงานครั้งนี้ให้นาง
เทียบกับสามีภรรยาที่มีชีวิตคู่เรียบง่ายและยกย่องให้เกียรติกัน นางเต็มใจที่จะได้พบกับคนผู้หนึ่งอย่างนี้มากกว่า คนที่รู้ใจกันและกัน อยู่เคียงข้างกันไม่ว่าเป็นหรือตาย ถึงครองคู่กันวันเดียวก็ทัดเทียมได้กับการอยู่ด้วยกันทั้งชีวิตของคนมากมายแล้ว
ในเวลาต่อมา จวนสกุลหลียุ่งวุ่นวายกับการจัดพิธีศพของหลีกวงซู ญาติสนิทมิตรสหายทยอยกันมาเคารพศพ ส่วนคนที่เข้าแถวรอเชิญคุณหนูสามสกุลหลีไปเป็นแขกที่จวนเหล่านั้นล้วนพากันถอยทัพกลับไป ด้านภรรยาของเสนาบดีศาลยุติธรรมโมโหถึงขั้นกล่าวเป็นทำนองว่านายท่านรองสกุลหลีตายผิดเวลาเลยทีเดียว
ผ่านไปอีกหลายวัน ข่าวกวนจวินโหวนำทัพต้าเหลียงออกรบชนะทหารเป่ยฉีก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง เหล่าชาวเมืองล้วนโห่ร้องไชโยด้วยความยินดีปรีดา คนที่มุ่งหน้าไปเซ่นไหว้ที่จวนสกุลหลีเพิ่มมากขึ้นโดยพลัน ส่งผลให้พิธีศพครั้งนี้ดูคึกคักพลุกพล่านสุดจะเปรียบ
พี่สะใภ้จากสกุลเดิมของนายหญิงรองหลิวซื่อมาอยู่เป็นเพื่อนนางที่จวนสกุลหลีตลอดหลายวันมานี้ ยามอีกฝ่ายมองนางด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสงสารอีกครั้ง นางก็ทนไม่ไหวในที่สุด “พี่สะใภ้ไม่ต้องมองข้าแบบนี้ ข้าสบายดี”
“โธ่ น้องอิงอิง ข้ารู้ว่าเจ้าฝืนทำเข้มแข็ง ความทุกข์ของเจ้า ข้าล้วนกระจ่างแจ้ง…”
หลิวซื่อตัดบทนางอย่างรำคาญใจ “พี่สะใภ้ ข้าเริ่มเหนื่อยแล้วจะไปนอนพักก่อน”
นางมีความทุกข์อะไรกัน ชีวิตที่ไร้สามีล้วนผ่านมาได้ห้าปีกว่า หลังจากนี้ก็อยู่ต่อไปตามเดิมมิใช่หรือ ความจริงจะว่าไปแล้วเทียบกับข้างกายมีสามีที่มีหญิงอื่นอยู่ในใจคอยกวนโทโสทุกวัน การใช้ชีวิตอยู่คนเดียวยังเป็นอิสระมากกว่า
เอาเป็นว่าไปดูว่าสุขภาพของคุณหนูสามเป็นอย่างไรบ้างถึงเป็นเรื่องสำคัญ
หลิวซื่อสะบัดผ้าเช็ดหน้าเดินไปทางเรือนหยาเหอ
เฉียวเจาไม่เคยปรากฏตัวที่โถงตั้งศพเลยเพราะพักรักษาตัวอยู่ตลอด ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งบอกต่อคนภายนอกว่านางโดนความเย็นอยู่ก่อนแล้วและยังไม่หายดีสักที แต่พอนานวันเข้าก็เริ่มลือต่อกันไปแบบผิดเพี้ยนได้อย่างไรก็สุดรู้
“ได้ข่าวแล้วหรือยัง คุณหนูสามสกุลหลีท่าจะไม่รอดแล้ว”
“จริงหรือเปล่า ตอนคุณหนูสามเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองคณะทูตซีเจียงก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลยมิใช่หรือ ไฉนจู่ๆ ก็ไม่รอดแล้วล่ะ”
“คุณหนูสามไม่ได้เพิ่งล้มป่วยวันสองวันนี้นะ ตั้งแต่ก่อนที่นายท่านรองสกุลหลีจะล่วงลับเพราะโรคกำเริบเฉียบพลัน นางก็ออกจากเรือนไม่ไหวแล้ว ได้ยินว่าขนาดวังอ๋องมาเชิญยังบอกปัดไปด้วย”
“ข้ารู้เรื่องนี้ ตอนนั้นใครๆ ยังคาดเดาว่าสกุลหลีไม่อยากให้คุณหนูสามออกหน้าออกตาถึงได้ปฏิเสธทางอ้อม คิดไม่ถึงว่าจะป่วยจริงๆ”
“ไม่ใช่เรื่องเท็จแน่ หาไม่แล้วท่านอาแท้ๆ ตาย จะไม่ปรากฏตัวเลยได้เช่นไร”
“เฮ้อ…พวกเจ้าว่าถ้าคุณหนูสามสกุลหลีไม่รอดจริงๆ แล้วเรื่องแต่งงานกับกวนจวินโหว…”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในใจคนไม่น้อยเริ่มจุดประกายความหวังขึ้นมา
การพิชิตศึกแดนเหนือครั้งใหญ่ทำให้ชื่อเสียงบารมีของกวนจวินโหวขยับสูงขึ้นไปอีกขั้น อีกทั้งเขายังหนุ่มแน่นอย่างนี้ ภายภาคหน้าต้องได้ทำงานรับใช้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่อย่างแน่นอน
จริงอยู่ว่าออกเรือนให้พวกแม่ทัพนายกองย่อมมีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ถึงกระนั้นมีคำกล่าวว่าเงินทองเกียรติยศมิอาจแสวงหามาได้เปล่าๆ หากสามารถไขว่คว้าเกียรติยศเงินทองล้นฟ้าได้ ต้องเสี่ยงกันบ้างจะเป็นไรไป
เซ่าหมิงยวนซึ่งอยู่ระหว่างทางกลับเมืองหลวงหาได้รู้ไม่ว่าตนเองกลายเป็นบุตรเขยเนื้อทองที่ถูกคนมากมายหมายตาไปแล้วอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย กระทั่งท่านที่ประทับอยู่ในวังหลวงก็เริ่มใคร่ครวญเรื่องนี้
“ผู้บัญชาการเจียง เราได้ยินว่าคู่หมั้นของกวนจวินโหวป่วยหนักหรือ”
เจียงหย่วนเฉาใจกระตุกวูบหนึ่ง เขามองเว่ยอู๋เสียที่ยืนอยู่หลังฮ่องเต้หมิงคังทางหางตาปราดหนึ่ง
นับแต่ท่านพ่อบุญธรรมตายไป แม้เขาจะได้สืบทอดตำแหน่งผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน ทว่าความไว้วางใจที่ฮ่องเต้มีต่อเขากับท่านพ่อบุญธรรมนั้นไม่อาจยกมาเปรียบเทียบกันได้ เมื่อฝ่ายหนึ่งอ่อนแอลง ฝ่ายหนึ่งย่อมแข็งแกร่งขึ้น ส่งผลให้กองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวาเริ่มมีอิทธิพลมากขึ้น ข่าวต่างๆ ที่รู้ถึงพระเนตรพระกรรณจึงมิใช่มาจากกององครักษ์จินหลินทางเดียวแล้ว
คำตรัสนี้ของฮ่องเต้มีความหมายใด