หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 71
เจ้าค่ะ โค่วจื่อโม่ไม่ปฏิเสธ
เหมาซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลดุจเดิม จื่อโม่ แม่เคยบอกแล้วมิใช่หรือว่าตอนนี้เจ้าเติบใหญ่แล้ว จะไปหาญาติผู้พี่ของเจ้าตามใจชอบเช่นนี้เหมือนตอนเด็กๆ อีกไม่ได้ ไยไม่หลบเลี่ยงเล่า
โค่วจื่อโม่หลุบตาลง กล่าวเรียบๆ ว่า ข้าแค่ไปดูว่าญาติผู้พี่ไม่เป็นอะไร ไม่ได้เข้าไปในเรือนเขา แล้วก็ไม่ได้พูดไปมากกว่านี้สักคำ เท่านี้ก็ไม่ได้หรือเจ้าคะ
หลบเลี่ยง?
ในกาลก่อนไฉนตอนท่านแม่พาข้ากับชิงหลันไปเป็นแขกที่จวนสกุลเฉียว ก็ไม่เคยกำชับกับข้าว่าต้องหลบเลี่ยง เพียงเพราะว่าครอบครัวท่านลุงเขยประสบเคราะห์ภัย ญาติผู้พี่เสียโฉม ฉะนั้นถึงต้องหลบเลี่ยงสินะ
โค่วจื่อโม่คิดอ่านได้ปรุโปร่ง ใจนางประจักษ์แจ้งดี แต่คนตรงหน้าคือมารดาแท้ๆ นางจึงทำได้แค่ยิ้มเยาะตนเอง
เหมาซื่อนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากขึ้น จื่อโม่ เจ้าโทษข้าหรือไม่
จะโทษได้อย่างไร ลูกไม่บังอาจหรอกเจ้าค่ะ
ไม่โทษก็ดี เจ้าอย่าลืมว่าเวลานี้สกุลเฉียวไม่เหมือนเดิมแล้ว อีกทั้งญาติผู้พี่ของเจ้ายังมีบาดแผลบนใบหน้า…
ดังนั้นก็เลยไปดูว่าเขาเป็นเช่นไรบ้างไม่ได้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ โค่วจื่อโม่อดกล่าวประชดไม่ได้
สีหน้าของเหมาซื่อปึ่งชาไป เฉียวโม่เป็นหลานนอกสายเลือดเดียวกับท่านพ่อ พวกข้าเป็นผู้อาวุโสย่อมต้องดูแลพวกเขาสองพี่น้องเป็นอย่างดี มิใช่เรื่องที่เด็กสาวอย่างพวกเจ้าต้องวุ่นวายใจ
โค่วจื่อโม่เม้มปากแน่นไม่เปล่งวาจา
เหมาซื่อโบกมือบอกให้บุตรสาวออกไปแล้วถอนใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง
เพราะชื่อของบุตรสาวคนโตกับบุรุษหน้าหยกแห่งสกุลเฉียวมีคำว่า ‘โม่’ เหมือนกัน เป็นเหตุให้ถูกผู้อาวุโสของทั้งสองจวนนำมาพูดหยอกเย้าตั้งแต่วัยเยาว์
อาจารย์เฉียวเป็นจอมปราชญ์นามกระเดื่องทั่วหล้า ใต้เท้าเฉียวยังเป็นขุนนางในตำแหน่งสำคัญ คุณชายเฉียวก็เพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติ อีกทั้งฮูหยินผู้เฒ่าสกุลเฉียวมีเทือกเถาเหล่ากอเป็นเชื้อพระวงศ์ ในฐานะมารดา นางย่อมจะเห็นดีเห็นงามกับเรื่องที่เป็นผลดีต่อบุตรสาวเช่นนี้
ทว่าเหตุไฟไหม้นั่นทำให้นางไม่อาจไม่ใคร่ครวญใหม่อีกครั้ง
เมื่อคิดถึงความหัวรั้นของบุตรสาวคนโต เหมาซื่อจึงยังไม่เอ่ยบอกความคิดเกี่ยวกับกวนจวินโหวในตอนนี้
ว่ากันว่าเขาขอลาพักราชการหนึ่งปีเพื่อไว้ทุกข์ให้ภรรยา เรื่องนี้ค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า
โค่วจื่อโม่ตรงไปที่สวนดอกไม้ เห็นน้องสาวพาเฉียวหว่านไล่จับผีเสื้ออยู่ไกลๆ นางยืนพิงต้นไม้เงียบๆ
เมื่อโค่วชิงหลันมองเห็นนางก็เอาผีเสื้อที่จับได้ส่งให้เฉียวหว่าน นางสั่งสาวใช้ให้เล่นเป็นเพื่อนคุณหนูเฉียวแล้วยกชายกระโปรงวิ่งลิ่วๆ ไปหาพี่สาว
พี่ใหญ่ ท่านแม่ดุท่านหรือ
เปล่า
เปล่าก็ดีแล้ว
สองพี่น้องยืนอยู่ใต้ต้นไทรด้วยกัน นานครู่ใหญ่โค่วชิงหลันถามขึ้นเสียงเบาๆ พี่ใหญ่ เวลาท่านเห็นญาติผู้พี่แล้วไม่กลัวหรือ ทั้งที่พี่ใหญ่เป็นคนใจเสาะมากแท้ๆ
โค่วจื่อโม่จัดชายเสื้อให้เข้าที่ เอ่ยตอบเสียงเรียบๆ มีอะไรน่ากลัว ญาติผู้พี่ยังคงเป็นญาติผู้พี่มิใช่หรือ
แต่มันไม่เหมือนกันนี่นา ใบหน้าของญาติผู้พี่…
โค่วจื่อโม่เบนหน้าไปมองน้องสาว แล้วเจ้ากลัวหรือไม่
ข้าหรือ โค่วชิงหลันอึ้งงันไปเล็กน้อย จากนั้นก็คลี่ยิ้มหวาน ข้าไม่กลัวแน่นอน ญาติผู้พี่ยังอ่อนโยนดังเช่นแต่ก่อน
ดังนั้นข้าก็ไม่กลัว โค่วจื่อโม่ยิ้มเอื่อยๆ นางเห็นเฉียวหว่านจับผีเสื้อไม่ได้เสียทีก็โยนพัดกลมทิ้งอย่างท้อใจแล้ววิ่งมาหาพวกนาง พาให้รอยยิ้มกว้างขึ้น
แต่ว่า… โค่วชิงหลันเห็นเฉียวหว่านเข้ามาใกล้แล้วจึงยุติบทสนทนาลง ลอบถอนใจเฮือก
ต่อให้ญาติผู้พี่เสียโฉมไปแต่ยังเป็นคนดีมาก นางย่อมไม่กลัวแน่นอน แต่พี่จื่อโม่ต่างกัน ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่จื่อโม่อยากจะ…
เฉียวหว่านเดินมาถึงตรงหน้า สองสาวพี่น้องพร้อมใจกันไม่พูดถึงเฉียวโม่ต่อ พาญาติผู้น้องตัวน้อยไปดูลายปักด้วยกัน
เซ่าหมิงยวนก้าวออกจากจวนเสนาบดีโค่วแล้ว เขาเพิ่งจูงม้าเดินเลี้ยวตรงหัวมุมถนน จู่ๆ ก็หยุดยืนนิ่งใช้ปลายเท้าเตะก้อนหินบนพื้นขึ้น หินก้อนนั้นก็พุ่งฉิวไปยังจุดหนึ่งอย่างฉับไวปานสายฟ้าแลบ
เสียงครางโอดโอยแผ่วเบาลอยแว่วมา เซ่าหมิงยวนสาวเท้าฉับๆ ไปตรงนั้น ก้มศีรษะลงมองชายหนุ่มที่ล้มลงนั่งกับพื้น
เขามีหน้าตาดาษดื่น แต่งกายด้วยเสื้อตัวสั้นกับกางเกง ข้างกายมีกระจาดหาบตั้งอยู่ บนนั้นวางของใช้กระจุกกระจิกนานาสารพัดเช่นผงชาด แป้งน้ำ เครื่องเย็บปักถักร้อย และอื่นๆ อีกมากมายละลานตา ท่าทางเป็นพ่อค้าเร่ขายของตามตรอกซอกซอยผู้หนึ่งนั่นเอง
โอ๊ย! เจ้าคนผู้นี้ เดินประสาอะไรกัน บนเท้าติดตะขอไว้หรืออย่างไร ชายหนุ่มผู้นั้นพลางลุกขึ้นพลางพูดบ่น
เซ่าหมิงยวนยกเท้าขึ้นนิดเดียว ชายหนุ่มหน้าตาดาษดื่นก็ล้มตึงกลับลงไปดังเก่า
เจ้า…เจ้า…
เซ่าหมิงยวนย่อกายลงพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ กลับไปบอกเจ้านายของพวกเจ้าว่าข้าไม่ชมชอบสุนัขตามบั้นท้าย หากมีคราวหน้าอีก จะมิใช่เตะขาแต่เพียงง่ายดายเท่านี้แล้ว
เซ่าหมิงยวนทอดสายตามองไป ชายหนุ่มกุมเป้ากางเกงตามความเคยชินทันใด
เซ่าหมิงยวนงุนงง … ปกติกององครักษ์จินหลินถีบจุดนี้เป็นการลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาหรือ
ชายหนุ่มผละมือออกอย่างเก้อกระดาก นิ่งคิดแล้วไม่อาจยอมให้บารมีของกององครักษ์จินหลินมัวหมองได้ เขาปั้นสีหน้าดุดันกล่าวขึ้น แม่ทัพเซ่า ท่านจะเป็นปรปักษ์กับพวกข้าองครักษ์จินหลินหรือ
องครักษ์จินหลินเป็นหูตาของโอรสสวรรค์ อยากสอดส่องผู้ใด ผู้ที่ถูกสอดส่องมีปากมีเสียงได้ที่ใดกัน
แววตาของเซ่าหมิงยวนเย็นชา เขาลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ กลับไปถามใต้เท้าของพวกเจ้าแทนข้าทีว่าจะเป็นปรปักษ์กับข้าเซ่าหมิงยวนจริงๆ ใช่หรือไม่
เขากล่าวคำนี้ทิ้งท้ายไว้แล้วพลิกกายขึ้นม้าจากไปโดยไม่เหลียวหลัง
เสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับๆ เซ่าหมิงยวนมองผืนฟ้าสีคราม หยักยิ้มอย่างอ่อนล้า
รอเมื่อเขาไปไกลแล้ว ชายหนุ่มตะกายตัวลุกขึ้นเดินวกวนไปตามตรอกนับไม่ถ้วนกลับไปยังที่ว่าการกององครักษ์จินหลินแล้วกล่าวรายงานต่อเจียงหย่วนเฉา
ใต้เท้า กวนจวินโหวผู้นั้นกำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว เขาถึงกับกล้าข่มขู่พวกเราองครักษ์จินหลิน ท่านวางใจได้ คราวหน้าข้าจะปลอมตัวเป็นขอทาน ไม่ให้เขาจับได้อย่างเด็ดขาด…
ไม่ต้องแล้ว
ใต้เท้า?
เจียงหย่วนเฉาเหยียดมุมปาก วันหน้าไม่ต้องติดตามเขาแล้ว
ชายหนุ่มผู้นั้นยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เจียงหย่วนเฉาตวัดสายตามองเขาแล้วกล่าวขึ้น เซ่าหมิงยวนมิใช่พวกสวะปลายแถวที่เจ้าเคยสะกดรอยตามมาก่อน วันหน้าไม่ต้องไปให้อับอายขายหน้าแล้ว
ขอรับ ชายหนุ่มขานรับอย่างไม่เต็มใจนัก
ในเวลานี้เององครักษ์จินหลินหนุ่มอีกคนหนึ่งก็เดินเข้ามาแล้วบอกเสียงเบา ใต้เท้า เรื่องที่ท่านให้ข้าสืบเมื่อพักก่อนได้เรื่องแล้วขอรับ
เจียงหย่วนเฉาพยักหน้า เขามองไปที่ชายหนุ่มคนแรกปราดหนึ่ง
ชายหนุ่มผู้นั้นรีบวิ่งไปปิดประตู
เจียงหย่วนเฉาข่มใจไว้แล้วบอกอย่างชัดเจน เจียงเฮ่อ ความหมายของข้าคือให้เจ้าออกไป!
เจียงเฮ่อมองผู้เป็นนายด้วยแววตาตัดพ้อ เขาเดินออกไปข้างนอกพลางบ่นอุบอิบ ทำกันเช่นนี้ได้อย่างไร ใต้เท้านับวันยิ่งลำเอียงขึ้นทุกที ส่งข้าไปติดตามกวนจวินโหวเจ้าเทพสังหารผู้นั้น แต่กลับส่งเจียงหลินไปสำมะเลเทเมาในหอคณิกาเมืองเป่ยติ้ง
เจียงหย่วนเฉาพูดอธิบายเสียงเรียบไล่หลังเขา เพราะเจียงหลินหน้าตาหล่อเหลากว่าเจ้า
เจียงเฮ่อหมดคำพูด … ยุคสมัยนี้จะไปหอคณิกาก็ดูที่รูปโฉมเช่นกันหรือ
ชายหนุ่มผู้ได้รับความสะเทือนใจรุนแรงจึงปิดประตูอย่างแค้นใจ
ฮึ ตาไม่เห็น ใจไม่หงุดหงิด!
ว่ามา
ใต้เท้า ข้าสืบได้แล้วว่าเหตุผลที่ท่านเจียงอู่ทำให้ท่านผู้บัญชาการใหญ่มีน้ำโห เพราะเขาไปพัวพันกับหญิงคณิกาผู้หนึ่งนามอิงอิงในเมืองเป่ยติ้งขอรับ
หญิงคณิกา?
ขอรับ หญิงคณิกาผู้นั้นเพิ่งตายไปไม่นานก่อนหน้านี้ บอกว่าติดโรคร้าย หลังนางจบชีวิตลงก็ถูกโยนทิ้งที่สุสานร้างในราตรีเดียวกัน แต่ว่า…
แต่ว่าอะไร
เจียงหลินลดสุ้มเสียงเบาลง ข้าพบโดยไม่ตั้งใจว่าดูเหมือนยังมีคนอื่นกำลังสืบเรื่องของหญิงคณิกาผู้นั้นอยู่ขอรับ
เจียงหย่วนเฉาหุบยิ้มตรงมุมปาก เขามีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นในที่สุด อย่างนั้นหรือ
ดูเหมือนเรื่องนี้ยิ่งมายิ่งน่าสนใจเสียแล้ว