หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 710
บทที่ 710
สีหน้าอึ้งงันไปของเจียงหย่วนเฉาตกอยู่ในสายตาของฮ่องเต้หมิงคัง เขาจ้องมองชายหนุ่มอย่างพินิจพิจารณา
เจียงหย่วนเฉาดึงสติคืนมาอย่างว่องไว “กระหม่อมมิได้จับตาดูเรื่องนี้อยู่พ่ะย่ะค่ะ จะอย่างไรคู่หมั้นของกวนจวินโหวก็เป็นเด็กสาวในห้องหอ…”
ฮ่องเต้หมิงคังชายตามองเขาพลางเอ่ยเสียงเรียบ “ดูทีว่าผู้บัญชาการเจียงยังเยาว์วัยอยู่”
เป็นหูเป็นตาของโอรสสวรรค์ จะเลือกเป้าหมายในการติดตามสอดแนมตามความคิดของคนทั่วๆ ไปได้อย่างไรกัน
เด็กสาวในห้องหอแล้วจะมีอันใด นางเป็นถึงคู่หมั้นของกวนจวินโหว!
ในใจของเจียงหย่วนเฉินเริ่มตึงเครียด เขาก้มหน้ากล่าวว่า “กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ ทรงโปรดลงอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังเพ่งมองเขาอึดใจหนึ่งก่อนจะกวาดตามองไปทางเว่ยอู๋เสีย “ไปยกของออกมา”
ชั่วครู่ต่อมา เว่ยอู๋เสียประคองถาดใบหนึ่งมาเบื้องหน้าเจียงหย่วนเฉา เขาทำสีหน้างุนงง
“อีกเจ็ดแปดวัน กวนจวินโหวก็น่าจะกลับถึงเมืองหลวงแล้วกระมัง”
เจียงหย่วนเฉาไม่กล้าชักช้ารีรอ เขากล่าวตอบทันทีว่า “ข่าวจากองครักษ์จินหลินที่กระหม่อมส่งไปเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ขณะนี้ทัพใหญ่กำลังเคลื่อนกลับเมืองหลวง แต่เพราะมีราษฎรตามมาส่งตลอดทาง ทำให้การเดินทางล่าช้าลงไปบ้าง”
ฮ่องเต้หมิงคังพยักหน้า “ผู้บัญชาการเจียง ก่อนกวนจวินโหวเข้าเมืองหลวง เราหวังว่าเจ้าจะนำสิ่งนี้ส่งไปให้ถึงมือคุณหนูสามสกุลหลี”
“นี่คือ…” เจียงหย่วนเฉาจ้องมองขวดกระเบื้องบนถาดตรงหน้าแล้วแววตานิ่งขึงไป มือที่สอดอยู่ในแขนเสื้อหลวมกว้างเริ่มสั่นระริก
ฮ่องเต้หมิงคังกล่าวเนิบๆ “ในเมื่อคนใต้หล้าล้วนพูดกันว่าคุณหนูสามสกุลหลีไม่รอดแล้ว ไยไม่คล้อยตามความประสงค์ของปวงประชา”
เขากลัดกลุ้มใจด้วยเรื่องชาติกำเนิดของกวนจวินโหวอยู่นานแล้ว การล้มป่วยของคุณหนูสามสกุลหลีในครานี้ทำให้มีวิธีแก้ไขได้ในที่สุด ถ้าหากคู่หมั้นของกวนจวินโหวจากโลกนี้ไป เขาก็รับกวนจวินโหวเป็นราชบุตรเขยได้ หลังกวนจวินโหวกลายเป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ก็น่าจะล้มเลิกความคิดที่ไม่พึงมีแล้วกระมัง
อืม บัดนี้องค์หญิงแปดกับองค์หญิงเก้าล้วนไม่มีข้อตำหนิในด้านรูปโฉมแล้ว ไม่ว่าคนไหนก็ไม่เลว ถึงตอนนั้นค่อยถามความเห็นของกวนจวินโหวก็แล้วกัน ถือเสียว่าให้เขาได้เลือกบ้าง
เจียงหย่วนเฉาไม่แสดงสีหน้าใดๆ แต่ไฟโทสะตรงกลางอกลุกโชน
คล้อยตามความประสงค์ของปวงประชาอะไรกัน บัดซบสิ้นดี ฮ่องเต้ถึงกับบังเกิดความคิดพรรค์นี้หรือนี่!
“ผู้บัญชาการเจียง เจ้าไปเถอะ เราจะรอข่าวดีจากเจ้า”
“ฝ่าบาท นอกจวนสกุลหลีมีองครักษ์ของกวนจวินโหวอยู่เป็นจำนวนมาก หากว่ากระหม่อมส่งคนไปจวนสกุลหลีเกรงว่าพวกเขาไหวตัวทัน ถึงเวลาพอคุณหนูสามเป็นอะไรไป กวนจวินโหวต้องเอะใจแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งถึงถอนใจเบาๆ “กวนจวินโหวกลับเอาใจใส่คู่หมั้นดี”
เจ้าลูกสุนัขผู้นั้นมีเล่ห์เหลี่ยมพอดู หากเขาสงสัยในการตายของคู่หมั้น เช่นนั้นจะได้ไม่คุ้มเสียแล้ว
ถ้าเป็นอย่างนี้จะใช้องครักษ์จินหลินไม่ได้
“ออกไปเถอะ”
“กระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในตำหนักเงียบเชียบ ฮ่องเต้หมิงคังยกฝ่ามือผอมยาวเคาะเท้าแขนของบัลลังก์มังกรไปเรื่อยเปื่อยอยู่นานสองนาน จู่ๆ ก็มองไปทางเว่ยอู๋เสีย “เว่ยอู๋เสีย ไปเรียกตัวลี่ผินมา”
ตอนลี่ผินได้ยินว่าถูกเรียกตัวเข้าเฝ้า นางงุนงงไปหมด
ฮ่องเต้เรียกนางไปเข้าเฝ้าหรือนี่ ซ้ำยังเป็นตอนกลางวันแสกๆ นี่แทบจะทำให้นางนึกว่าฝันไปเลยทีเดียว
กล่าวตามตรง แม้แต่พระพักตร์ของฮ่องเต้เป็นอย่างไร นางยังชักจำได้อย่างเลือนรางแล้ว
“พระสนมลี่ผิน เชิญเสด็จเถอะ ฝ่าบาทยังทรงรออยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
ลี่ผินติดตามขันทีน้อยไปถึงตำหนักเฉียนชิงแล้วเปลี่ยนเป็นเว่ยอู๋เสียพานางเข้าไป
นางไม่กล้าหายใจเสียงดัง ทั้งไม่กล้าเหลียวซ้ายแลขวา หลุบตาต่ำเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ยามสายตาปะทะเข้ากับชายเสื้อสีเหลืองสว่างก็รีบคุกเข่าลงถวายคำนับฮ่องเต้หมิงคัง
“ลุกขึ้นเถอะ” ฮ่องเต้หมิงคังสั่งให้ลี่ผินลุกขึ้น พอเขาเห็นใบหน้าของนางได้ถนัดถนี่ก็อึ้งงันไปเล็กน้อย
เอ๊ะ เขายังมีนางสนมที่โฉมงามปานนี้เชียวหรือนี่ ไฉนก่อนหน้านี้ถึงจำไม่ได้แล้ว
จริงสิ ลี่ผินผู้นี้มาจากวังของพระขนิษฐา ต่อมาเรายุ่งกับการบำเพ็ญตบะกับสกัดยาจนลืมไป อืม…เห็นทีว่าประเดี๋ยวต้องไปเดินเล่นที่ตำหนักในสักหน่อย ดีไม่ดีอาจได้พานพบหญิงงามอีกหลายคน
“มานั่งใกล้ๆ สิ”
ลี่ผินเดินตัวสั่นเงอะงะเข้าไปนั่งลง สายตาที่เพ่งมองมาของฮ่องเต้หมิงคังทำให้นางประหม่าเป็นพิเศษ
“เจ้าไม่ต้องตื่นเต้นเช่นนี้ เราเรียกเจ้ามาที่นี่เพราะอยากจะถามเจ้าเรื่องขององค์หญิงเก้า”
ลี่ผินสะดุ้งสุดตัว นางอดเหลือบตาขึ้นมองฮ่องเต้แวบหนึ่งไม่ได้ ก่อนจะหลุบเปลือกตาลงอย่างรวดเร็ว
“องค์หญิงเก้าปักปิ่นแล้วกระมัง”
ลี่ผินก้มหน้าเอ่ยตอบอย่างเลิ่กลั่กด้วยความตื่นเต้น “ปักปิ่นสองปีแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้หมิงคังนิ่งคิด พูดจาเป็นหรือไม่นี่
“อายุสิบเจ็ดปีไม่นับว่าน้อยแล้วจริงๆ สมควรเลือกสวามีได้แล้ว”
“ฝ่าบาทจะทรงคัดเลือกราชบุตรเขยให้องค์หญิงเก้าหรือเพคะ” พอได้ยินว่าเป็นเรื่องแต่งงานของบุตรสาว ความหวาดกลัวต่อพระบารมีพลันจางหายลงไปไม่น้อยทันใด นางไต่ถามด้วยน้ำเสียงแฝงความตื่นเต้นยินดี
“เจ้าเห็นว่ากวนจวินโหวเป็นอย่างไร”
ลี่ผินตะลึงงัน
“เจ้าทำใจกล้าๆ บอกมาได้เต็มที่”
“ราชบุตรเขยอย่างกวนจวินโหว…หาที่ติมิได้จริงๆ เพคะ”
ฮ่องเต้หมิงคังยิ้มน้อยๆ “นี่แสดงว่าเจ้าพอใจกวนจวินโหวเป็นอย่างมากสินะ”
ลี่ผินรู้สึกไม่ปกติอยู่บ้าง นางลังเลใจนิดหนึ่งก่อนกล่าว “หม่อมฉันได้ยินว่ากวนจวินโหวหมั้นหมายแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้หมิงคังหัวเราะร่า “กวนจวินโหวหมั้นหมายแล้วจริงๆ แต่เราได้ยินมาว่าคู่หมั้นของเขาป่วยหนัก น่าจะเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”
ลี่ผินสั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางมองสบสายตานิ่งเรียบเฉยเมยคู่นั้นของฮ่องเต้แล้วพลันกระจ่างแจ้งว่าอะไรเป็นอะไร
“เว่ยอู๋เสีย มอบของให้นาง”
พอเห็นขวดกระเบื้องสีขาวที่วางอยู่ตรงหน้า ลี่ผินหน้าถอดสีเล็กน้อย นางอิดๆ เอื้อนๆ ไม่กล้าแตะต้อง
“ไม่ได้พบเจ้ามาตั้งนาน เราทอดทิ้งไม่ไยดีเจ้าจริงๆ นี่เป็นของขวัญที่เราประทานให้เจ้า” ฮ่องเต้หมิงคังเห็นลี่ผินไม่แสดงปฏิกิริยาใดก็ทำหน้าขรึมลง “ว่าอย่างไร ของขวัญชิ้นนี้เจ้าไม่ถูกใจหรือ”
“หม่อมฉันถูกใจ ถูกใจเพคะ” ลี่ผินลุกลนรับขวดกระเบื้องสีขาวไว้
ฮ่องเต้หมิงคังเอนหลังไปพิงพนักบัลลังก์มังกรอย่างสบายกาย เอ่ยพร้อมรอยยิ้มจริงๆ “รอเราฝึกวิปัสสนาเสร็จแล้วจะไปนั่งเล่นที่ตำหนักของเจ้า เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
“หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
ฮ่องเต้หมิงคังพยักหน้ากับเว่ยอู๋เสียซึ่งเข้าใจความหมายนี้ดี เขาออกไปส่งลี่ผินด้วยตนเอง
“กระหม่อมขอทูลแสดงความยินดีต่อพระสนมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ริมฝีปากของลี่ผินเผือดขาว “เว่ยกงกงกล่าวล้อเล่นแล้ว”
“จะเป็นการกล่าวล้อเล่นได้เช่นไรกัน พระสนมทรงมีของขวัญของฮ่องเต้แล้ว ยังต้องกลัดกลุ้มพระทัยว่าองค์หญิงเก้าจะไม่มีพระสวามีดีๆ อีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ลี่ผินหน้าซีด เพียงรู้สึกว่าขวดกระเบื้องที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อเป็นดั่งเผือกร้อนในมือ แต่กลับโยนทิ้งไม่ได้
เว่ยอู๋เสียเห็นท่าทางนี้ของนางแล้วหัวเราะเสียงต่ำๆ “พระสนมทรงกลัวอะไรเล่า ในแผ่นดินนี้จะมีบุตรเขยดีเลิศเช่นกวนจวินโหวสักกี่คนกัน เรื่องทั้งหมดมีองค์ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยให้พระองค์นะพ่ะย่ะค่ะ”
กล่าวถึงตรงนี้ เว่ยอู๋เสียขยับเข้าไปใกล้ขึ้นก้าวหนึ่ง กระซิบที่ข้างใบหูนาง “พระสนมวางพระทัยได้ นั่นมิใช่ชนิดที่ออกฤทธิ์ทันที คนทั่วไปทนได้สี่ห้าวันก็ป่วยตาย ใครจะรู้เล่า”
เมื่อสบสายตาแฝงแววยิ้มๆ ของเว่ยอู๋เสีย หัวใจที่เต้นถี่รัวของลี่ผินพลันสงบลง
จริงสิ นางต้องกลัวอะไร ขอแค่คุณหนูสามสกุลหลี ‘ป่วยตาย’ ไปแล้ว กวนจวินโหวก็คือพระสวามีของบุตรสาวนาง ถึงตอนนั้นเจินเจินก็มีคู่ชีวิตที่ฝากความสุขชั่วชีวิตได้แล้ว
ฮ่องเต้อยากยกองค์หญิงให้แต่งงานกับกวนจวินโหว แสดงให้เห็นว่าพระองค์ให้ความสำคัญต่อเขา ภายภาคหน้าเจินเจินไม่ต้องลำบากแล้ว
ลี่ผินกลับถึงตำหนักบรรทมก็เรียกองค์หญิงเจินเจินมา นางสั่งให้ทุกคนออกไปแล้วถึงเล่าความประสงค์ของฮ่องเต้หมิงคังให้อีกฝ่ายฟังอย่างลับๆ
ใบหน้าขององค์หญิงเจินเจินซีดขาวราวกระดาษ “เสด็จแม่ หม่อมฉันกระทำเรื่องพรรค์นี้ไม่ได้เพคะ”
ลี่ผินได้ยินก็ร้องไห้ “เจินเจิน นี่เป็นพระประสงค์ของเสด็จพ่อ เจ้ารู้ผลลัพธ์ของการปฏิเสธหรือไม่ เสด็จพ่อมอบเรื่องนี้ให้ข้าไปจัดการ หากข้าไม่ลงมือ เสด็จพ่อไม่มีทางละเว้นโดยง่ายเป็นแน่”