หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 712
บทที่ 712
องค์หญิงเจินเจินมาที่จวนสกุลหลีอย่างเงียบเชียบ เพียงพาองครักษ์นามหลงอิ่งกับนางกำนัลผู้หนึ่งติดตามมา
เฉียวเจาต้อนรับนางที่เรือนพำนักของตน สีหน้าของนางซีดเซียวโดยตลอดจากการบาดเจ็บเสียเลือด สองแก้มก็ซูบตอบอยู่แต่แรก จึงไม่จำเป็นต้องแต่งโฉมก็ดูเป็นคนป่วยแล้ว
“องค์หญิงทรงต้องลำบากเสด็จมาเยี่ยม หม่อมฉันละอายแก่ใจจริงๆ เพคะ”
เฉียวเจาทำท่าจะลุกขึ้น แต่องค์หญิงเจินเจินห้ามไว้ “คุณหนูหลีไม่ต้องเกรงอกเกรงใจข้า ข้า…ข้าควรมาเร็วกว่านี้”
“คิดไม่ถึงว่าเรื่องของข้าจะแพร่ไปถึงในวังหลวง” เฉียวเจาหยักยิ้มอย่างมีนัยลึกล้ำ
องค์หญิงเจินเจินกล่าวด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “คุณหนูหลีฉายรัศมีโดดเด่นในงานเลี้ยงรับรองคณะทูตซีเจียง อีกทั้งเป็นคู่หมั้นของกวนจวินโหว เดิมทีก็เป็นคนที่ใครๆ จับตามองอยู่ ในวังหลวงก็มิใช่ข้อยกเว้น”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้ นี่ทำให้ข้าละอายยิ่งนัก”
องค์หญิงเจินเจินมองสำรวจใบหน้าของนางอย่างละเอียด เห็นนางหน้าซีดไม่มีสีเลือดสักนิด ปลายคางแหลมเรียวจนแทบไม่มีเนื้อมีหนัง จึงกัดริมฝีปากแล้วกล่าวขึ้น “คุณหนูหลีดูท่าทางซูบผอมลงไปมาก ตอนนี้ร่างกายท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
เฉียวเจายิ้มอย่างสุภาพนุ่มนวล “ดีขึ้นมากแล้วเพคะ สองวันก่อนยังไม่มีแรงพูดด้วยซ้ำไปเพคะ”
“เช่นนั้นคุณหนูหลีต้องพักรักษาตัวให้เต็มที่ ข้าได้ยินว่ากวนจวินโหวกำลังกรีธาทัพกลับมาพร้อมชัยชนะแล้ว ให้เขาเห็นท่านในสภาพนี้คงต้องเป็นห่วงแน่”
“ขอบพระทัยที่ทรงห่วงใย หม่อมฉันจะพักรักษาตัวอย่างเต็มที่เพคะ”
องค์หญิงเจินเจินหันไปรับกล่องอาหารในมือนางกำนัลมา “นี่เป็นขนมที่ข้าทำเองกับมือ เป็นตำรับลับประจำตระกูลของนางกำนัลเก่าแก่ผู้หนึ่งในวัง ขนมนี้มีรสหวานหอมมาก ถ้าคุณหนูสามไม่รังเกียจก็ลองลิ้มชิมรสได้”
เฉียวเจาอมยิ้มกล่าวขอบคุณ
องค์หญิงเจินเจินไม่ได้มีท่าทีคะยั้นคะยอให้เฉียวเจากินขนมทันที นางนั่งต่ออีกครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ช้อนตาขึ้นเอ่ยถาม “คุณหนูหลี ท่านเห็นว่า…พวกเราเป็นสหายกันหรือไม่”
เฉียวเจาอึ้งงันไปกับคำถามนี้
องค์หญิงเจินเจินหลุบเปลือกตาลงเพ่งมองลายดอกหางเหยี่ยวบานสะพรั่งตรงชายกระโปรง “ข้ากับหร่านรานเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่สมัยวัยเยาว์จนกลายเป็นสหายสนิทกันไปโดยปริยาย บัดนี้คิดไปแล้ว นอกจากนาง ดูเหมือนข้าไม่ค่อยได้ผูกมิตรกับสตรีคนอื่นๆ สักเท่าไร คนนอกวังที่รุ่นราวคราวเดียวกันที่ข้าได้พูดจาวิสาสะบ่อยที่สุดกลับกลายเป็นคุณหนูหลีเสียได้”
นางพูดพลางค่อยๆ ช้อนตาขึ้นสบตากับเฉียวเจา เผยรอยยิ้มงดงามเหลือหลาย “ดังนั้นข้าไม่รู้ว่าอย่างพวกเรานี้นับเป็นสหายได้หรือไม่”
เฉียวเจามององค์หญิงเจินเจิน มิได้กล่าวตอบในชั่วขณะ
คำว่า ‘สหาย’ ในความคิดของนางน่าจะแตกต่างจากองค์หญิงเจินเจิน
ในความคิดของนางคือคนที่เปิดเผยจริงใจและร่วมเป็นร่วมตายกันได้ หรือไม่ก็เป็นไมตรีระหว่างวิญญูชนผู้รู้ใจกัน เช่นนี้จึงนับว่าสหายที่แท้ ส่วนนางกับองค์หญิงเจินเจินพบปะกันไม่บ่อย มิหนำซ้ำการพบปะกันเหล่านั้นล้วนมิใช่ความทรงจำที่น่าอภิรมย์อันใด
เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากเฉียวเจา ดวงตาขององค์หญิงเจินเจินมีรอยหดหู่หงอยเหงาจุดวาบขึ้น นางลุกขึ้นยืนกล่าว “เวลาไม่เช้าแล้ว ข้าสมควรกลับวังได้แล้ว”
เฉียวเจายันตัวขึ้น
“คุณหนูหลีไม่ต้องส่งข้า ข้ามาเยี่ยมท่าน หากรบกวนการพักผ่อนของท่านก็จะไม่ดีแล้ว”
เฉียวเจากลับไม่ยอมเสียมารยาทกับองค์หญิง นางฝืนลุกขึ้นเอ่ย “หม่อมฉันจะไปส่งองค์หญิงที่หน้าประตูลานเรือน วันหลังองค์หญิงเสด็จออกจากวังก็มาเที่ยวเล่นที่นี่ได้เพคะ”
องค์หญิงเจินเจินแย้มปากยิ้มช้าๆ “ได้”
นางมองกล่องขนมที่วางอยู่บนโต๊ะแวบหนึ่งก่อนจะพานางกำนัลเดินออกไป ตอนสาวเท้าผ่านริมหน้าต่าง นางชะงักฝีเท้าทอดสายตามองออกไปข้างนอก “คุณหนูหลี กอกล้วยนอกหน้าต่างท่านสีสันงดงามจริงๆ”
นางไม่อยากกลับไปในวังหลวงที่เย็นยะเยือกแห่งนั้น อิฐทุกก้อนกระเบื้องทุกแผ่นของที่นั่นล้วนแฝงไว้ด้วยความแห้งแล้งแข็งกระด้างไร้ชีวิตชีวาใดๆ ไหนเลยจะเทียบได้กับความเขียวชอุ่มสดใสของนอกวัง
“คุณหนูหลี ไม่ต้องส่งข้าแล้ว”
เฉียวเจาหยุดยืนแล้วยอบกายน้อยๆ “น้อมส่งองค์หญิงเพคะ”
จวบจนมองไม่เห็นแผ่นหลังขององค์หญิงเจินเจินแล้ว เฉียวเจาถึงเกาะผนังเรือนหอบหายใจเฮือกหนึ่ง นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อเย็นที่ผุดซึมออกมาบนหน้าผาก
ปิงลวี่เบะปากกล่าวขึ้น “นี่มาเยี่ยมคุณหนูที่ไหนกันเจ้าคะ จะทรมานผู้อื่นแต่ประการเดียวแท้ๆ”
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว พยุงข้ากลับไป”
พอเห็นริมฝีปากขาวซีดของคุณหนูตน ปิงลวี่ยังคงโมโหโทโส นางประคองเฉียวเจาอย่างระมัดระวังไปพลางบ่นอุบอิบไปพลาง “คุณหนู ท่านเป็นคนป่วย ปกติก็ไม่ต้องออกมาส่งแขกนะเจ้าคะ”
ปิงลวี่เห็นบาดแผลตามตัวคุณหนูแล้วยังตกใจแทบตาย แม้ว่าตอนนี้จะตกสะเก็ดแล้ว แต่พอขยับนิดเดียวนางก็เจ็บไปทั้งตัว ช่างน่าสงสารจริงๆ
“นางเป็นองค์หญิง” เฉียวเจาไม่พูดกับสาวใช้น้อยมากไปกว่านี้อีก นางกลับถึงห้องก็มองกล่องขนมบนโต๊ะด้านข้างด้วยท่าทางครุ่นคิด
เจียงหย่วนเฉาตั้งใจส่งคนมาเตือนให้ระวังคนที่มาจากวังหลวง หรือจะบอกว่าองค์หญิงเจินเจินแอบใส่อะไรลงไปในขนมกล่องนี้
“ปิงลวี่ เอากล่องขนมมานี่”
ปิงลวี่หยิบกล่องขนมมาให้นาง “คุณหนู จะเปิดออกหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเจาพยักหน้า
ปิงลวี่เปิดกล่องขนมออก ในนั้นเป็นขนมโก๋ไส้พุทราแดงทำเป็นรูปทรงดอกกุหลาบจานหนึ่ง มองออกได้ว่าคนที่ทำขนมพวกนี้มีความพิถีพิถันใส่ใจอย่างมาก
“องค์หญิงยังทำขนมหน้าตาสวยงามเช่นนี้เป็นด้วย” ปิงลวี่มีสีหน้าอัศจรรย์ใจ
เฉียวเจาอดยิ้มไม่ได้ “ไปหยิบถุงผ้าปักของข้ามาสิ”
“คุณหนู ถุงผ้าปักของท่านเจ้าค่ะ”
เฉียวเจารับถุงผ้าปักไว้แล้วหยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งออกมาแทงเข้าไปในขนมโก๋ช้าๆ ไม่นานนักก็ดึงออกมา เข็มเงินไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด
ปิงลวี่ตื่นตกใจ “คุณหนู นี่ท่านทำอะไรเจ้าคะ”
เฉียวเจาเพ่งมองเข็มเงินอย่างใจลอย
“อ้อ ข้ารู้แล้ว คุณหนูกลัวองค์หญิงปองร้ายท่านกระมัง” ปิงลวี่จ้องเขม็งที่ขนมอย่างรังเกียจสุดจะเปรียบ “ข้าจะเอาขนมพวกนี้ไปเททิ้งเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”
“อย่าแตะต้อง” เฉียวเจาหยิบขนมโก๋ชิ้นหนึ่งมาจ่อใต้จมูกดมกลิ่น
พวกพิษต้นเจี้ยนเซวี่ยเฟิงโหวนั้นล้วนใช้เข็มเงินทดสอบได้เกือบหมด แต่ยาที่มีฤทธิ์อ่อนจำพวกยาสลบมักตรวจไม่พบ มีเพียงอาศัยสีและกลิ่นช่วยแยกแยะออกได้
“คุณหนู!” พอเห็นเฉียวเจาเอาเศษขนมโก๋ใส่ปาก ปิงลวี่ก็พลันหน้าเสียด้วยความตกใจยกใหญ่ นางถลันเข้าไปห้าม
เฉียวเจายกมือสั่งให้นางอยู่นิ่งๆ แล้วลิ้มรสชาติอย่างละเอียดครู่หนึ่ง เรียวคิ้วถึงคลายออก
ขนมไม่มีปัญหา
แต่เพราะว่ามันไม่มีปัญหานี่เอง เฉียวเจากลับงุนงงเสียแล้ว
หรือจะบอกว่าองค์หญิงเจินเจินยังมีไม้เด็ดรออยู่ข้างหลัง ไม่เช่นนั้นก็…คำเตือนของเจียงหย่วนเฉามีจุดมุ่งหมายอื่นแอบแฝงอยู่
เฉียวเจายิ่งคิดยิ่งไขเงื่อนงำไม่ออก
“คุณหนู ท่านรีบเอนกายลงนอนพักเถอะเจ้าค่ะ สีหน้าท่านย่ำแย่อย่างนี้ ประเดี๋ยวท่านเขยกลับมาเห็นจะต้องปวดใจเป็นแน่”
“เจ้าว่าอะไรนะ” เฉียวเจางงงัน
ปิงลวี่กะพริบตาปริบๆ “ข้าบอกว่าท่านแม่ทัพกลับมาเห็นท่านเป็นอย่างนี้ต้องปวดใจแน่ ยามนี้คนภายนอกพากันเล่าลือว่าท่านป่วยหนักแล้ว แต่ละคนปากเสียจริงๆ ขืนให้ท่านแม่ทัพรู้เข้าจะเป็นห่วงแค่ไหน”
เฉียวเจาสะดุ้งโหยงในใจ นางแจ่มแจ้งอะไรบางอย่างได้ในบัดดล
ตอนนี้ข้างนอกมีข่าวลือว่านางป่วยหนัก หากนางมีอันเป็นไปจริงๆ กวนจวินโหวก็จะกลับมาเป็นบุตรเขยเนื้อทองในสายตาของคนทั่วแผ่นดินอีกครั้ง หนำซ้ำเป็นบุตรเขยเนื้อทองระดับที่ทำให้พระทัยของฮ่องเต้เอนเอียงได้!
สำหรับโอรสสวรรค์พระองค์นี้ ฐานะบุตรกำพร้าของขุนนางต้องโทษที่ล่วงลับไปแล้วของกวนจวินโหวนั้นชวนให้ตะขิดตะขวงใจยิ่ง แล้วยังจะมีอะไรที่ทำให้วางใจได้มากไปกว่าเขากลายเป็นบุตรเขยของตนอีกเล่า
เมื่อคิดจุดนี้ได้ปรุโปร่ง เฉียวเจาเข้าใจแจ่มแจ้งถึงจุดประสงค์ในการมาเยี่ยมเยือนครานี้ขององค์หญิงเจินเจิน รวมถึงคำเตือนอย่างกำกวมของเจียงหย่วนเฉาได้แล้ว
ฮ่องเต้อยากรับกวนจวินโหวเป็นราชบุตรเขย เช่นนั้นไฉนคู่หมั้นที่ ‘ป่วยหนัก’ อย่างนางถึงไม่รีบหลีกทางโดยไวเล่า
กระนั้นโอรสสวรรค์ของแผ่นดินย่อมลงมือเองไม่ถนัดเป็นแน่ เรื่องนี้จึงตกเป็นหน้าที่ขององค์หญิงเก้า
ทว่าขนมนี้ไม่มีปัญหา… เฉียวเจาใจดิ่งวูบ