หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 716
บทที่ 716
องค์หญิงเจินเจินนับเป็นคนโปรดของไทเฮา พอมีข่าวว่านางป่วยหนักแพร่ออกมา พระสนมชายาทุกตำหนักพากันมาเยี่ยมเยียน แต่ไม่มีใครคนใดได้พบหน้านาง ในชั่วเวลาสั้นๆ หมอหลวงก็วินิจฉัยว่าเตรียมจัดพิธีศพให้องค์หญิงเจินเจินได้แล้ว
เมื่อความไปถึงไทเฮา นางส่งขันทีนามไหลสี่มาสอบถาม คำตอบที่ได้รับคือเสียงร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจของลี่ผิน
“ไฉนอยู่ดีๆ ก็ป่วยหนักขนาดนี้ ข้าจะไปดูสักหน่อย” ไทเฮาคิดถึงความว่านอนสอนง่ายและฉลาดรู้ความของหลานสาวที่ปรนนิบัติเอาใจผู้เป็นย่าเสมอมาแล้วบังเกิดความสงสาร เตรียมตัวจะเสด็จไปตำหนักบรรทมขององค์หญิง แต่ไหลสี่กลับเอ่ยทักท้วง
“ไทเฮา อาการป่วยขององค์หญิงเก้าทรุดหนักรวดเร็วรุนแรง อีกทั้งสาเหตุของโรคยังไม่กระจ่าง หมอหลวงบอกว่าให้เตรียมจัดพิธีศพแล้ว ถ้าเกิดนำความอัปมงคลมาสู่พระองค์จะเป็นเรื่องใหญ่นะพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาลังเลใจนานสองนานก่อนถอนใจเฮือก “ช่างเถอะ ไหลสี่ เจ้าไปหาเว่ยอู๋เสีย บอกให้เขาทูลรายงานเรื่ององค์หญิงเก้าต่อฮ่องเต้ เด็กผู้นั้นเป็นที่โปรดปรานเอ็นดูของข้าอย่างมาก จะให้นางลาลับไปอย่างเงียบเหงาวังเวงเช่นนี้มิได้ สำนักการพระราชวงศ์และสำนักพิธีกรรมต้องรีบจัดเตรียมงานศพได้แล้ว พิธีศพ…เทียบเท่ากับขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขั้นหนึ่ง…”
ไหลสี่ไปบอกความต่อเว่ยอู๋เสียโดยไม่รอช้า
เขาได้ยินแล้วตะลึงงัน
พอเห็นเว่ยอู๋เสียไม่ขยับกาย ไหลสี่จึงกล่าวเร่ง “เว่ยกงกง ท่านรีบไปกราบทูลฝ่าบาทเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นองค์หญิงพระองค์หนึ่ง”
เว่ยอู๋เสียทำหน้าอ่อนใจ “ข้าก็อยากกราบทูลฝ่าบาทเหมือนกัน แต่ฝ่าบาททรงป่าวประกาศตั้งแต่เช้าแล้วว่าจะจำศีล!”
ฮ่องเต้หมิงคังฝักใฝ่ในการบำเพ็ญตบะ เขาอดใจมานาน ในที่สุดก็เก็บตัวจำศีลอีกครั้งอย่างทนไม่ไหว เว่ยอู๋เสียนึกภาพสีพระพักตร์ตอนเสด็จออกมาแล้วรู้ข่าวการตายขององค์หญิงได้แล้ว
“นี่…นี่จะทำอย่างไรกันดี” ไหลสี่ฟังแล้วปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างหนัก
“ยังจะทำเช่นไรได้เล่า แจ้งทางสำนักการพระราชวงศ์กับสำนักพิธีกรรมให้จัดเตรียมก่อนสิ”
หลงอิ่งกำลังฝึกกระบี่อยู่ เขาได้ข่าวว่าองค์หญิงเจินเจินป่วยหนักใกล้สิ้นใจก็ทิ้งกระบี่ยาวลงบนพื้นดังเคร้ง ชักเท้าออกวิ่งไปทางตำหนักบรรทมของนาง
“หลงอิ่ง เจ้าเสียสติไปแล้ว ที่นั่นใช่ที่ที่เจ้าจะบุกเข้าไปได้รึ!” องครักษ์คนอื่นห้ามเขาไว้
“หลีกทาง!” ใบหน้าของหลงอิ่งไม่เผยอารมณ์ใด แต่ในดวงตาทอประกายอำมหิต
เมื่อวานองค์หญิงเพิ่งพบกับเขา จะเป็นโรคร้ายแรงกะทันหันได้อย่างไร
ครั้นนึกไปถึงที่เมื่อวานองค์หญิงเจินเจินพูดคุยกับตนนานเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับที่ผ่านมาแล้ว หัวใจของหลงอิ่งคล้ายโดนธนูเสียบทะลุนับพันดอก เขาเจียนคลุ้มคลั่งเต็มที
องค์หญิงไม่ได้ล้มป่วยอย่างเด็ดขาด แต่ถูกคนปองร้ายแน่นอน!
“หลงอิ่ง เจ้าใจเย็นสักนิด บุกรุกตำหนักบรรทมขององค์หญิง เจ้าต้องตายนะ!”
“ข้าเป็นองครักษ์ข้างพระวรกาย หากเกิดเรื่องขึ้นกับองค์หญิง เดิมทีข้าก็ไม่สมควรมีชีวิตรอดคนเดียว ข้าจะพูดซ้ำอีกครั้ง หลีกทาง หาไม่แล้วอย่าหาว่าข้าไม่ยั้งมือไว้ไมตรี”
“ได้ เจ้าอยากไปตาย พวกข้าก็ไม่ห้าม แต่เจ้าต้องตรองดูให้ดีๆ เจ้าทะเล่อทะล่าบุกเข้าไปแบบนี้จะได้พบองค์หญิงหรือไม่ ดีไม่ดีองค์หญิงทรงไม่เป็นไร แต่เจ้ากลับจบชีวิตกลางดงดาบไปแล้ว”
หลงอิ่งทิ้งมือลงข้างลำตัว เขามองไปทางตำหนักบรรทมขององค์หญิงเจินเจินเนิ่นนานโดยไม่ละสายตา
“ใต้เท้า องค์หญิงเก้าแย่แล้วขอรับ” องครักษ์จินหลินผู้หนึ่งกล่าวรายงานต่อเจียงหย่วนเฉาเสียงเบา
เขาขมวดคิ้วน้อยๆ นี่แสดงว่านางไม่ได้กินยาถอนพิษของคุณหนูเฉียว
ช่างเถอะ เขาทำสุดความสามารถแล้ว แต่องค์หญิงเก้ามีใจอยากตายก็โทษผู้อื่นไม่ได้
ตอนแรกเจียงหย่วนเฉาจะวางมือไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ขวดกระเบื้องใบเล็กที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อทำให้เขาลังเลใจ
ถ้าองค์หญิงเก้าตาย นางคงต้องเสียใจกระมัง
เขาผิดต่อนางแต่แรก หากทำให้นางเสียใจน้อยลงบ้างก็คงดี
เจียงหย่วนเฉาถอนใจเบาๆ หยิบขวดกระเบื้องออกมายัดใส่มือองครักษ์จินหลิน “หาทางนำสิ่งนี้ไปให้ขันทีน้อยผู้นั้น ให้เขามอบให้กับคนที่องค์หญิงเก้าเชื่อใจมากที่สุด”
หากองค์หญิงเก้าได้กินยาถอนพิษเม็ดนี้ บางทีอาจทนต่อไปได้ไหว เมื่อเป็นเช่นนี้อย่างน้อยก็ยืดเวลาให้พวกหมอหลวงรักษาชีวิตของนางไว้ได้
เขาทำได้เพียงเท่านี้ ส่วนที่เหลือก็สุดแท้แต่บุญกรรมของนางเอง
ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลงอิ่งเดินวนเวียนอยู่นอกตำหนักบรรทมขององค์หญิงเจินเจิน
ด้วยชายหญิงต่างกัน ถึงแม้เขาจะเป็นองครักษ์ประจำตัวขององค์หญิงเจินเจิน แต่ปกติไม่อาจเหยียบย่างเข้าตำหนักบรรทมของนางแม้แต่ครึ่งก้าว บัดนี้มันกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดไม่ให้เขาได้พบนาง
หลงอิ่งแหงนหน้ามองท้องฟ้าสลัวๆ อย่างเหม่อลอย
ผืนนภาในเขตพระราชฐานแลดูคับแคบหม่นมัวเสมอ เห็นแล้วชวนให้อึดอัดหดหู่ใจ
รอให้ฟ้ามืดสนิทแล้ว บางทีเขาอาจหาโอกาสได้
หลงอิ่งหมุนกายขวับเงื้อฝ่ามือซัดออกไป “ใคร”
“อย่าทำข้าๆ”
หลงอิ่งจับสาบเสื้อของคนผู้นั้นกระชากตัวมาใกล้ๆ เขาอาศัยแสงโคมที่จุดสว่างแล้วมองเห็นได้ชัดถนัดตาว่าเป็นขันทีน้อยหน้าตาดาษดื่นผู้หนึ่ง
ขันทีน้อยอย่างนี้พบเห็นได้ทั่วทุกที่ในวังหลวง ถึงเคยเห็นครั้งหนึ่งก็ยากมากที่จำหน้าได้
หลงอิ่งไม่ชอบกล่าววาจา เขามองขันทีน้อยอย่างเย็นชา
“ท่านปล่อยมือสิ ข้าหายใจไม่ออกแล้ว”
หลงอิ่งคลายมือออกแต่ยังจ้องมองเขาตาเขม็ง ตั้งท่าพร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ
ขันทีน้อยยื่นขวดกระเบื้องส่งให้
ดวงตาของหลงอิ่งทอแววฉงน
“ยาถอนพิษ สามารถสลายฤทธิ์ของพิษในพระวรกายองค์หญิง…”
ขันทีน้อยยังพูดไม่ทันจบก็โดนหลงอิ่งบีบคอไว้ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าองค์หญิงโดนพิษ”
ขันทีน้อยกุมปากไอโขลกๆ
หลงอิ่งปล่อยมือแล้วพูดเสียงต่ำ “พูด ไม่เช่นนั้นจะปลิดชีพเจ้าซะ!”
ขันทีน้อยกลับไม่มีท่าทางหวาดกลัวให้เห็น เขาพูดเยาะๆ “ขืนท่านลงไม้ลงมือจนเกิดเสียงดังแบบนี้ไปเรื่อยๆ เช่นนั้นองค์หญิงคงไม่รอดแล้วจริงๆ ข้าน่ะนะเป็นผู้น้อยคอยทำงานตามคำสั่ง เรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่นั้นหาได้กระจ่างแจ้งไม่ ถึงท่านตีข้าจนตาย ข้าก็ไม่รู้อยู่ดี”
“แล้วเจ้ารู้อะไรบ้าง”
“ข้ารู้แค่ว่าในขวดกระเบื้องนี้คือยาถอนพิษ หลังเอาให้องค์หญิงเก้าเสวยแล้วบางทีนางอาจทนต่อไปได้ไหว และถ้าโชคดีล่ะก็ ไม่แน่ว่าจะรอจนหมอหลวงมาช่วยรักษาได้”
หลงอิ่งจับขวดกระเบื้องไว้แน่นๆ เขาพลันยกมือสอดเข้าอกเสื้อดึงหยกชิ้นหนึ่งออกมายัดใส่มือขันทีน้อย “เจ้ายังรู้อะไรอีก โปรดบอกข้าที”
หยกพกชิ้นนี้เป็นของที่องค์หญิงเคยประทานให้ เขาไม่ยอมเหน็บไว้ข้างนอกเพราะกลัวว่ามันจะถลอกเป็นรอย เลยเก็บไว้อย่างมิดชิดติดตัวตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้องค์หญิงยังเคยโกรธเคืองที่เขาไม่รู้จักใช้เครื่องประดับอาภรณ์
ขันทีน้อยตาแหลมไม่เลว มองแวบเดียวก็ดูออกว่าหยกพกนี้มิใช่ของสามัญ เขาเห็นหลงอิ่งแสดงท่าทางอย่างนี้ก็บังเกิดความสงสารเห็นใจอยู่หลายส่วน เก็บหยกพกขึ้นเงียบๆ แล้วมองซ้ายมองขวาก่อนกล่าว “ข้าเคยมอบยาถอนพิษให้องค์หญิงมาแล้ว”
หลงอิ่งอึ้งงันไป เขาซักไซ้ต่อ “ตกลงว่าใครเป็นคนมอบยาถอนพิษให้”
“คุณหนูท่านหนึ่ง เอาล่ะ ท่านอย่าถามอีกเลย ถามไปข้าก็ไม่รู้แล้ว” ขันทีน้อยโบกมือไปมาแล้ววิ่งปรูดหนีไป
คุณหนูท่านหนึ่งหรือ
หลงอิ่งบีบมือกำขวดกระเบื้อง ในหัวมีคำตอบหนึ่งผุดขึ้น
ตกดึก ผืนเมฆหนาทึบบดบังแสงจันทร์และหมู่ดวงดาวไว้ จุดที่แสงโคมราชสำนักสาดส่องไปไม่ถึงจึงมืดมิดมากขึ้น
หลงอิ่งเล็ดลอดเข้าไปในตำหนักบรรทมขององค์หญิงเจินเจิน เขาเสาะหาไปตามเสียงร่ำไห้แว่วๆ คล้ายมีไม่มีจนพบเรือนที่พำนักของนาง
ไม่รู้ว่ารอคอยอยู่นานเท่าไร เสียงร้องไห้ค่อยๆ เงียบหายไป หลงอิ่งได้ยินเสียงพูดดังมาจากข้างใน
“พระสนมทรงกันแสงจนบรรทมไปแล้ว”
“ข้าไปหยิบฉลองพระองค์มา เจ้าอยู่เฝ้าพระสนมไว้ให้ดีๆ”
“อื้อ”
เสียงสนทนาของนางกำนัลฟังดูอู้อี้คล้ายผ่านการร้องไห้มา เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพวกนางล้วนรู้ว่าองค์หญิงเจินเจินคงยากจะทนผ่านราตรีนี้ไปได้ แต่กลับไม่มีใครกล้าพูด
หลงอิ่งแลลอดรอยแยกหน้าต่างเห็นนางกำนัลที่ดวงตาแดงก่ำนางหนึ่งยืนเฝ้าอยู่ข้างเตียง ส่วนลี่ผินนอนฟุบอยู่ที่ริมเตียงหลับไปแล้ว
เขาดีดนิ้วมือเบาๆ ก้อนเงินเล็กๆ ก้อนหนึ่งก็พุ่งไปโดนท้ายทอยของนางกำนัล
นางร้องครางเสียงหนึ่งก่อนตัวอ่อนระทวยล้มลงตรงข้างเตียง
หลงอิ่งฉวยจังหวะนี้แอบย่องเข้าไป
องค์หญิงเจินเจินที่นอนอยู่บนเตียงแข็งทื่อไปทั้งตัว ใบหน้าเริ่มเขียวคล้ำ
หลงอิ่งมองปราดเดียว ในลำคอก็มีโลหิตพลุ่งขึ้นมาระลอกหนึ่ง แต่เขาฝืนกลืนมันกลับลงไปทันที