หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 717
บทที่ 717
หลงอิ่งสับสันมือที่หลังคอลี่ผินทีหนึ่ง จากนั้นยื่นมือไปอังใต้จมูกองค์หญิงเจินเจิน นิ้วมือที่สั่นเทาสัมผัสโดนผิวกายของนางโดยไม่ตั้งใจ ทำให้เขาหดมือกลับตามสัญชาตญาณ ดวงตาเขาทอแววขุ่นเข้มอ่านความรู้สึกไม่ออก
ลมหายใจของนางอ่อนรวยรินมากทำให้หลงอิ่งหน้าเสีย เขาขบกรามแน่นๆ หยิบขวดกระเบื้องมาเทยาถอนพิษออกมาป้อนใส่ปากองค์หญิงเจินเจิน
เสียงฝีเท้าดังลอยมา
หลงอิ่งพลิ้วกายพุ่งไปเบื้องหน้านางกำนัลที่ไปหยิบฉลองพระองค์ นางไม่ทันร้องอุทานด้วยความตกใจ เขาก็ตีนางสลบแล้ววางตัวลงนอนบนพื้น
เมื่อย้อนกลับไปที่ข้างกายองค์หญิงเจินเจิน หลงอิ่งลังเลชั่วพริบตาเดียวก็โน้มตัวไปอุ้มนางขึ้นแล้วออกไปตามทางเก่าอย่างเงียบเชียบ
เขาเป็นองครักษ์ที่เข้านอกออกในเขตพระราชฐานมาตั้งแต่วัยเยาว์ จึงคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอันมาก หลังออกจากตำหนักบรรทมขององค์หญิงเจินเจิน หลงอิ่งหลบหลีกทหารยามลาดตระเวนในวังหลวงอย่างคล่องแคล่วช่ำชองจนกลับถึงห้องแล้ววางตัวนางลงอย่างทะนุถนอม
องค์หญิงเจินเจินนอนอยู่เตียงแปลกที่กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เลย
“องค์หญิง…” หลงอิ่งรวบรวมความกล้ากุมมือนางไว้ ก้มหน้าลงอย่างแสนทรมานใจ
เขาไม่สนใจอะไรมากมายอีกแล้ว หากองค์หญิงยังอยู่ที่นั่นก็ไม่มีความหวังว่าจะรอดชีวิตสักเศษเสี้ยว
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่ากินยาถอนพิษแล้วองค์หญิงจะทนรอจนหมอหลวงมาช่วยรักษาให้ได้ ถ้าหมอหลวงพวกนั้นเอาใจใส่จริงๆ องค์หญิงตกอยู่ในสภาพอย่างนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะยังไม่เห็นวี่แววของพวกเขา
มาตรว่าหลงอิ่งจะเงียบขรึมไม่ช่างพูด แต่เขาเป็นคนคิดอ่านละเอียดรอบคอบ พอนึกโยงไปถึงถ้อยคำที่องค์หญิงเจินเจินกล่าวกับตนเมื่อวันก่อน เขามั่นใจว่าการที่ชีวิตขององค์หญิงแขวนอยู่บนเส้นด้ายจะต้องเกี่ยวข้องกับความลับของราชสำนัก และรู้ว่านางอยู่ที่นี่จะไม่มีทางรอดชีวิตอย่างเด็ดขาด
ชายหนุ่มเพ่งมองใบหน้าเขียวคล้ำของนางแล้วกำมือแน่น เขาต้องหาหนทางพาองค์หญิงออกจากวังหลวงให้ได้!
ส่วนว่าพวกลี่ผินฟื้นขึ้นมาแล้วพบว่าองค์หญิงหายตัวไปจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เขาไม่คำนึงถึงแล้ว ขอแค่ลี่ผินไม่เบาปัญญาก็น่าจะปิดบังเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว แต่ถ้านางโฉดเขลาถึงขั้นเอะอะโวยวายออกไป อย่างมาก...
หลงอิ่งจ้องมองสตรีที่สงบนิ่งดุจภาพวาดบนเตียงอย่างอ่อนโยนแล้วกลับเผยรอยยิ้มจางๆ
อย่างมากเขาตายพร้อมกับองค์หญิงก็แล้วกัน ไม่ว่าอย่างไรเขาไม่มีวันปล่อยให้นางจากไปอย่างเดียวดาย
หลงอิ่งดูเวลาแล้วใช้ผ้าปูเตียงห่อองค์หญิงเจินเจินไว้แล้วผูกติดกับตัว จากนั้นผ่อนลมหายใจเบาๆ ให้เป็นจังหวะ
อีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามจะถึงเวลาที่องครักษ์ในวังหลวงผลัดเวร ตอนนั้นเป็นช่วงที่การป้องกันหละหลวมที่สุด ขอเพียงจับจังหวะให้ดีก็มีโอกาสสูงมากที่จะหนีออกไปได้
ในตำหนักบรรทมขององค์หญิงเจินเจิน นางกำนัลที่ไปหยิบฉลองพระองค์ฟื้นสติเป็นคนแรก พอเห็นลี่ผินกับนางกำนัลอีกคนนอนกองอยู่ข้างเตียง แต่บนเตียงกลับว่างเปล่าไม่มีใครสักคน นางก็หน้าถอดสีอย่างช่วยไม่ได้ รีบวิ่งหกล้มหกลุกไปเขย่าตัวนางกำนัลอีกคนให้ตื่นขึ้น
“มีอะไรหรือ” นางกำนัลอีกคนเอ่ยถามอย่างงุนงง
“องค์หญิงหายไปแล้ว” นางกำนัลที่ไปหยิบฉลองพระองค์กระซิบบอก
“อะไรนะ!”
นางกำนัลที่ไปหยิบฉลองพระองค์ปิดปากนางกำนัลอีกคนแน่นๆ พลางพูดดุ “เจ้าจะเอะอะด้วยเหตุใด กลัวคนอื่นไม่รู้ใช่หรือไม่”
“แล้ว…แล้วตอนนี้จะทำฉันใด”
“เจ้าเฝ้าหน้าประตูไว้ ข้าจะปลุกพระสนมเอง”
ลี่ผินถูกปลุกให้ตื่นขึ้น นางยืดตัวตรงทันที “ข้าหลับไปได้อย่างไร”
นางหันหน้าไปเห็นบนเตียงไม่มีคนก็ตั้งท่าจะกรีดร้องทันใด แต่นางกำนัลที่ไปหยิบฉลองพระองค์ห้ามไว้ “พระสนม ทรงสงบอารมณ์สักนิดเพคะ หากทำเสียงดังจนคนอื่นได้ยินจะเป็นเรื่องใหญ่นะเพคะ”
ลี่ผินเคยเป็นนางรำมาก่อน ถึงแม้จะโฉมงามสะคราญล้ำเหลือ จนใจที่เกิดไม่ถูกเวลา ต้องมาประสบพบเจอฮ่องเต้ที่ตั้งหน้าตั้งตาแสวงหาชีวิตอมตะ ส่งผลให้เหล่าพระสนมชายาในตำหนักในไม่มีแม้แต่โอกาสจะแสดงฝีมือในการแย่งชิงความโปรดปรานกัน เป็นธรรมดาที่นางจะไม่ได้ฝึกฝนเคี่ยวกรำจิตใจให้สุขุมเยือกเย็นได้สักเท่าไร ถึงจะได้ยินคำเตือนของนางกำนัลแล้วยังคงลนลานทำอะไรไม่ถูก
“องค์หญิงล่ะ องค์หญิงอยู่ไหน ใช่หรือว่าตอนข้าหลับไป องค์หญิงก็…”
“พระสนม องค์หญิงหายไปเพคะ ตอนหม่อมฉันตื่นขึ้นมา องค์หญิงก็หายตัวไปแล้ว”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ลี่ผินแทบควบคุมสติไม่อยู่
นางกำนัลที่ไปหยิบฉลองพระองค์มองนางกำนัลที่เฝ้าหน้าประตูแวบหนึ่ง ลดสุ้มเสียงลงกล่าว “หม่อมฉันสงสัยว่าหลงอิ่งเป็นคนพาองค์หญิงไปเพคะ”
ลี่ผินหน้าซีดเผือด นางกัดริมฝีปากสุดแรงอย่างวุ่นวายใจ “หลงอิ่งเป็นองครักษ์ข้างกายองค์หญิงมิใช่หรือ เพราะอะไรเขาถึงทำแบบนี้”
“หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ แต่หม่อมฉันเห็นว่าคนที่สามารถพาองค์หญิงออกไปอย่างเงียบๆ ได้มีแต่หลงอิ่งเท่านั้น ขณะที่คนอื่นไม่มีเหตุผลและความสามารถที่จะทำอย่างนี้ อีกอย่างตอนกลางวันหม่อมฉันยังได้ยินพวกสาวใช้ในวังพูดซุบซิบกันว่าเห็นหลงอิ่งป้วนเปี้ยนอยู่นอกตำหนักบรรทมด้วยเพคะ”
“เขาพาองค์หญิงไปด้วยเหตุใดกัน เจินเจินกลายเป็นอย่างนั้นไปแล้ว หรือยังอยากทรมานนางอีกใช่หรือไม่”
“พระสนม ตอนนี้มิใช่เวลาถามไล่เลียงเรื่องพวกนี้ องค์หญิงหายตัวไป ทรงคิดว่าสมควรทำอย่างไรหรือยังเพคะ”
ลี่ผินตาเป็นประกาย นางลุกพรวดขึ้นยืน “ข้าจะไปทูลรายงานไทเฮา”
นางกำนัลคุกเข่าลงกล่าวทักท้วง “พระสนมทรงไตร่ตรองทบทวนด้วยเพคะ องค์หญิงหายสาบสูญไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในระหว่างที่ล้มประชวรหนัก ไทเฮาทรงทราบแล้วเกรงว่าจะยิ่งไม่เป็นผลดีต่อองค์หญิง และถึงขั้นพาลกริ้วว่าพระสนมทรงไม่เฝ้าดูให้ดีได้นะเพคะ”
ไหนเลยจะพาลโกรธหลี่ผินผู้เดียว เกรงว่าคนที่ปรนนิบัติรับใช้องค์หญิงอย่างพวกนางคงโดนฆ่าปิดปากทั้งหมด ไม่มีใครโชคดีรอดพ้นไปได้
ลี่ผินค่อยๆ สงบอารมณ์ลงได้ แต่ยังคงคิดอะไรไม่ออก “นี่ควรทำฉันใดดี”
“เสี่ยวหนิง เจ้ามานี่” นางกำนัลที่ไปหยิบฉลองพระองค์ส่งเสียงเรียก
นางกำนัลที่เฝ้าหน้าประตูนามว่าเสี่ยวหนิงเดินเข้ามา “พี่อาหลัน ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ”
“เจ้าอยู่เป็นเพื่อนพระสนมก่อน ข้าจะหยิบของบางอย่างพร้อมกับคิดหาหนทางไปด้วย”
เสี่ยวหนิงพยักหน้าแล้วเดินไปหาลี่ผิน
ในจังหวะนี้เองนางกำนัลนามว่าอาหลันหมุนกายขวับ เอาสายคาดเอวรัดคอเสี่ยวหนิงจากทางข้างหลัง
นางกำนัลเสี่ยวหนิงยกสองมือจับสายคาดเอาไว้พลางดิ้นขัดขืนสุดชีวิต นางถูกรัดคอจนเปล่งเสียงพูดไม่ออก ได้แต่เบิกตาโพลงมองเขม็งไปทางลี่ผินอย่างขอความช่วยเหลือ
“พระสนม ทรงช่วยกันหน่อยสิเพคะ” นางกำนัลอาหลันทางหนึ่งออกแรงดึงสายคาดเอวให้รัดแน่นขึ้น ทางหนึ่งส่งเสียงบอก
สีหน้าลี่ผินปราศจากสีเลือด นางคล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน เพียงเอ่ยถามว่า “นี่…นี่เจ้าทำอะไร”
“พระสนม มีเพียงสังหารนางซะ พระองค์ถึงจะเอาตัวรอดจากเรื่องที่องค์หญิงหายตัวไปได้นะเพคะ!”
ยามนี้ความคิดในหัวลี่ผินสับสนยุ่งเหยิงไปหมด นางไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงว่าจะเอาชีวิตของนางกำนัลผู้นี้ไปเพื่ออันใด แต่ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงอย่างรุนแรงทำให้นางเข้าไปช่วยเหลือโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เมื่อทั้งคู่ช่วยกันรุมเสี่ยวหนิงคนเดียว ในชั่วเวลาสั้นๆ นางก็หยุดดิ้นรนกระเสือกกระสน ตัวอ่อนล้มไปบนตัวนางกำนัลอาหลัน
อาหลันปล่อยให้ศพของเสี่ยวหนิงพิงอยู่บนตัวระหว่างที่หยุดพักหายใจครู่หนึ่ง จากนั้นเค้นแรงกึ่งอุ้มกึ่งลากร่างไร้ชีวิตไปบนเตียงอย่างทุลักทุเล
“ตกลงเจ้าสังหารนางเพราะอะไรกันแน่” ลี่ผินได้สติแล้วก้มหน้ามองสองมือของตน นางไม่อยากเชื่อว่าเมื่อครู่นางจะช่วยรัดคอคนผู้หนึ่งจนตาย
นางกำนัลอาหลันเอาศพวางบนเตียงนอนขององค์หญิงเจินเจินแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมปิด นางยืนพิงเสาเตียงอย่างเหนื่อยหอบ
ผ่านไปครู่ใหญ่พอนางหายใจเป็นจังหวะปกติแล้วถึงคุกเข่าลงกล่าว “พระสนม องค์หญิงสิ้นพระชนม์ได้ แต่จะหายตัวไปไม่ได้เพคะ ไม่เช่นนั้นพวกเราทุกคนล้วนต้องตายไปด้วย”
“ความหมายของเจ้าคือ…”
นางกำนัลอาหลันมองไปทางเตียงแวบหนึ่งก่อนกัดริมฝีปากแล้วกล่าวขึ้น “ถ้าก่อนฟ้าสางทางวังหน้ายังไม่มีความเคลื่อนไหวอื่นใดอีก เช่นนั้นก็ใช้นางสวมรอยแทนที่องค์หญิงเถอะเพคะ”
“นี่จะได้อย่างไร ต่อให้องค์หญิงสิ้นพระชนม์ หมอหลวงก็ต้องตรวจยืนยันอีก”
“องค์หญิงมีศักดิ์ฐานะสูงส่ง ปกติยามหมอหลวงตรวจพระวรกายก็ต้องมีม่านหน้าเตียงขวางกั้นอยู่ ไม่มีทางจับได้หรอกเพคะ เมื่อวานคนที่เห็นองค์หญิงล้วนรู้ว่าพระพักตร์ขององค์หญิงเป็นสีเขียวคล้ำ ก่อนฟ้าสางหม่อมฉันจะผัดหน้าทาแป้งให้เสี่ยวหนิง พยายามทำให้นางดูคล้ายคลึงกับองค์หญิงให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ส่วนพิธีกรรมต่างๆ เช่นล้างหน้าสางผมและผลัดอาภรณ์ให้พระศพองค์หญิง พระสนมทรงสามารถลงมือทำด้วยพระองค์เองได้เลย ก็ยกเหตุผลว่าทรงโศกเศร้าเสียพระทัยอย่างมากกับการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิง เช่นนี้บางทีอาจปิดหูปิดตาคนอื่นไปได้เพคะ”
“ถ้าปิดบังไม่ได้ล่ะ” ลี่ผินถามเสียงพึมพำ
ยามเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย นางกำนัลอาหลันหมดสิ้นความเคารพยำเกรงต่อผู้เป็นนายแต่แรก นางมองลี่ผินนิ่งๆ ครู่หนึ่ง “ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดก็คือบทลงเอยเดียวกับตอนต้นเพคะ”
พวกนางเฝ้าอยู่ที่นี่ยังทำองค์หญิงผู้สูงศักดิ์หายไป จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรอดชีวิตแล้ว ต่อให้ลี่ผินเองก็มิใช่ข้อยกเว้น
เมื่อได้นางกำนัลอาหลันเตือนสติ ลี่ผินก็คิดถึงจุดนี้ได้เช่นกัน นางกัดริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “ได้ เจ้ารีบจัดการให้เรียบร้อยเถอะ พอฟ้าสาง…พอฟ้าสางถ้าหมดหนทางก็ทำตามที่เจ้าบอก”