หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 719
บทที่ 719
“เจ้าบอกว่าเมื่อวานมีคนนำยาถอนพิษขวดหนึ่งไปให้เจ้าหรือ” เฉียวเจาฟังหลงอิ่งบอกกล่าวเล่าสิบจบก็เอ่ยถามขึ้น
เขาพยักหน้าตอบ
เฉียวเจามุ่นคิ้วตรึกตรอง
สองวันก่อนหลังเจียงหย่วนเฉาส่งยาถอนพิษขวดนั้นไปถึงมือองค์หญิงเจินเจินแล้วเคยส่งคนถือสารมาให้ ไม่ว่านางจะระแวงระวังเขาเช่นไร แต่ยังเชื่อถือเขาในเรื่องนี้
เช่นนั้นยาถอนพิษขวดนี้เป็นเรื่องใดกันอีก
เฉียวเจาขบคิดครู่หนึ่งก็กระจ่างแจ้ง เจียงหย่วนเฉาน่าจะได้ยินข่าวว่าองค์หญิงเจินเจินอาการทรุดหนักเลยเอาขวดที่นางมอบให้เขาส่งไปให้
“หมายความว่าตอนนี้องค์หญิงเก้าหายตัวไปจากวังหลวง และเจ้าเป็นคนพานางมาหาข้าที่นี่”
หลงอิ่งก้มหน้าอย่างกระดากใจ “ขอรับ”
เขาทำอย่างนี้สร้างปัญหายุ่งยากให้คุณหนูหลีครั้งใหญ่จริงๆ ทว่าเขาอับจนหนทางแล้ว
“เจ้าคิดไว้แล้วใช่หรือไม่ว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไร”
“หลังจากนี้?” หลงอิ่งนิ่งขึงไป
“หลังจากองค์หญิงหายดีคงอยู่ที่เรือนข้าตลอดไปไม่ได้กระมัง”
หลงอิ่งตาเป็นประกาย “ท่านบอกว่าองค์หญิงจะหายดีหรือขอรับ”
มาตรว่าก่อนหน้านี้ปิงลวี่จะพูดเป็นทำนองว่าชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นได้ แต่หลงอิ่งไม่ใคร่เชื่อนัก แต่ถ้อยคำของเด็กสาวเบื้องหน้า เขาไม่อาจไม่เชื่อได้
บางทีอาจเป็นเพราะอย่างนี้ เขาถึงวิ่งมาที่นี่โดยปราศจากความลังเล
เฉียวเจาพยักหน้าเบาๆ
นัยน์ตาของหลงอิ่งเปล่งประกายระยิบระยับอย่างมีชีวิตชีวาอีกครา เขาพึมพำซ้ำๆ “ดีเหลือเกิน…ดีเหลือเกิน”
เขากล่าวพร้อมกับคุกเข่าลงโขกศีรษะให้เฉียวเจา
“เลิกโขกศีรษะได้แล้ว เจ้ายังไม่ตอบคำถามของข้าเลย”
องค์หญิงผู้หนึ่งหายสาบสูญไปอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ถึงจะปิดข่าวไว้ได้ชั่วคราว แต่องค์หญิงเจินเจินก็ไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนทั่วแผ่นดินในศักดิ์ฐานะเดิมได้อีกต่อไป เช่นนั้นชีวิตในวันหน้าของนางก็ต้องพบกับปัญหา
“ข้าจะทำตามพระประสงค์ขององค์หญิงขอรับ” หลงอิ่งกล่าวอย่างซื่อตรง
เฉียวเจาอึ้งงันไปนิดหนึ่งแล้วกลั้นยิ้มไม่อยู่ “ตกลง ถึงเวลาข้าจะทูลถามองค์หญิง”
มีองครักษ์ที่จงรักภักดีอย่างนี้อยู่ด้วยทั้งคน เห็นทีว่านางกังวลใจโดยใช่เหตุแล้ว
วันรุ่งขึ้นข่าวการสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงเก้าแพร่กระจายออกมานอกวังหลวง
สองวันต่อมาตอนองค์หญิงเจินเจินฟื้นสติ ทั่วทุกเหย้าเรือนในเมืองหลวงก็รู้กันหมดแล้วว่าองค์หญิงโฉมงามล่มเมืองของต้าเหลียงพระองค์นั้นลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว
โดยปกติเมื่อพระธิดาคนโปรดสิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้มักงดเว้นการประชุมขุนนางหนึ่งถึงสามวันเพื่อแสดงความอาลัย แต่มาถึงราชวงศ์นี้กลับไม่จำเป็นแล้ว เพราะฮ่องเต้ไม่ใคร่ออกว่าราชการสักเท่าไร ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังจำศีลบำเพ็ญตบะอยู่ในขณะนี้ จึงไม่รู้ข่าวองค์หญิงล้มป่วยจากไปแล้วสักนิด พระราชพิธีพระศพหลังองค์หญิงสิ้นพระชนม์ทั้งหมดก็เป็นไทเฮาออกคำสั่งเร่งให้สำนักการพระราชวงศ์กับสำนักพิธีกรรมจัดเตรียมขึ้น
“นี่แสดงว่าคนใต้หล้าล้วนคิดว่าข้าตายไปแล้วหรือ” องค์หญิงเจินเจินพูดพึมพำ นางคว้าแขนเสื้อของเฉียวเจาไว้หมับ “หลงอิ่งเล่า ข้าอยากพบเขา”
“องค์หญิงทรงรอสักครู่เพคะ”
เฉียวเจาพยักหน้ากับอาจู ไม่นานนักนางก็พาหลงอิ่งเข้ามา
“องค์หญิง!” เมื่อเห็นองค์หญิงเจินเจินฟื้นแล้ว หลงอิ่งปีติยินดีอย่างสุดระงับ เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งถวายคำนับ
องค์หญิงเจินเจินสะบัดฝ่ามือตบหน้าเขาฉาดหนึ่ง “หลงอิ่ง เจ้าคนบัดซบ!”
หลงอิ่งก้มหน้างุดไม่พูดจา
องค์หญิงเจินเจินโกรธจนหน้าเขียว “ใครให้เจ้าบังอาจกระทำเช่นนี้ ถ้าเสด็จแม่ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยจะทำฉันใด”
เฉียวเจาชายตามองหลงอิ่งที่คุกเข่าบนพื้นอย่างเฉยเมยแวบหนึ่งก่อนพาอาจูเดินออกจากห้อง
หลงอิ่งคุกเข่าหลังตรง ไม่เอื้อนเอ่ยวาจาสักคำ
“เจ้าพูดสิ เจ้าไม่มีหัวคิดใช่หรือไม่” องค์หญิงเจินเจินยิ่งพูดยิ่งมีน้ำโห ใช้ทั้งเท้าทั้งมือเตะตีเขา
หลงอิ่งนิ่งรับเฉยๆ นานครู่หนึ่งถึงเอ่ยเตือนขึ้น “องค์หญิงทรงตีเบาลงสักหน่อย ประเดี๋ยวมือจะเจ็บ หรือไม่ให้กระหม่อมตีตนเองเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
เขาพูดจบก็ยกมือซ้ายมือขวาผลัดกันตบหน้าตนเองเต็มแรง
“หยุดนะ!” องค์หญิงเจินเจินคว้ามือเขาไว้ข้างหนึ่งด้วยความโมโหระคนร้อนใจ
หลงอิ่งชะงักไปนิดหนึ่ง จากนั้นใบหูก็แดงก่ำอย่างรวดเร็ว เขาดึงมือคืนอย่างลุกลน ก้มหน้างุดไม่กล้าสบตาองค์หญิงเจินเจินคล้ายกระทำความผิดก็ไม่ปาน
นางเม้มริมฝีปากคลายมือออกโดยไม่พูดอะไร
ภายในห้องเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงไปในชั่วขณะชวนให้รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง
องค์หญิงเจินเจินกระแอมเบาๆ เสียงหนึ่ง นางชำเลืองหางตามองเขา “เจ้าว่ามาตอนนี้จะเอาอย่างไรต่อไป”
หลงอิ่งไม่กล้าเงยหน้าขึ้น “องค์หญิงทรงว่าอย่างไร กระหม่อมก็ว่าอย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเงยหน้าขึ้นมานะ วันๆ เอาหัวกระหม่อมจ่อใส่หน้าข้า นึกว่าข้าชอบมองหรือไร”
หลงอิ่งถึงเงยหน้าขึ้นในตอนนี้
“วันหลังห้ามก้มศีรษะต่อหน้าข้าด้วย!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วก็ห้ามพูดว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะ…” หลงอิ่งมององค์หญิงเจินเจินด้วยแววตาใสซื่อ เขาไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าสมควรพูดอะไรจึงจะดี
องค์หญิงเจินเจินถอนใจเฮือก “แล้วทางวังหลวงมีความเคลื่อนไหวใดหรือไม่ ปิดบังได้สำเร็จจริงๆ หรือ”
“ขณะนี้ดูไปแล้ว…เป็นแบบนี้…” หลงอิ่งคิดๆ แล้วกล่าวต่อ “แต่คุณหนูหลีบอกให้พวกเราคิดว่าจะทำอะไรต่อไปโดยไวที่สุด”
องค์หญิงเจินเจินนิ่งเงียบไป
มิไยว่าวันหน้าจะเป็นเช่นไร ในเมื่อปิดบังไว้ได้ชั่วคราว อีกทั้งข่าวการตายของนางก็แพร่ไปทั่วแล้ว เช่นนั้นนางคงกลับไปที่วังหลวงอีกไม่ได้ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือหลังจากนี้นางมิใช่องค์หญิงอีกต่อไป
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ องค์หญิงเจินเจินกลับไม่รู้สึกเสียดาย หนำซ้ำลึกๆ ในใจยังรู้สึกโล่งอก
ไม่เป็นองค์หญิง นางไม่ต้องกลับไปยังวังหลวงที่เปรียบเสมือนกรงขังแห่งนั้นอีก และสามารถไปที่ที่นางใฝ่ฝันอยากไปได้มากมาย
แน่นอนว่าข้อแม้คือต้องมีเงิน
พอตรึกตรองถึงตรงนี้ องค์หญิงเจินเจินรีบยกมือขึ้นลูบผม พบว่าศีรษะว่างโล่งไม่มีอะไรสักอย่าง พาให้หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “หลงอิ่ง ตอนเจ้าพาข้าออกจากวัง บนศีรษะข้าไม่ได้ปักปิ่นสักแท่งเลยหรือ”
หลงอิ่งส่ายหน้าตอบ
องค์หญิงเจินเจินคิดๆ แล้วก็ใช่ นางป่วยหนักก็ต้องสยายผมลง จะติดเครื่องประดับศีรษะอะไรได้ที่ไหนกันเล่า
สำหรับกำไลหยกบนข้อมือ นางไม่กล้าเอาไปขาย เพราะทันทีที่ขายก็จะเป็นการเปิดโปงฐานะตนเองออกมา
นางขมวดคิ้วด้วยความกลัดกลุ้ม
“องค์หญิงกังวลพระทัยเรื่องอะไรอยู่”
องค์หญิงเจินเจินไม่มีอะไรต้องปิดบังหลงอิ่ง นางบอกอย่างตรงไปตรงมา “ข้าคงกลับไปที่วังหลวงไม่ได้แล้ว วันหน้าพวกเราจะอาศัยอะไรประทังชีวิตกันเล่า”
“องค์หญิงรอสักครู่”
หลงอิ่งหมุนกายวิ่งออกไป ไม่นานนักก็หิ้วห่อสัมภาระใบเล็กๆ เข้ามา เขาเปิดห่อผ้าออกเผยให้เห็นแท่งเงินกับแผ่นทองคำพับทอประกายอร่าม
องค์หญิงเจินเจินมองจนตาค้าง นางเอ่ยถามอย่างงุนงง “เอามาจากไหน”
“เมื่อก่อนองค์หญิงประทานให้กระหม่อมเอง”
“แต่ของพวกนี้เป็นของเจ้า” องค์หญิงเจินเจินโล่งอกอย่างปราศจากเหตุผล แต่ยังอดพูดขึ้นไม่ได้
หลงอิ่งไม่ลังเลใจแม้สักนิด “ตัวกระหม่อมยังเป็นขององค์หญิง นับประสาอะไรกับของนอกกายเหล่านี้”
“เจ้าพูดส่งเดชอะไรกัน” องค์หญิงเจินเจินอึ้งงันไป นางรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวๆ ชอบกล
ไฉนแต่ก่อนไม่รู้สึกว่าเจ้าท่อนไม้ผู้นี้จะเจ้าคารมปานนี้ คงมิใช่คิดว่านางไม่ใช่องค์หญิงแล้วเลยกล้าเหิมเกริมกระมัง
หลงอิ่งคุกเข่าลงข้างหนึ่งกับพื้นทันควัน “องค์หญิงอย่าเข้าใจผิด กระหม่อมหมายความว่ากระหม่อมเป็นองครักษ์ขององค์หญิง ชีวิตของกระหม่อมก็ต้องเป็นขององค์หญิง ดังนั้นเป็นธรรมดาที่เงินทองเหล่านี้ย่อมจะเป็นขององค์หญิงด้วย”
“บัดนี้ข้าไม่ใช่องค์หญิงแล้ว เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าองค์หญิงอีก ก็เรียกข้าว่า…” องค์หญิงเจินเจินชะงักไป นางไม่รู้ว่าสมควรให้หลงอิ่งเรียกขานตนว่าอะไรถึงเหมาะสม
“คุณหนู?”
“ไม่ เรียกข้าว่าเจินเจินเถอะ”
หลงอิ่งนิ่งงันไป
องค์หญิงเจินเจินเบนสายตาไปอีกทาง นางกระแอมเบาๆ ก่อนกล่าว “เจ้าอย่าคิดมากล่ะ วันหลังพวกเราสองคนออกเดินทางไปด้วยกัน เจ้าเอาแต่เรียก ‘คุณหนูๆ’ จะทำให้ผู้อื่นสงสัยได้ คุณหนูเรือนใดกันออกมาข้างนอกไม่มีสาวใช้ติดตาม กลับพาแค่องครักษ์มาคนเดียว ดังนั้นเรียกข้าว่าเจินเจินดีแล้ว”
“กระหม่อมทราบแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองเรียกสักคำสิ”
หลงอิ่งนิ่งเงียบไปนานกว่าจะเอ่ยเสียงเบาออกมา “เจินเจิน”