หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 722
บทที่ 722
หลังจากยัดเยียดถุงผ้าปักใบโตให้เว่ยอู๋เสียและส่งเขากลับไปแล้ว รุ่ยอ๋องนำของพระราชทานไปที่เรือนของหลีเจี่ยวด้วยตนเอง
“ท่านอ๋อง” หลีเจี่ยวถวายคำนับเขา
“ไม่ต้องมากพิธี เจี่ยวเหนียงเจ้าดูสิ ของเหล่านี้ล้วนเป็นเสด็จพ่อพระราชทานให้เจ้า นี่เป็นความดีความชอบเจ้าเชียวนะ” รุ่ยอ๋องแย้มยิ้มสดใสดุจสายลมฤดูใบไม้ผลิ ราวกับว่าอ่อนเยาว์ขึ้นไม่น้อย เขาจูงมือของหลีเจี่ยวมายืนเคียงข้างกัน ดูไปแล้วทั้งสองกลับคล้ายเป็นคู่สร้างคู่สมกันอยู่หลายส่วน
ดวงตาคู่งามของหลีเจี่ยวเปล่งประกายแพรวพราย แต่นางข่มใจไม่ไปมองของพระราชทานพวกนั้น หลุบตาต่ำกล่าวว่า “หม่อมฉันไม่บังอาจถือเป็นความดีความชอบของตน เป็นท่านอ๋องที่ทรงเปี่ยมล้นไปด้วยบารมีให้หม่อมฉันได้อาศัยใบบุญไปด้วยเพคะ”
รุ่ยอ๋องฟังแล้วละม้ายได้ดื่มกินมธุรสหวานล้ำ เขาเปล่งเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่ สายตาที่มองไปทางหลีเจี่ยวทอแววอ่อนโยนยิ่งขึ้น
อนุนางนี้ของเขาเป็นคนน่าสนใจผู้หนึ่งจริงๆ นิสัยใจคอและรูปโฉมล้วนจัดอยู่ในชั้นเลิศ ทั้งยังพูดจาถูกหู เรียกได้ว่าเป็นบุปผาช่างจำนรรจาดอกหนึ่ง ดูทีว่ายังคงเป็นสตรีจากตระกูลบัณฑิตปัญญาชนที่น่าพึงใจ
หลีเจี่ยวก้มหน้าอย่างสะเทิ้นอาย ในดวงตานางมีแววลำพองใจผุดขึ้น
นี่เห็นได้ว่าการวางเดิมพันของนางในตอนนั้นถูกต้องแล้ว ขอแค่มีทายาทให้ท่านอ๋องได้สักคน ถึงเขาจะไม่พอใจที่นางใช้อุบาย แต่พอนานวันเข้าก็จะจางหายไปเพราะความปีติยินดีที่ได้ผู้สืบสกุล จากนั้นนางค่อยแสดงความอ่อนโยนเข้าอกเข้าใจให้มากขึ้น ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าท่านอ๋องจะไม่ใส่ใจนาง
สักวันหนึ่งนางจะทำให้ท่านอ๋องขาดนางไม่ได้ อีกทั้งมิใช่เพราะเรื่องผู้สืบสกุล
หลีเจี่ยวพลันรู้สึกว่าอนาคตของตนเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง
ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลให้อนุผู้หนึ่งอย่างนาง เห็นได้ว่าให้ความสำคัญกับทายาทของท่านอ๋องอย่างยิ่งยวด แล้วนี่บ่งบอกถึงอะไร มันบ่งบอกว่าฮ่องเต้เห็นความสำคัญของท่านอ๋องเป็นอันมาก นางเพียงแค่ให้กำเนิดบุตรชายในครรภ์แรก ไม่แน่ว่า…
ถึงเวลานั้น หลีซานจะนับเป็นคนสำคัญอะไรกัน ยามนางกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องสกุลเดิม คนทั้งจวนสกุลหลีล้วนต้องโขกศีรษะให้นาง
เพราะฮ่องเต้หมิงคังพระราชทานรางวัลให้อย่างเหนือความคาดหมาย ส่งผลให้วังรุ่ยอ๋องปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายความสุขสันต์ชื่นมื่น ขณะที่ทางวังมู่อ๋องกลับตกอยู่ในบรรยากาศอึมครึม
ไม่มีใครกล้าเฉียดกรายไปใกล้ห้องหนังสือของมู่อ๋องในระยะสามจั้ง ด้วยในเวลานี้เขากำลังขว้างปาพวกของตั้งประดับล้ำค่าหายากในนั้นจนแตกละเอียดไม่มีชิ้นดี
“ไร้เหตุผลสิ้นดี…ไร้เหตุผลสิ้นดีจริงๆ อนุผู้หนึ่งของเจ้าห้าตั้งครรภ์ ยังไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิง หนำซ้ำจะคลอดออกมาได้หรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก เสด็จพ่อก็พระราชทานรางวัลให้แล้ว นี่เสด็จพ่อทรงหมายความว่าอะไร เพราะเห็นว่าเจ้าห้ามีผู้สืบสกุลแล้วเลยมอบบัลลังก์ให้เขาได้อย่างวางใจหรือ”
“ท่านอ๋องทรงระวังถ้อยคำด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ที่ปรึกษารีบเอ่ยเตือนขึ้น
มู่อ๋องมีสีหน้าขุ่นมัว “คิดว่าเสด็จพ่อทรงมีจุดประสงค์ใด”
มุมปากของที่ปรึกษากระตุกริก ยังจะหมายความว่าอะไรได้อีก พระโอรสที่ไร้ทายาทมาโดยตลอดมีข่าวดี แม้กระทั่งพวกชาวบ้านสามัญชนได้เป็นบิดาก็ต้องดีใจเจียนคลั่งเหมือนกันนะ
“ใช่ ข้ารู้เช่นกันว่าเรื่องผู้สืบสกุลเป็นปัญหาใหญ่ของเจ้าห้า พอได้ยินว่าเรือนหลังของเขามีข่าวดี เสด็จพ่อจะสำราญพระทัยก็ช่วยไม่ได้ แต่เชื้อพระวงศ์จะเหมือนกับครอบครัวสามัญชนได้หรือ เสด็จพ่อทรงทำแบบนี้ จะให้บรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่พวกนั้นคิดเช่นไร ตาเฒ่าเขี้ยวลากดินที่วางตัวเป็นกลางอยู่ในทีแรกพวกนั้นต้องไปยืนอยู่ข้างเจ้าห้าเป็นแน่!”
“ท่านอ๋อง อย่าเพิ่งร้อนพระทัยจะดีกว่า ก็อย่างเช่นที่พระองค์ตรัสไว้ อนุของรุ่ยอ๋องนางนั้นจะให้กำเนิดบุตรออกมาอย่างราบรื่นหรือไม่ยังมิอาจรู้ได้ ต่อให้เด็กคลอดออกมาอย่างปลอดภัยจะเป็นชายหรือหญิงก็บอกได้ยาก ไม่จำเป็นต้องเสียกระบวนไปเองในตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าหวั่นใจว่าเสด็จพ่อจะทรงเลอะเลือนไปชั่วขณะ…”
ดังเช่นคำกล่าวที่ว่านั่งอยู่ในเรือนดีๆ เคราะห์ภัยยังมาเคาะประตูจริงๆ เดิมทีเขาจะได้นั่งตำแหน่งนั้นเป็นที่แน่นอนแล้ว ใครจะรู้ว่าอนุผู้หนึ่งของเจ้าห้าจะตั้งครรภ์ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างนี้
เจียงถังอดีตผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินกินโอสถทิพย์ของเสด็จพ่อจนม้วยมรณามิใช่หรือ ไม่แน่ว่าเสด็จพ่ออาจอยู่ไม่ถึงตอนลูกของเจ้าห้าลืมตาดูโลกก็ตามไปร่ำสุรากับพี่ชายบุญธรรมแล้ว ถึงตอนนั้นเกิดขุนนางชั้นผู้ใหญ่พวกนั้นยึดถือกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยเรื่องการแต่งตั้งผู้สืบราชสันตติวงศ์ตาม ‘ลำดับอาวุโสมิใช่คุณงามความดี’ อีกทั้งเขาไม่อาจใช้เรื่องรุ่ยอ๋องไร้ทายาทมาโจมตีได้อีก เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะตกเป็นรองมากเกินไป
“ไม่ได้ ลูกของอนุของเจ้าห้าผู้นั้นจะเอาไว้ไม่ได้!” ดวงตามู่อ๋องทอประกายเหี้ยมเกรียม เขาเอ่ยสั่งที่ปรึกษาเสียงต่ำๆ “คิดหาทุกวิถีทางกำจัดเด็กในครรภ์ของอนุเจ้าห้าซะ”
“กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เมืองหลวงสงบสุขไร้คลื่นลมอยู่ชั่วขณะ จวบจนกวนจวินโหวกรีธาทัพกลับมา ทั่วทั้งเมืองหลวงก็คึกคักขึ้นอีกคราหนึ่ง
วันที่เซ่าหมิงยวนนำพาองครักษ์ประจำตัวกลับเมืองหลวง ชาวบ้านแห่แหนกันออกมาที่ถนนเพื่อรอต้อนรับกวนจวินโหวผู้หวนคืนมาพร้อมชัยชนะครั้งใหญ่จนเนืองแน่นล้นหลาม
ประตูเมืองเปิดอ้ากว้าง เซ่าหมิงยวนในชุดเกราะเงินขี่อาชาพ่วงพีเข้ามาช้าๆ เสื้อคลุมสีแดงสดปลิวไสวตามแรงลมอยู่ข้างหลัง พู่ไหมแดงบนหมวกเกราะก็สะบัดไปมาตามกัน เหล่าองครักษ์สวมเกราะสีดำสนิทตามอยู่ข้างหลังขบวนหนึ่ง แต่ละคนห้อยดาบยาวที่เอว ถือทวนเงินในมือ เคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบพร้อมเพรียงกัน
ราษฎรที่มุงดูอยู่แยกออกด้านข้างเปิดทางสายหนึ่งไว้ตรงกลางโดยไม่ต้องบอก ทุกคนมองดูกองทหารขบวนนี้เดินมาอย่างเชื่องช้าด้วยสีหน้าคลั่งไคล้บูชา
“สวรรค์! กวนจวินโหวช่างหล่อเหลาเหลือเกินจริงๆ” เด็กสาวนางหนึ่งปิดหน้าร้องอุทานเสียงแหลมสูง
“แน่นอนอยู่แล้ว กวนจวินโหวเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเชียวนะ”
“ไม่ถูกกระมัง บุรุษรูปงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมิใช่คุณชายฉือหรือ”
“ข่าวนี้ของเจ้าล้าสมัยไปนานแล้ว บุรุษรูปงามที่แท้คืออะไร แน่นอนว่าคือยอดวีรบุรุษผู้องอาจห้าวหาญเฉกเช่นกวนจวินโหว! เห็นหรือยัง ท่วงท่าขี่ม้าของกวนจวินโหวองอาจห้าวหาญปานใด บุรุษอ่อนปวกเปียกไม่มีแรงแม้แต่จะเชือดไก่อย่างคุณชายฉือผู้นั้นจะทาบเทียบได้หรือ”
“ใช่ กวนจวินโหวต่างหากถึงเป็นบุรุษอย่างแท้จริง หากได้ออกเรือนไปกับบุรุษเยี่ยงนี้ ถึงตายก็คุ้มค่าแล้ว”
ฉือชั่นได้ยินคำกล่าวทำนองนี้จนเต็มสองหู เขาทำหน้ามุ่ยลูบปลายคาง
พอทีเถอะ จะชมถิงเฉวียนก็ชมไป เพราะอะไรต้องเอ่ยถึงข้าด้วย
แล้วไฉนข้าถึงอ่อนปวกเปียกไม่มีแรงแม้แต่จะเชือดไก่ ข้าเองก็สามารถล้มหนุ่มฉกรรจ์ทั่วไปได้สี่ห้าคนเหมือนกันนะ!
คุณชายฉือยิ่งคิดยิ่งมีน้ำโห กระทั่งสหายรักก็คร้านจะมองดู รีบเบียดฝ่าฝูงชนกลับวังไปเลย
ฝ่ายเฉียวเจาสั่งให้คนจองห้องส่วนตัวของร้านน้ำชาริมถนนไว้แต่แรก ขณะนี้นางกำลังยืนอยู่ริมหน้าต่างทอดสายตามองลงไปเบื้องล่าง
นับแต่เซ่าหมิงยวนจากไปก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ส่งผลให้เขาต้องแอบเข้าเมืองหลวงถึงสองครั้ง บัดนี้ได้กลับมาอย่างเปิดเผยในที่สุด
“คุณหนู ดูเร็วเข้า ท่านแม่ทัพมาแล้วๆ” ปิงลวี่ทำหน้าตาตื่นเต้นพลางดึงแขนเสื้อของผู้เป็นนายแรงๆ
เฉียวเจาอ่อนใจอยู่มาก “ปิงลวี่ เจ้าจะดึงแขนเสื้อข้าขาดแล้ว”
ปิงลวี่หดมือกลับอย่างกระดากใจ “นี่ข้าตื่นเต้นแทนคุณหนูอยู่มิใช่หรือเจ้าคะ คุณหนู หรือว่าท่านไม่ตื่นเต้นสักนิด”
“ตื่นเต้นสิ” เฉียวเจากล่าวตามตรง นางจับจ้องเงาร่างที่เด่นสะดุดตาที่สุดกลางหมู่คนร่างนั้นอย่างไม่ละสายตา
พอเซ่าหมิงยวนชักม้าเดินผ่านไปช้าๆ เสียงหวีดร้องของพวกเด็กสาวก็ดังกระหึ่มกึกก้องแทบหูแตก ถุงเครื่องหอมถูกโยนไปทางท่านแม่ทัพในเกราะเงินผู้หนุ่มแน่นหล่อเหลานับไม่ถ้วน ส่งกลิ่นหอมลอยอวลในอากาศเป็นระลอก
ปิงลวี่สำลักกลิ่นจนไอออกมาเป็นชุด พาให้ไฟโทสะลุกโชนขึ้น
ไร้เหตุผลสิ้นดี! คุณหนูของนางยังอยู่ตรงนี้นะ นางตัวดีพวกนี้ยังให้ท่าทอดสะพานอะไรอีก
สาวใช้น้อยยกมือเท้าเอว งอเข่าเล็กน้อย รวบรวมพลังลงไปที่จุดตันเถียนแล้วตะโกนเสียงดัง “ท่านแม่ทัพ คุณหนูของข้าอยู่ตรงนี้เจ้าค่ะ!”
ภายในร้านน้ำชาเงียบกริบไปในพริบตา เฉียวเจายกมือกุมขมับอย่างช่วยไม่ได้
เซ่าหมิงยวนซึ่งกำลังผ่านชั้นล่างของร้านน้ำชาพอดีรั้งสายบังเหียนหยุดม้าทันใด เขามองมาทางร้านน้ำชา
“คุณหนู ท่านเขยมองมาแล้ว รีบโบกผ้าเช็ดหน้าสิเจ้าคะ”
ฮึ ถ้าไม่ให้นางตัวดีพวกนี้เห็นว่าท่านแม่ทัพเป็นของใครแล้วจะได้ตัดใจอย่างสิ้นเชิงไปเสีย ข้าก็ไม่ได้ชื่อปิงลวี่แล้ว!
เฉียวเจาย่อมไม่มีทางโบกผ้าเช็ดหน้าเป็นธรรมดา นางมองใบหน้าที่ปรากฏในความฝันบ่อยๆ ของคนผู้นั้นแล้วแย้มยิ้มอ่อนหวานออกมา
พอเซ่าหมิงยวนหยุดนิ่ง กององครักษ์ด้านหลังก็หยุดไปด้วยทันที ชาวบ้านที่ติดตามอยู่หลังขบวนรวมถึงคนที่ยืนอยู่สองฝั่งถนนต่างจับต้นชนปลายไม่ถูก
กวนจวินโหวเป็นอะไรไป