หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 724
บทที่ 724
พอเฉียวเจาออกไป เซ่าหมิงยวนเริ่มตื่นเต้นขึ้นมาฉับพลัน เขาเหยียดแผ่นหลังตรงแหน็วโดยไม่รู้ตัว
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งตั้งใจให้เจาเจาปลีกตัวออกไปเพื่อสนทนากับเขา จะต้องคุยเรื่องวันแต่งงานของเขากับเจาเจาเป็นแน่
เรื่องนี้สุดปัญญาที่เขาจะไม่ตื่นเต้นได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอาบน้ำร้อนมาก่อน เห็นชายหนุ่มแข็งเกร็งไปทั้งตัวก็คลายยิ้มถอนใจเฮือกหนึ่ง “ท่านโหว ตามหลักแล้วเรื่องนี้สมควรจะหารือกับจิ้งอันโหวท่านพ่อบุญธรรมของท่าน แต่ในเมื่อท่านแยกเรือนออกมาแล้ว ดูทีว่าพูดเรื่องนี้กับท่านก็คงเหมือนกัน”
“ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญกล่าวขอรับ” เซ่าหมิงยวนใจเต้นโครมคราม เขาคาดเดาไม่ผิดจริงๆ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งจะหารือเรื่องวันแต่งงานกับเขา หรือเห็นว่าเขาชนะศึกครั้งใหญ่เลยจะแหวกกฎยอมให้เขากับเจาเจาเข้าพิธีมงคลกันในช่วงที่นางไว้ทุกข์ให้ท่านอากัน
ตอนนี้เป็นเดือนสี่ ถ้าจัดเดือนนี้ดูเหมือนการตระเตรียมพิธีจะฉุกละหุกเกินไป อืม…เดือนห้าก็ดี ไม่หนาวไม่ร้อน เจาเจานั่งในเกี้ยวเจ้าสาวจะได้ไม่ร้อนอบอ้าว
“ข้าอยากหารือเรื่องกำหนดแต่งงานของพวกเจ้าสักหน่อย” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพูดเข้าเรื่องทันที
แม้จะพูดว่าเรื่องสำคัญเช่นการแต่งงานต้องให้พ่อแม่เป็นผู้ตัดสินใจ แต่เห็นชัดว่าไม่อาจใช้ได้กับกวนจวินโหวซึ่งมีสภาพการณ์ผิดแผกจากผู้อื่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเวลา พูดคุยกับคนที่ตัดสินใจได้ก็หมดเรื่อง
“ขอรับ” เซ่าหมิงยวนพลันประจักษ์ได้ว่าครั้งแรกที่ถือดาบสังหารข้าศึกยังไม่ตื่นเต้นขนาดนี้ เขาขานรับคำหนึ่งก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่ออีก
“ตอนหลานเจาปักปิ่นปีหน้าก็ออกทุกข์พอดี วันแต่งงานของท่านโหวกับนางก็กำหนดเป็นเดือนสองปีหน้าเถอะ ท่านโหวเห็นเป็นอย่างไร”
กวนจวินโหวอึ้งงัน “…” แล้วเดือนห้าของปีนี้ที่ข้าคิดไว้เล่า
ขณะนี้เป็นเดือนสี่ กว่าจะถึงเดือนสองปีหน้ายังอีกตั้งสิบเดือน!
เมื่อคิดถึงเวลาสิบเดือนอันยาวนานนี้ เซ่าหมิงยวนก็รู้สึกห่อเหี่ยวใจยิ่ง
ไว้เขาจะลากตัวพวกที่สังหารหลีกวงซูออกมาให้หมดแล้วสับเป็นพันๆ ชิ้น!
เมื่อเห็นชายหนุ่มไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็เอ่ยถามอย่างเข้าอกเข้าใจ “ท่านโหวรู้สึกว่าฉุกละหุกเกินไปใช่หรือไม่ หรือไม่ก็เอาอย่างนี้…”
เซ่าหมิงยวนสะดุ้งโหยงรีบเอ่ยขึ้น “ไม่ฉุกละหุกขอรับๆ”
ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านอย่าทำให้ตกใจสิขอรับ ข้าอยากตบแต่งภรรยาสักคนยากเย็นปานนี้เลยหรือไร
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็กำหนดเวลาตามนี้เถอะ ท่านโหวตรากตรำมาตลอดทางแล้วยังต้องไปเยี่ยมคารวะท่านพ่อบุญธรรมอีก ก็อย่ารั้งอยู่ที่นี่นานนักเลย”
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืนโดยไม่แสดงออกทางสีหน้า “ข้าขออำลาขอรับ”
บุรุษหลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตา ข้าย่อมไม่อาจร้องไห้ฟูมฟายอ้อนวอนให้ฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนใจอย่างแน่นอน ฉะนั้นได้แต่อดทนไว้
เฉียวเจาออกมาส่งเซ่าหมิงยวน เห็นสีหน้าท่าทางเขาไม่ค่อยสดชื่นก็เอ่ยถามอย่างห่วงใย “เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่”
เขาคว้ามือนางมาวางทาบหน้าอก “ไม่ใช่เหนื่อย แต่ใจสลายต่างหาก”
เฉียวเจาแย้มปากยิ้ม “หัดพูดเล่นลิ้นมาจากเฉินกวงหรือ”
“ไม่ได้พูดเล่นลิ้น เป็นถ้อยคำจากก้นบึ้งของหัวใจเลย เจาเจา เจ้ารู้หรือไม่ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากำหนดวันแต่งงานของพวกเราในเดือนสองปีหน้าแล้ว” เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก
“ท่านติงว่าช้าไปหรือ”
“สิบเดือนเชียวนะ! หากนับเวลาดังคำกล่าวว่าหนึ่งวันยาวนานเหมือนหนึ่งปี เจาเจา เจ้าลองนับดูว่ามันเนิ่นนานเพียงไหน”
เฉียวเจาปรายตามองเขายิ้มๆ “ท่านก็อย่าโลภมากหน่อยเลย นี่ท่านย่าเอ็นดูท่านมากพอดูแล้วนะ อารองของข้าล่วงลับ คนเป็นหลานสาวก็ต้องไว้ทุกข์ให้หนึ่งปี ท่านก็คิดเสียว่าช้าๆ ได้พร้าเล่มงามเถอะ”
นางในอดีตเคยรอคอยเขาสองปีกว่า บัดนี้เป็นทีเขารอบ้าง เห็นได้ว่าสวรรค์ยุติธรรมเสมอ
“ใช่สิ ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม”
ทั้งสองเดินไปหยุดยืนตรงศาลารับลมตรงประตูข้าง
“แล้วเรื่องขององค์หญิงเก้ามันเป็นอย่างไรกัน”
ตั้งแต่เฉียวเจาถูกหลีกวงซูลักพาตัวไปครั้งหนึ่ง เซ่าหมิงยวนไม่กล้าชะล่าใจอีก จึงสั่งกำชับองครักษ์ที่แฝงตัวอยู่ทั้งสี่ทิศของจวนสกุลหลีว่ามีสิ่งผิดปกติเล็กน้อยก็ต้องส่งข่าวไปที่แดนเหนือ เขาถึงได้รู้เรื่องที่หลงอิ่งพาองค์หญิงเจินเจินมาขอความช่วยเหลือกลางดึก ทว่าไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอย่างละเอียด
เฉียวเจาคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่าเขาต้องถามเรื่องนี้ นางกลับบังเกิดความลังเลใจอยู่ชั่วพริบตาหนึ่ง
นางไม่มีอะไรต้องปิดบังเขา แต่ถ้าบอกเล่าถึงอุบายต่ำช้าของโอรสสวรรค์ให้รู้ ผู้เป็นขุนนางเช่นเขาจะสมควรวางตัวเช่นไรเล่า
ท่าทางลังเลของนางตกอยู่ในสายตาเซ่าหมิงยวน เขาจับมือนางมากุมไว้เบาๆ “เจาเจา ระหว่างเรายังมีสิ่งใดที่พูดไม่ได้อีกหรือ”
เฉียวเจาหลุบตาลงมองต้นหญ้างอกใหม่ตรงรองเท้าผ้าปักสีเหลืองนวลกระจุกนั้น
เดือนสี่เป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดของปี พฤกษ์พรรณรอบนอกศาลาเขียวชอุ่มร่มรื่น ต้นทับทิมออกดอกดกดื่นดุจเปลวไฟ เสียงวิหคขับขานดังกระทบหูไม่ขาดสาย ทุกหนแห่งล้วนแฝงกลิ่นอายสดชื่นคึกคักมีชีวิตชีวา
“ฮ่องเต้วางแผนใช้องค์หญิงเจินเจินวางยาพิษสังหารข้า จะได้รับท่านเป็นราชบุตรเขย” เฉียวเจายังคงบอกความจริงออกมา
ถึงแม้ปิดบังไว้จะทำให้เซ่าหมิงยวนสบายใจกว่า แต่นางไม่อยากให้เขาไม่ทันระวังป้องกันหากเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นอีกในวันหลัง
แววตาของเซ่าหมิงยวนตึงเครียดไปในชั่วอึดใจ จากนั้นไฟโทสะก็ลุกโชนโหมแรง
มันเกิดขึ้นอีกแล้ว ในยามที่เขาสละเลือดในสมรภูมิ ผู้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรอย่างมั่นคงท่านนั้นคิดกำจัดสตรีที่เขารัก!
เดิมทีความรักแผ่นดินและภักดีต่อกษัตริย์คือศรัทธาความเชื่อที่ฝังลึกถึงแก่นในตัวเขาเสมอมา หรือจะต้องบีบคั้นให้เขาอับจนหนทางกลายเป็นโจรกบฏให้ได้ล่ะหรือ
เซ่าหมิงยวนมองไปทางเฉียวเจา
เด็กสาวตรงหน้ามีสีหน้าสงบนิ่ง ในดวงตาของนางทอแววเชื่อมั่นในตัวเขาอย่างเต็มที่
ชายหนุ่มเพียงรู้สึกปลาบแปลบใจ
หากคนพวกนั้นเอื้อมมือมาหาหญิงในดวงใจของเขาอีก ถึงต้องโดนตราหน้าเป็นโจรกบฏจะเป็นไรไป!
มือนุ่มนิ่มของเด็กสาวกอบกุมฝ่ามือใหญ่สากด้านของบุรุษไว้แน่นๆ “ถิงเฉวียน ข้ารอดชีวิตมาแล้ว คนอื่นหมายเอาชีวิตข้ามิใช่เรื่องง่ายดายเพียงนั้น แม้แต่ฮ่องเต้พระองค์นี้ก็เหมือนกัน ท่านอย่าเอาแต่ตำหนิตนเองที่ไม่สามารถปกป้องข้าได้ทุกเวลาอยู่ร่ำไป อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ข้าคือเฉียวเจา ต่อมาถึงเป็นคู่หมั้นของท่าน”
หากมิใช่หลังฟื้นคืนชีพอีกครั้งแล้วได้พานพบกับเขาและมีจิตปฏิพัทธ์ต่อกัน หรือว่านางจะยอมรับชะตากรรมแล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่ นางยังคงต้องพยายามสืบความจริงเรื่องเหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียว และลากตัวคนที่ให้ร้ายสกุลเฉียวพวกนั้นออกมาทีละคนอย่างสุดกำลังความสามารถ
“ข้ารู้” เซ่าหมิงยวนโอบนางไว้หลวมๆ เขาไม่กล่าวอะไรต่ออีก
เขาก็จะรออยู่ตรงนี้นี่ล่ะ ไม่ว่าเป็นคนที่อยู่ในที่แจ้งหรือที่ลับ จงดาหน้ากันเข้ามาได้เลย เขาจะรับมือเอง
หลังจากแยกกับเฉียวเจา เซ่าหมิงยวนไปที่จวนจิ้งอันโหวคารวะบิดาบุญธรรมก่อน เขายังบอกกล่าววันแต่งงานให้ทราบ พาแววอิ่มอกอิ่มใจผุดขึ้นในดวงตาของบิดา จากนั้นกลับไปยังจวนกวนจวินโหว
ภายในจวนกวนจวินโหวว่างโล่ง กระนั้นบ่าวไพร่ที่เฝ้าอยู่ที่นี่กลับปัดกวาดเช็ดถูทุกซอกมุมอย่างสะอาดหมดจด ถึงผู้เป็นนายไม่อยู่ก็ไม่มีร่องรอยผุพังทรุดโทรมแต่อย่างใด
เซ่าหมิงยวนเดินไปทางด้านในได้ไม่นาน เงาร่างในชุดสีเรียบก็วิ่งรี่มาหา “พี่เขย ท่านกลับมาแล้วในที่สุด”
“หว่านวาน” เซ่าหมิงยวนโน้มตัวนิดหนึ่งลูบศีรษะเฉียวหว่านพลางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “หว่านวานตัวสูงขึ้นอีกแล้ว”
นางได้ยินแล้วเบิกบานใจสุดประมาณ พูดเสียงใสเจื้อยแจ้วกับชายหนุ่มไม่หยุดละม้ายวิหคตัวน้อย
เซ่าหมิงยวนอมยิ้มรับฟังโดยปราศจากท่าทีหงุดหงิดรำคาญอันใด
“พี่เขย ยังมีเรื่องสำคัญที่สุดอีกเรื่องหนึ่งต้องบอกท่านเจ้าค่ะ”
“เรื่องอะไรหรือ”
“พี่ใหญ่ข้าจะกลับเมืองหลวงแล้วเจ้าค่ะ” ดรุณีน้อยกล่าวถึงตรงนี้แล้วเริ่มไม่ชอบใจอยู่สักหน่อย “แต่ว่าพี่ใหญ่เขียนสารถึงพี่หลี ไม่ได้เขียนถึงข้า”
“นี่แสดงว่าข่าวดีนี้เป็นพี่หลีบอกให้เจ้ารู้หรือ”
“เจ้าค่ะ พี่หลีให้ข้าอ่านสารแล้ว”
เซ่าหมิงยวนยิ้มน้อยๆ “เพราะพี่ใหญ่ของเจ้าอยากให้เจ้ากับพี่หลีสนิทสนมกันมากๆ อย่างไรล่ะ เขาหวังว่าจะมีพี่สาวคนหนึ่งช่วยดูแลเจ้าแทนเขา”
“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง” เฉียวหว่านได้ฟังก็ลืมเลือนความไม่พึงใจน้อยนิดนั่นไปสนิทใจ
เมื่อเซ่าหมิงยวนกลับถึงห้องหนังสือ สีหน้าเขาก็ปึ่งชาไปทันใด เขาเรียกเซ่าจือกับเซ่าเหลียงเข้ามา “นับแต่นี้เป็นต้นไป พวกเจ้าเฝ้าดูเจียงหย่วนเฉาไว้อย่าให้คลาดสายตาเด็ดขาด”