หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 725
บทที่ 725
ตอนเฉียวโม่เข้าสู่เมืองหลวงเป็นปลายเดือนสี่แล้ว
เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนได้รับสารแจ้งข่าวก็ไปรอคอยที่ท่าเรือชานเมืองหลวงแต่เช้าตรู่
ต้นฤดูร้อนหิมะน้ำแข็งละลายไปหมดแต่แรก จึงเป็นช่วงที่เหมาะแก่การเดินทางทางน้ำ ในแม่น้ำมีเรือแล่นผ่านไปมาคึกคักขวักไขว่ ต้นหลิวริมน้ำสองฝั่งแผ่กิ่งก้านห้อยย้อยลู่ลงอย่างงดงามอ่อนช้อย
เฉียวเจายืนเขย่งส้นเท้าชะเง้อมองไปทางท้องน้ำอย่างตื่นเต้นพอดู
ใบหน้าของพี่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้
ถึงแม้นางจะเชื่อมั่นในฝีมือการรักษาของท่านปู่หลี่ แต่เมื่อเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุด นางจะรู้สึกหวาดหวั่นวิตกก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้นความเป็นปุถุชนคนธรรมดาไปได้
“อย่าร้อนใจ น่าจะใกล้ถึงแล้ว” เซ่าหมิงยวนยื่นกระบอกน้ำให้นาง “ดื่มน้ำให้ชุ่มคอสักหน่อยเถอะ”
นางรับไปจิบคำหนึ่ง เซ่าหมิงยวนก็รับกลับมาจ่อปากดื่มต่อไปหลายคำ
เฉียวเจาเห็นเขาทำแบบนี้ก็อึ้งงันไป
“ทำไมหรือ” มุมปากชายหนุ่มยังมีหยดน้ำใสแจ๋วเกาะอยู่ เขาเห็นเฉียวเจาจ้องมองตนก็ฉุกคิดขึ้นได้ เหลือบตามองกระบอกน้ำในมือปราดหนึ่งก่อนกล่าวยิ้มๆ ด้วยสีหน้าเป็นปกติ “นำทัพออกรบนานๆ จนติดเป็นนิสัย พอออกมานอกเรือนก็เลยไม่พิถีพิถัน”
อื้อ วันหลังต้องรักษาความเคยชินนี้ไว้ต่อไป ดูเหมือนว่าดื่มน้ำต่อจากเจาเจาจะได้รสหวานขึ้น
นางเบนสายตาออกเงียบๆ คนบางคนนับว่ายิ่งหน้าหนาขึ้นทุกที อย่านึกว่านางไม่รู้ทัน แต่เห็นแก่ที่เขาต้องรออีกสิบเดือน นางจึงไม่อยากเปิดโปงเท่านั้นเอง
“เจาเจา ดูโน่น เรือของพี่เฉียวโม่มาถึงแล้ว”
เฉียวเจามองไปทางที่เขาชี้นิ้วบอกก็เห็นเรือโดยสารขนาดกลางลำหนึ่งแล่นเอื่อยๆ เข้ามาที่ท่าเรือ มีชายหนุ่มสวมชุดสีเรียบผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างราวรั้วตรงหัวเรือ เขาคือเฉียวโม่อย่างไร้ข้อกังขา
ลำเรือเคลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนเฉียวเจาเห็นตัวพี่ชายได้ชัดถนัดตา ดวงตาของนางก็เปล่งประกายด้วยความยินดีปรีดา
รูปโฉมโนมพรรณของเฉียวโม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วจริงๆ มิหนำซ้ำเป็นเพราะผ่านการเคี่ยวกรำจากอุปสรรคปัญหาในคราวนี้ รัศมีในกายที่โดดเด่นสะดุดตาแต่เดิมเหล่านั้นถูกเก็บงำไว้จนสิ้น กระนั้นมิใช่ว่าเขากลายเป็นคนดาษดื่นสามัญ หากแต่เป็นดั่งหยกงามละมุนที่ผ่านการเจียระไนชิ้นหนึ่ง ทำให้คนเห็นแล้วยิ่งไม่อาจละสายตาได้
เฉียวเจาเดินไปข้างหน้าสองก้าวอย่างห้ามใจไม่อยู่
นี่ต่างหากคือรูปลักษณ์ที่แท้จริงของพี่ชายนาง วิญญูชนผู้อ่อนน้อมถ่อมตน สุภาพนุ่มนวลดุจหยก
“เจาเจา ระวังชายกระโปรงเปียกน้ำนะ” เซ่าหมิงยวนประคองนางไว้แล้วเดินออกไปเป็นเพื่อนอย่างเข้าใจความรู้สึกของนางได้
เรือเข้าเทียบท่าในเวลาอันสั้น เฉียวโม่เดินนำหน้า มีเด็กรับใช้สองสามคนแบกหีบตำราตามมาข้างหลัง
เขารุดกลับมาถึงปลายเดือนสี่ก็เพื่อการสอบขุนนางประจำฤดูใบไม้ผลิของรัชศกหมิงคังปีที่ยี่สิบหกซึ่งในครั้งนี้เลื่อนเวลามาเป็นเดือนห้า
เดิมทีเฉียวโม่ต้องไว้ทุกข์ให้บิดามารดานานสามปี จะไม่สามารถสอบรับราชการได้ แต่หลังจากพวกเฉียวเจารื้อฟื้นคดีทวงความชอบธรรมให้สกุลเฉียวได้สำเร็จ ฮ่องเต้หมิงคังนึกครึ้มใจขึ้นมามีพระบัญชาให้เขาเข้าร่วมการสอบคราวนี้โดยเฉพาะ
เฉียวโม่มิใช่คนคร่ำครึ บัดนี้น้องสาวของเขาต้องก้าวออกมาเป็นหัวหอกล้างแค้นให้คนในตระกูล แต่ผู้เป็นพี่ชายกลับอ้างเรื่องไว้ทุกข์กระทำตนเป็นเต่าหดหัว นั่นมิใช่ความกตัญญูแต่เป็นความเห็นแก่ตัว
เขาไม่เพียงต้องเข้าร่วมการสอบขุนนาง ยังจะต้องสอบให้ได้ดีๆ เช่นนี้ถึงจะเข้าสู่ใจกลางแห่งอำนาจอย่างรวดเร็ว และจัดการกับคนที่อยากจัดการได้
ยามเห็นท่าเรือชานเมืองหลวงที่เคยคุ้น ดวงตาของเฉียวโม่ทอประกายกร้าววูบหนึ่งแล้วแปรเป็นอ่อนโยนระคนปีติยินดีเมื่อประสานสายตากับน้องสาว
“พี่ใหญ่ท่านหายดีแล้ว” เฉียวเจาอ้าปากพูดได้ประโยคเดียวก็พูดต่อไม่ออกอีก
เฉียวโม่ยื่นมือไปจะตบไหล่นาง แต่ชำเลืองเห็นสายตาอยากรู้อยากเห็นที่มองมาจากรอบด้านทางหางตา มือของเขาก็เบี่ยงไปวางลงบนท่อนแขนของเซ่าหมิงยวนแทน “ขอบคุณท่านโหวอย่างมากที่คอยดูแลน้องสาวข้า”
“พี่เฉียวโม่ พวกเรากลับจวนแล้วค่อยคุยกัน”
“ดี พวกเรากลับจวนกัน”
จวนกวนจวินโหวเริ่มคึกคักขึ้นตั้งแต่ตอนเซ่าหมิงยวนกลับเมืองหลวงแล้ว พอรู้ว่าเฉียวโม่จะมาถึงในวันสองวันนี้ ทางเดินที่ปูด้วยศิลาเขียวก็ถูกปัดกวาดจนไม่มีฝุ่นเกาะแม้สักเศษเสี้ยวธุลี
“ไม่มีที่ไหนดีเท่าเรือนเรา” สำหรับเฉียวโม่แล้ว ครอบครัวอยู่ที่ใด ที่นั่นถึงเรียกว่า ‘เรือน’
ยามอยู่ต่อหน้าว่าที่พี่ชายภรรยา เซ่าหมิงยวนก็สำรวมตนมากแล้ว แม้เขาจะอยู่ห่างจากเฉียวเจาถึงครึ่งจั้ง แต่เฉียวโม่กลับรับรู้ได้รางๆ ว่าหลังจากแยกกันไปนานหลายเดือน ระหว่างคนคู่นี้รู้ใจกันมากขึ้น เห็นชัดว่าความสัมพันธ์รุดหน้าไปอีกขั้นแล้ว
“ไม่รู้ว่าทั้งสองจวนได้กำหนดวันแต่งงานกันหรือยัง”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ เซ่าหมิงยวนก็ห่อเหี่ยวใจ เขาเอ่ยอย่างคับข้องหมองใจพอดู “กำหนดเป็นเดือนสองปีหน้าเลยขอรับ”
จะว่าไปพี่เฉียวโม่ต่างหากที่เป็นคนในครอบครัวของเจาเจาอย่างแท้จริง ควรต้องให้พี่เฉียวโม่เป็นคนตัดสินใจเรื่องของข้ากับเจาเจาหรือไม่กันแน่นะ
“เดือนสองปีหน้า?” เฉียวโม่ได้ยินแล้วชะงักฝีเท้ากึก คิ้วเรียวยาวได้รูปมุ่นเข้าหากัน “ตอนนั้นเจาเจาเพิ่งปักปิ่น จะเร็วเกินไปหรือเปล่า อันที่จริงข้าเห็นว่ารอไปอีกสองสามปีก็ได้นะ”
แม่ทัพเซ่าผู้เด็ดศีรษะขุนพลข้าศึกกลางทหารเรือนหมื่นได้ง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือเกือบสะดุดล้มบนพื้นเรียบๆ เขาตกใจจนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
เคราะห์ดีที่ตอนนี้พี่เฉียวโม่เป็นคนตัดสินใจไม่ได้แล้ว สวรรค์คุ้มครองโดยแท้
“พี่ใหญ่ ท่านปู่หลี่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ปฏิกิริยาของเซ่าหมิงยวนตกอยู่ในสายตาเฉียวเจาจนสิ้น นางลอบขบขัน ก่อนจะรีบหันเหหัวข้อสนทนาไปเรื่องอื่น
เมื่อเอ่ยถึงหมอเทวดาหลี่ เฉียวโม่ขมวดคิ้วน้อยๆ เขาเหลียวมองรอบตัวตามสัญชาตญาณก่อนกล่าวเสียงเบาๆ “ท่านหมอเทวดาไม่อยู่ในจยาเฟิงแล้ว หลายเดือนมานี้มีคนมาตามหาท่านไม่หยุดหย่อน ถึงขั้นมีคนเล็ดลอดเข้าไปลักพาตัวถึงในเรือนหลายครั้งหลายหนจนท่านเหลือจะทน บอกให้เยี่ยลั่วอารักขาท่านไปอยู่ที่อื่นแล้ว”
“ท่านปู่หลี่ไปที่ไหนหรือเจ้าคะ” เฉียวเจาฟังแล้วอดเป็นห่วงความปลอดภัยของหมอเทวดาหลี่ไม่ได้ นางรู้ว่าด้วยนิสัยของท่านผู้เฒ่าคงทนถูกรังควานแบบนี้ไม่ไหวแน่นอน
“ท่านหมอเทวดาไม่ได้บอก เพียงพูดว่ารอปักหลักได้แล้วจะไหว้วานคนส่งข่าวถึงพวกเราเอง อย่างเร็วสี่ห้าเดือน อย่างช้าก็ปีสองปี ให้เจ้าไม่ต้องห่วงท่าน”
เฉียวเจาถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง
ดูทีว่าท่านปู่หลี่โดนรังควานจนเข็ดขยาดแล้ว จึงไม่กล้าแพร่งพรายที่พำนักของตนเองโดยง่าย
“เจาเจา ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เยี่ยลั่วเป็นองครักษ์ฝีมือดีที่สุดของข้า มีเขาอยู่กับท่านหมอเทวดา ท่านต้องไม่เป็นไรแน่” เซ่าหมิงยวนกลัวนางจะเป็นกังวลก็เปล่งเสียงพูดปลอบขึ้น
มีอีกเรื่องที่เขายังไม่บอกในตอนนี้ เยี่ยลั่วเป็นองครักษ์ของเขา เมื่อหมอเทวดาหลี่ปักหลักอยู่ที่ใดที่หนึ่งได้แล้ว ต่อให้ท่านไม่บอก เยี่ยลั่วก็จะหาวิธีส่งข่าวมาให้เขาทันทีเอง
พอทุกคนเข้าสู่โถงเรือนแล้ว เฉียวโม่ไปชำระกายผลัดอาภรณ์ก่อน ต่อจากนั้นบรรยากาศในจวนพลันรื่นเริงครื้นเครงเพียงไหนหาได้ต้องพรรณนาเป็นคำพูดอีกไม่
พริบตาเดียวก็มาถึงเดือนห้า อากาศเริ่มร้อนขึ้น ผู้คนในเมืองหลวงก็ตื่นตัวกระตือรือร้นมากขึ้น
การสอบขุนนางประจำฤดูใบไม้ผลิที่จัดขึ้นทุกสามปีมาถึงแล้ว ถึงแม้จะล่าช้าไปสามเดือน แต่ยังถือเป็นการสอบประจำฤดูใบไม้ผลิดุจเดิม
ตระกูลต่างๆ ไม่น้อยเริ่มฝึกฝนบ่าวไพร่ในเรือน หรือไม่ก็ว่าจ้างหนุ่มฉกรรจ์แข็งแรงกำยำเอาไว้ หากผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวถามว่าเพราะอะไร คนเหล่านั้นอย่างมากก็ยิ้มเป็นปริศนา ไม่ยอมบอกอะไรมากไปกว่านี้สักคำ
แน่นอนว่าย่อมพูดมากไม่ได้ หากทุกคนรู้หมดจะไม่รุมกันหมายตาหรือ
ในการสอบขุนนางประจำฤดูใบไม้ผลิทุกสามปี ปกติมีบัณฑิตสอบผ่านแค่หยิบมือเดียว ในบรรดานั้นคนที่ยังไม่แต่งงานก็หาได้ยากดุจขนหงส์เขากิเลนเลยทีเดียว เกิดโชคร้ายบางปีไม่มีสักคนเดียว แต่ว่าหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนในเมืองหลวงกลับมีเป็นพะเรอเกวียน
ไม่ผิด ตระกูลเหล่านี้ล้วนเตรียมความพร้อมเพื่อจับลูกเขยใต้ป้ายประกาศผลสอบ
สะสมเรี่ยวแรงมาสามปีเพื่อรอแย่งชิงสามีดีๆ กลับเรือนไปให้บุตรสาว หลานสาวหรือไม่ก็น้องสาวในเวลานี้ เป็นพวกเขาไม่ง่ายดายหรอกนะ
เป็นเซ่าหมิงยวนก็ไม่ง่ายดายดุจเดียวกัน เขาพูดย้ำสำทับองครักษ์ให้คุ้มครองเฉียวโม่ให้ดี
เขาไม่กล้านึกภาพว่าพอติดป้ายประกาศดอกซิ่ง* แล้ว เกิดว่าที่พี่ชายภรรยาถูกคนเอาถุงกระสอบคลุมหัวจับตัวไป ว่าที่ภรรยาเขาจะทำสีหน้าอย่างไร
การสอบฮุ่ยซื่อแบ่งเป็นสามรอบคือวันที่เก้า วันที่สิบสองและวันที่สิบห้า แต่ละรอบนับห่างกันสามวัน เมื่อผ่านเก้าวันนี้ไป บัณฑิตทั้งหลายก็เข่าอ่อนเดินซวนเซจะล้มมิล้มแหล่ คนที่หมดสติโดนหามออกไปก็มีมากมาย
หลังจากการสอบประหนึ่งฝันร้ายสิ้นสุดลง วันประกาศผลสอบก็มาถึงอย่างรวดเร็ว