หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 727
บทที่ 727
เซ่าหมิงยวนพึงพอใจที่เสียงตวาดนี้ของตนทำให้ทุกคนนิ่งเงียบลง
อืม ในเวลาอย่างนี้เขารู้สึกไม่เลวเลยที่คนในเมืองหลวงจำหน้าตนได้ อย่างน้อยช่วยให้เบาแรงไปได้มากยามพบเจอเหตุการณ์แบบนี้
“ฮ่าๆๆ เป็นกวนจวินโหว เมื่อครู่นี้ข้าได้จับสายคาดเอวของกวนจวินโหวหรือนี่!” เมื่อมีคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้นอย่างตื่นเต้นเจียนคลั่ง ฝูงชนที่แข็งทื่อไปเหมือนโดนสาปพลันเริ่มคึกคักชุลมุนอีกครา ซ้ำร้ายยังยื่นมือมาหาเขาอย่างกระเหี้ยนกระหือรือยิ่งกว่าเดิม
ถ้าแย่งสายคาดเอวหรือพู่ห้อยกระบี่สักชิ้นของกวนจวินโหวกลับไปได้ แค่นั้นก็คุยโวไปได้ชั่วชีวิตแล้ว
ทุกๆ สามปีจะมีฮุ่ยหยวนคนหนึ่ง แต่ทั่วทั้งแผ่นดินมีกวนจวินโหวผู้นี้คนเดียว
พลาดคราวนี้ไปก็ไม่มีโอกาสหน้าแล้วนะ
“พี่น้องทั้งหลาย ลุยเลย!”
เซ่าหมิงยวนพูดไม่ออก “…” ข้าทำอะไรผิดไปแล้วใช่หรือไม่
ท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่จะทำร้ายชาวบ้านก็ไม่เหมาะ แต่พอมีคนกระชากถุงผ้าปักของเขาไป ชายหนุ่มพลันเดือดดาลในที่สุด ง้างเท้าเตะคนผู้นั้นออกไปเต็มแรง
คนผู้นั้นละม้ายว่าวที่สายป่านขาด ลอยหวือออกไปชนกำแพงตัวรูดลงกองกับพื้นเบื้องหน้าสายตาผู้คนมากมาย เขานิ่วหน้าด้วยความเจ็บพลางตะโกนคำหนึ่ง “กวนจวินโหวเตะข้า!”
เขายังพูดตัดพ้อไม่ทันจบก็ทำตาเหลือกหมดสติไป
ทุกคนในที่นั่นค่อยๆ เบนหน้าอย่างแข็งทื่อเหมือนหุ่นกระบอกมองไปทางเซ่าหมิงยวน
กวนจวินโหวที่ปกป้องคุ้มครองพวกเขาด้วยความองอาจห้าวหาญเหนือใครประหนึ่งเทพสวรรค์ถึงกับเตะคนเชียวหรือนี่!
“ไหนล่ะที่บอกว่ารักบ้านเมืองรักปวงประชา”
รักบ้านเมืองรักปวงประชา? ใบหน้าหล่อเหลาของเซ่าหมิงยวนบึ้งตึง
บังอาจแย่งถุงผ้าปักที่เจาเจาทำให้เขาเชียวรึ จะบ้านเมืองหรือปวงประชาก็ช่างหัวมันปะไร! เขามิใช่คนที่ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกรท่านนั้นสักหน่อย การปกป้องแผ่นดินเป็นความรับผิดชอบของเขาผู้เป็นแม่ทัพ แต่เรื่องรักบ้านเมืองรักปวงประชายังมิใช่หน้าที่ของเขา
เซ่าหมิงยวนก้าวเท้ายาวๆ ไปหาเจ้าคนดวงตกตรงเชิงกำแพง คนที่ล้อมวงอยู่เปิดทางให้เขาเดินผ่านไปทันทีโดยไม่มีปากมีเสียงสักนิด
คนเหล่านี้คิดแบบเดียวกันหมดว่าเวลากวนจวินโหวบันดาลโทสะน่ากลัวสุดจะกล่าว แต่ก็อยากรู้เหลือเกินว่าเขาจะทำอะไรต่อไป
ขณะที่เซ่าหมิงยวนย่างเท้าตรงไปหาคนผู้นั้น คนอื่นๆ ล้วนหายใจไม่ทั่วท้อง
หรือว่าเตะจนสลบแล้วยังไม่พอ ต้องลงโทษตามวินัยทหารอีก
เมื่อคิดถึงตรงนี้ พวกเขาถอยหลังหนึ่งก้าวอย่างพร้อมเพรียงกันเปิดทางเดินโล่งกว้างมากขึ้น
เซ่าหมิงยวนเดินไปถึงข้างกายคนผู้นั้น โน้มตัวไปเก็บถุงผ้าปักขึ้นมาปัดฝุ่นออกอย่างทะนุถนอมก่อนเหน็บเอวไว้ตามเดิม จากนั้นวางแท่งเงินแท่งหนึ่งบนตัวคนผู้นั้นแล้วหมุนกายจากไป
หนนี้ไม่มีคนกล้าเข้าไปรุมล้อมแล้ว จวบจนเขาจากไปไกล ทุกคนหันไปมองแท่งเงินแท่งนั้นเป็นตาเดียวกัน
เงินก้อนนี้เป็นจำนวนไม่น้อยนะ!
ผู้คนที่จิตใจตรงกันสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่งพร้อมกัน
คนที่สลบไสลอยู่ตลอดผุดลุกขึ้นกะทันหัน เขากอดแท่งเงินไว้กับอกแน่นๆ “พวกเจ้าจะทำอะไร นี่เป็นเงินที่กวนจวินโหวให้ข้าไปซื้อยานะ!”
เขากล่าวจบก็ชักเท้าออกวิ่งไปเลยอย่างหวาดหวั่นสุดใจว่าจะโดนคนแย่งชิงเงิน
ทุกคนลูบๆ จมูกพลางแยกย้ายกันไปอย่างจนปัญญา
ฮุ่ยหยวนหายไปไม่เห็นวี่แวว ส่วนกวนจวินโหวก็น่ากลัวเหลือเกิน พวกเขาไปตามหาพวกบัณฑิตอ่อนแอไม่มีแรงเชือดไก่จะดีกว่า
“สือซี เจ้ากลั่นแกล้งถิงเฉวียนอย่างนี้ไม่ดีกระมัง”
ฉือชั่นชายตามองจูเยี่ยนแวบหนึ่ง “จะเป็นห่วงด้วยเหตุใด คนพวกนั้นจะแตะต้องเขาได้แม้แต่ปลายผมล่ะหรือ ต่อให้เขาคร่ำครึจนไม่ยอมลงไม้ลงมือกับชาวบ้าน ถ้ามีอะไรเลยเถิดจริงๆ ก็ยังมีองครักษ์ที่ซ่อนอยู่ในที่ลับอีก”
จูเยี่ยนหยักยิ้ม “ข้าเป็นห่วงเจ้าต่างหาก”
เขายังลืมเหตุการณ์นั้นไม่ลงหรอกนะ ตอนที่หยางโฮ่วเฉิงดื่มสุราเมามายแล้วกอดขาเซ่าหมิงยวนพูดจาส่งเดช เลยโดนเซ่าหมิงยวนอัดสั่งสอนไปตั้งหนึ่ง
ฉือชั่นเลิกคิ้วขึ้น “ถ้าเขากล้าต่อยข้า ข้าจะไปบอกหลีซานว่าเขาโดนคนดึงกางเกงหลุดกลางถนน อวดขายาวๆ ก้นงอนๆ อล่างฉ่างต่อหน้าต่อตาสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งถนน”
บรรยากาศรอบตัวพลันเย็นยะเยือกลงเมื่อเซ่าหมิงยวนก้าวเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียง เขามองฉือชั่นด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มไม่ยิ้ม “อวดขายาวๆ ก้นงอนๆ อล่างฉ่างต่อหน้าต่อตาสาวน้อยสาวใหญ่ทั้งถนนหรือ”
ฉือชั่นหุบยิ้มตรงมุมปาก สมควรตาย ไฉนต้องให้เจ้าคนผู้นี้ได้ยินเข้าพอดีนะ
“สือซี คิดไม่ถึงว่าเจ้ายังมีความชื่นชอบแบบนี้ด้วย” เซ่าหมิงยวนกำมือเป็นหมัดแล้ว
ฉือชั่นถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว แต่ยังแข็งใจกล่าวว่า “เซ่าหมิงยวน เจ้าอย่าทำอะไรบ้าๆ ข้ากับหลีซานสนิทสนมกันมากนะจะบอกให้”
กระทั่งผักกาดขาวที่ข้าถูกตาต้องใจก็ยกให้เจ้าไปแล้ว เจ้ายังจะเอาอย่างไรอีก!
ครั้นนึกถึงเรื่องนี้ ฉือชั่นก็ยอกแสลงใจนัก
วันหน้าเขาจะไม่ตบแต่งภรรยาแน่ จะครองตัวเป็นโสดชั่วชีวิตให้เจ้าคนบัดซบเซ่าหมิงยวนรู้สึกผิดไปตลอด
“ถิงเฉวียน น้องบุญธรรมยังรอข่าวอยู่ที่เรือนนะ” เฉียวโม่เห็นทั้งคู่กำลังจะทะเลาะวิวาทกันแล้วรีบเอ่ยขึ้นคลี่คลายสถานการณ์
แม้นจะรู้ว่านี่เป็นการกระชับความสัมพันธ์แบบหนึ่งของมิตรสหายกลุ่มนี้ แต่เฉียวโม่อยากจะไปบอกผลลัพธ์ให้เฉียวเจารู้โดยไว เพื่อแบ่งปันความปีติยินดีร่วมกับนาง
“มีองครักษ์ไปรายงานนางแล้ว”
ด้านเฉียวเจาที่อยู่ในเรือนกลับมิได้ร้อนรุ่มใจดังเช่นที่พวกเขาคิดไว้ มิหนำซ้ำยังวาดภาพใบกล้วยต้องฝนที่วาดไปได้ครึ่งๆ กลางๆ เมื่อสองวันก่อนจนเสร็จสมบูรณ์ด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง
นางมั่นใจในตัวพี่ชายของตน
เมื่อครั้งท่านปู่ยังมีชีวิตอยู่เคยบอกว่าพี่ใหญ่เข้าสู่สนามสอบได้แล้ว น่าเสียดายว่าไม่นานนักท่านปู่ก็ล้มป่วยจากไป หลังจากนั้นพวกนางจึงต้องไว้ทุกข์
“คุณหนู คุณชายเฉียวพี่ชายบุญธรรมของท่านสอบผ่านเป็นฮุ่ยหยวนแล้วเจ้าค่ะ” ปิงลวี่วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
“ฮุ่ยหยวน?” ดวงตาของเฉียวเจาเผยรอยปลาบปลื้มใจ
ถึงแม้นางมั่นใจว่าพี่ชายต้องสอบได้ในลำดับต้นๆ แต่ได้ที่หนึ่งในการสอบคราวเดียวยังคงน่ายินดีอย่างเหนือคาด
ม้วนข้อสอบต้องผ่านการตรวจพิจารณาโดยผู้คุมสอบ เช่นนั้นก็ต้องมีความชื่นชอบเฉพาะตัวของแต่ละคนประกอบกันด้วย ฉะนั้นใครได้ที่หนึ่งที่สองมักมีเรื่องโชคดวงอยู่สามส่วน
เฉียวโม่พี่ชายบุญธรรมของคุณหนูสามสอบได้ที่หนึ่งเป็นฮุ่ยหยวน แต่จวนสกุลหลียังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ จะเชิญเขามาฉลองกันอย่างครึกครื้นก็ไม่เหมาะ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งจึงสั่งให้ผู้ดูแลถือของขวัญแสดงความยินดีพร้อมกับของขวัญที่เฉียวเจาเตรียมไว้เป็นการส่วนตัวนำไปมอบให้เขา
เฉียวโม่ก้าวขึ้นไปเป็นขุนนางหน้าใหม่ซึ่งเป็นที่จับตามองของกลุ่มคนทุกสายในชั่วข้ามคืน
ดังคำกล่าวว่าเล่าเรียนสิบปีไร้ซึ่งคนรู้จัก สอบผ่านเป็นขุนนางชื่อก้องแผ่นดิน
แม้ว่าเฉียวโม่เป็นหลานชายของจอมปราชญ์เฉียวจัวจะไม่ถึงขั้นไร้ชื่อเสียงเรียงนาม แต่เหตุไฟไหม้เรือนสกุลเฉียวคราเดียวแทบจะพร่าผลาญทำลายทุกสิ่ง โดยเฉพาะเฉียวโม่เสียโฉมสร้างความเสียดายให้ใครต่อใครนับไม่ถ้วน และปักใจว่าสกุลเฉียวหมดความหวังไปโดยสิ้นเชิง
ทว่าคุณชายสกุลเฉียวสามารถรักษาใบหน้าให้หายดีดังเดิม อีกทั้งคว้าที่หนึ่งจากการสอบระดับฮุ่ยซื่อในคราวเดียว กลายเป็นเรื่องที่ชาวเมืองหลวงพูดถึงกันอย่างครึกโครม
ในจวนสกุลหลัน หลันซงเฉวียนกำลังต่อว่าบิดาอย่างฉุนเฉียว “ท่านพ่อ ข้าเคยบอกแล้วว่าจะปล่อยให้เจ้าหนุ่มสกุลเฉียวนั่นลุกขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ ก็แค่ไหว้วานหัวหน้าผู้คุมสอบนิดเดียวเท่านั้น ท่านกลับไม่รับฟัง ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ เข้าตำราที่ว่าไฟป่าเผาผลาญไม่สิ้น ลมวสันต์โชยมาก็งอกใหม่ วันหน้าเจ้าหนุ่มผู้นี้ต้องเป็นตัวปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน”
หลันซานทำหน้าเครียดขรึม “ซงเฉวียน เจ้ายังหนุ่มแน่นเลือดร้อนเกินไป เจ้ามิได้สังเกตเลยหรือว่าหมู่นี้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยพวกเราสองพ่อลูกมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มต้นจากคดีของสิงอู่หยาง ต่อมาก็เป็นคดีเก่าของเจิ้นหย่วนโหวเมื่อยี่สิบปีก่อน ถึงแม้ฝ่าบาทจะไม่ทรงลงอาญาพวกเราสถานหนัก แต่นี่ไม่ใช่ลางดีอย่างเด็ดขาด แล้วในเวลาอย่างนี้นิ่งสงบดีกว่าเคลื่อนไหวนะ”
“แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร จะเป็นฮุ่ยหยวนก็ดี หรือจะเป็นจ้วงหยวนก็ช่าง เกียรติยศชื่อเสียงที่มีกันได้ทุกๆ สามปีนี้จะสร่างซาไปในเวลาอันสั้น หลังจากนั้นเขาจะกลายเป็นเพียงข้าราชการชั้นผู้น้อยที่เพิ่งออกเดินก้าวแรกในเส้นทางขุนนาง ถึงตอนนั้นยังต้องกลัวว่าจะจับผิดเขาไม่ได้หรือ”
เขามีตำแหน่งเป็นถึงสมุหราชเลขาธิการของราชวงศ์นี้ ย่อมจะเล่นงานคนในราชสำนักได้ถนัดถนี่กว่าเล่นลูกไม้ในการสอบขุนนาง บุตรชายเขายังคงมุทะลุเกินไปอยู่เช่นเคย
หลันซงเฉวียนได้ยินดังนั้นถึงได้ไม่ปริปากพูดอีก