หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 728
บทที่ 728
ในจวนของรองสมุหราชเลขาธิการ สวี่หมิงต๋ากำลังไต่ถามฮูหยินของตนถึงเรื่องของหลานสาว
“ตอนนี้ในบรรดาหลานสาวที่ยังไม่ออกเรือน มีคนใดบ้างที่ยังไม่หมั้นหมาย”
“หลานสี่ หลานห้าและหลานหก พวกนางล้วนยังไม่ได้หมั้นหมาย มีอันใดหรือเจ้าคะ ท่านพี่มีคนที่เหมาะสมแล้วหรือ”
ทุกๆ คราที่ถึงปีที่มีการสอบครั้งใหญ่ ไม่ใช่แค่พวกตระกูลเศรษฐีชนชั้นสูงที่จับตามองบัณฑิตที่มีชื่อบนป้ายประกาศผลสอบ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่เช่นรองสมุหราชเลขาธิการสวี่ก็เป็นเช่นคนทั่วๆ ไปโดยไม่มีข้อยกเว้น
ไม่ว่าเหย้าเรือนใดล้วนมีบุตรสาวหรือหลานสาวกันทั้งนั้น คนเป็นผู้อาวุโสใช่ว่าง่ายดาย เพราะต่างไม่อยากให้บุตรหลานในครอบครัวต้องออกเรือนไปกับบุรุษเสเพลไร้ความรู้ความสามารถใดๆ ผู้หนึ่ง ฉะนั้นพวกปัญญาชนคนหนุ่มที่มีชื่อบนป้ายประกาศดอกซิ่งยังคงไว้วางใจได้มากกว่า
“หลานสี่ก็อายุไม่น้อยแล้ว สมควรหมั้นหมายสักที” รองสมุหราชเลขาธิการสวี่คิดถึงหลานสาวคนที่สี่แล้วหัวคิ้วที่ย่นเข้าหากันก็คลายออก
ในหมู่สตรีสูงศักดิ์ของเมืองหลวง หลานสี่จัดว่าอยู่ในแถวหน้าเช่นกัน ย่อมไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะไม่เห็นอยู่ในสายตา
“นี่คือท่านพี่มีคนที่หมายตาไว้แล้วหรือเจ้าคะ” เมื่อเกี่ยวพันถึงการแต่งงานซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตหลานสาว ผู้เป็นท่านย่าย่อมต้องใส่ใจแน่นอน ด้วยเหตุนี้นางจึงไต่ถามต่ออีกประโยคหนึ่ง
“ฮูหยินเห็นว่าบุตรชายสกุลเฉียวเป็นอย่างไร”
ฮูหยินของท่านรองสมุหราชเลขาธิการอึ้งงันไป
รองสมุหราชเลขาธิการสวี่ถอนใจเฮือกหนึ่ง “เขาลงสนามสอบคราเดียวก็ได้เป็นฮุ่ยหยวน สมแล้วที่เป็นหลานชายของเฉียวจัว”
ในเหล่าคนที่ขับเคี่ยวฟาดฟันกันมาจากการสอบขุนนางนั้น เขายอมศิโรราบให้เฉียวจัวผู้เดียว
บัดนี้ดูไปแล้ว ในครั้งนั้นเขาสู้เฉียวจัวไม่ได้ก็แล้วกันไปเถอะ แต่กระทั่งรุ่นหลานในเวลานี้ยังคงเทียบหลานของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี อันว่าแข่งเรือแข่งพายแข่งกันได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งกันไม่ได้จริงๆ
ยังดีที่ถึงแม้เขาไม่มีหลานชายแบบนี้ แต่ให้หลานสาวออกเรือนไปเป็นสะใภ้ตระกูลเฉียวได้ หลานสาวเขาก็เป็นสตรีมากความสามารถชื่อดังของเมืองหลวงเช่นกันนะ
“ท่านพี่ว่าดีก็ต้องดีแน่นอน เพียงแต่บิดามารดาของคุณชายสกุลเฉียวเพิ่งล่วงลับไปปีกว่า ขณะนี้ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์” ฮูหยินของท่านรองสมุหราชเลขาธิการมิเคยคัดค้านการตัดสินใจของสามีมาแต่ไหนแต่ไร นางแค่เอ่ยข้อกังวลใจออกมา
“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้เป็นธรรมดา ฝ่าบาทพระราชทานอนุญาตให้เฉียวโม่เข้าร่วมการสอบขุนนางโดยเฉพาะก็เป็นการแหวกกฎแล้ว เฉียวโม่คงไม่ใคร่ครวญเรื่องหมั้นหมายในช่วงไว้ทุกข์อย่างแน่นอน”
ตามธรรมเนียมของต้าเหลียง ในช่วงปีแรกของการไว้ทุกข์จะพูดคุยเรื่องการแต่งงานไม่ได้เด็ดขาด แต่ตอนนี้ไว้ทุกข์ครบหนึ่งปีแล้ว ที่พูดๆ กันว่าไว้ทุกข์สามปีนั้น อันที่จริงเหลือเวลาอีกราวปีเดียวเท่านั้น แล้วแม้จะแต่งงานในระหว่างนี้ไม่ได้ แต่สามารถหมั้นหมายได้
กระนั้นรองสมุหราชเลขาธิการสวี่หมิงต๋าประจักษ์แก่ใจดีว่าเมื่อเฉียวโม่เข้าร่วมการสอบขุนนางก่อนแล้ว ไม่มีทางคิดเรื่องแต่งงานเป็นอันขาด หาไม่แล้วทั้งสอบขุนนางทั้งพูดคุยเรื่องแต่งงานในช่วงไว้ทุกข์ นั่นจะตกเป็นที่ครหาของคนทั่วหล้า ต่อให้ฮ่องเต้พระราชทานอนุญาตเป็นพิเศษก็ไม่ได้
“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ไฉนท่านพี่ยัง…”
สวี่หมิงต๋ายกยิ้ม “ไม่พูดคุยเรื่องการแต่งงาน อย่างน้อยก็ทาบทามเป็นการส่วนตัวก่อนได้ ถ้าเฉียวโม่เห็นดีเห็นงามด้วย หลานสี่ก็รออีกปีเดียวเอง”
ฮูหยินของเขายิ้มตาม “ท่านพี่กล่าวได้ถูกต้อง เด็กดีๆ เช่นนี้พลาดไปก็น่าเสียดาย”
สวี่หมิงต๋าดื่มน้ำชาคำหนึ่งด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
เฉียวจัวเคยมีลูกศิษย์ลูกหาทั่วบ้านทั้งเมือง หากเฉียวโม่ไม่ก้าวเข้าสู่เส้นทางขุนนางก็แล้วกันไป แต่ทันทีที่เขาเข้ารับราชการ คนที่เคยเป็นศิษย์ของเฉียวจัวเหล่านั้นจะต้องเปิดทางสะดวกให้อย่างเต็มที่แน่นอน
เมื่อหลานสาวของเขาหมั้นหมายกับเฉียวโม่ก็เท่ากับดึงคนในฝ่ายของเฉียวจัวที่เหลืออยู่มาเป็นพรรคพวกเดียวกันโดยปริยาย
ทว่าเฉียวโม่เป็นหนามยอกอกของหลันซานกับบุตรชาย การผูกดองกับเขาในตอนนี้ต้องสร้างความไม่พอใจให้หลันซาน รออีกหนึ่งปีจึงกำลังดี
เดิมทีปีหน้าก็เป็นโอกาสทองเหมาะจะลงมือที่เขารอคอยมานานหลายปีแล้ว
หลังเฉียวโม่ได้รับคำเชิญของสวี่หมิงต๋าไปพบปะกันในร้านน้ำชาที่ไม่เด่นสะดุดตาแห่งหนึ่ง ในใจเขาสับสนปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายหลาก
เพลานี้เขายังไม่เข้าร่วมการสอบหน้าพระที่นั่งด้วยซ้ำ หลายวันนี้ก็เริ่มเกิดคลื่นใต้น้ำแล้ว มีเทียบเชิญถูกส่งมาดุจเกล็ดหิมะปลิวว่อนวางกองเป็นตั้งอยู่บนโต๊ะ เขาถึงรู้ซึ้งว่าการเป็นข้าราชสำนักกับเสรีชนนั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ไม่เป็นขุนนาง ต่อให้มีชื่อเสียงโด่งดังปานใดก็ได้รับเพียงความเคารพเลื่อมใสจากคนใต้หล้า ไม่อาจยุ่งเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองแม้แต่น้อยนิด
ส่วนเขาสอบได้ที่หนึ่งเป็นฮุ่ยหยวนแล้ว ถ้าไม่ผิดจากที่คาดหมายไว้ในการสอบหน้าพระที่นั่งก็ต้องเป็นหนึ่งในบัณฑิตเอก กลายเป็นราชบัณฑิตผู้สูงส่งทรงเกียรติ ผ่านไปอีกสิบปียี่สิบปีก็มีโอกาสเป็นขุนนางใหญ่ที่ผู้ใดก็มองข้ามมิได้ในราชสำนัก
ขุนนางฝ่ายบุ๋นนั้นล้วนต้องไต่เต้าขึ้นไปทีละก้าวๆ ซึ่งต่างจากแม่ทัพนายกอง แล้วการดึงตัวว่าที่ขุนนางคนสำคัญไปเข้าฝ่ายเดียวกันก็มักจะเริ่มต้นตั้งแต่แรกก้าวเข้าสู่เส้นทางขุนนางแล้ว
สวี่หมิงต๋าแลมองชายหนุ่มที่นั่งตัวตรงเป็นสง่าอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วลอบพึงใจ
เขารู้มานานแล้วว่าชาวเมืองหลวงมักยกเฉียวโม่กับบุตรชายขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงมาเปรียบเทียบกัน มาตรว่าคนในวัยเดียวกับพวกเขาจะไม่สนอกสนใจในจุดนี้แล้ว แต่เมื่อได้เห็นในระยะใกล้ เขาไม่อาจไม่ร้องชมในใจคำหนึ่งว่าสวรรค์เอ็นดูโปรดปรานเจ้าหนุ่มสกุลเฉียวยิ่งนัก นับเป็นบุรุษรูปงามที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้น ชวนให้เจริญตาเจริญใจโดยแท้
สวี่หมิงต๋าเกริ่นนำด้วยการเอ่ยถึงไมตรีกับเฉียวจัว จากนั้นก็กล่าวถึงความเคราะห์ร้ายของสกุลเฉียวอย่างสะทกสะท้อนใจจบ แล้วจึงพูดเข้าเรื่องสำคัญในที่สุด “ข้ามีหลานสาวคนหนึ่ง เป็นคนที่สี่ในหมู่พี่น้อง รูปโฉมไม่ขี้ริ้ว อีกทั้งอ่านออกเขียนได้ ไม่ทราบว่าหลานชายเห็นเป็นอย่างไร”
เฉียวโม่ชะงักไปนิดหนึ่ง เขาเป็นคนความจำดี ย่อมรู้แน่นอนว่าหลานสาวคนที่สี่ของรองสมุหราชเลขาธิการสวี่เป็นคุณหนูท่านใด มิหนำซ้ำเป็นเพราะคุณหนูท่านนั้นโด่งดังไม่น้อย เขายังรู้กระทั่งชื่อจริงของนาง
นางแซ่สวี่ นามว่าจิงหง
เพราะอยู่ในวงสมาคมเดียวกัน เขากับคุณหนูสวี่ผู้นี้ยังเคยพบหน้าค่าตากันมาก่อนตั้งนานแล้ว ในความทรงจำของเขา นางเป็นเด็กสาวเงียบขรึมไว้ตัวผู้หนึ่ง
คนแบบนี้ส่วนใหญ่มักประพฤติตนอยู่ในกรอบ
เฉียวโม่ขบคิดอีกทีก็เข้าใจความหมายของสวี่หมิงต๋า เขากล่าวปฏิเสธอ้อมๆ “ข้ายังไว้ทุกข์อยู่ ไม่เหมาะจะออกความเห็นติชมขอรับ”
สวี่หมิงต๋านิ่งเงียบไปชั่วอึดใจถึงยกน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าขอพูดตามตรงเถอะนะ หลานสาวข้าคนนั้นถึงวัยออกเรือนแล้ว ข้าดูไปดูมาก็มีเพียงหลานชายที่ถูกตาต้องใจ หากเจ้ามีใจเดียวกัน เช่นนั้นรอปีหน้าเจ้าออกทุกข์แล้วค่อยหมั้นหมายกัน แต่ถ้าไร้ความคิดนี้ ข้าจะได้มองหาบุรุษอื่นที่เหมาะจะเป็นคู่ครองของหลานสาว ถึงอย่างไรสตรีต่างจากบุรุษ รอนานไม่ได้”
“ข้า…”
พอเห็นเฉียวโม่จะอ้าปากพูดโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ สวี่หมิงต๋าก็ตัดบทเขา “ไม่ต้องรีบร้อนตอบข้า พวกคนหนุ่มมักใจร้อน ทั้งที่จริงๆ แล้วยังไม่แจ่มแจ้งว่าสิ่งที่ตนต้องการคืออะไรเสมอ เอาอย่างนี้เถอะ รอหลังจากการสอบหน้าพระที่นั่งค่อยให้คำตอบข้า”
สวี่หมิงต๋ากล่าวเช่นนี้แล้ว เฉียวโม่จะปฏิเสธอีกก็ไม่เหมาะ เขาจึงพยักหน้าเบาๆ
เมื่อเฉียวโม่กลับถึงจวนกวนจวินโหว เขาเริ่มตรึกตรองอย่างจริงจัง
เขาย่างวัยยี่สิบกว่าแล้ว ในฐานะทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเฉียว การสืบสายโลหิตเป็นหน้าที่ที่เขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากออกทุกข์ การแต่งงานจะเป็นเรื่องเร่งด่วนจวนตัวจริงๆ
หลานสาวของสวี่หมิงต๋า..
เฉียวโม่มีความจำเป็นเลิศ ในห้วงสมองเขามีภาพสวี่จิงหงปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมกับถ้อยคำของบิดาดังขึ้นที่ข้างหู
‘รองสมุหราชเลขาธิการสวี่อดกลั้นไม่อวดเด่น คนมากมายคิดว่าเขาไร้ความสามารถ ถูกสมุหราชเลขาธิการหลันข่มจนไม่มีปากมีเสียง แต่คอยดูเถอะ วันหน้าคนผู้นี้ต้องกัดหลันซานจมเขี้ยวแน่และก้าวขึ้นเป็นสมุหราชเลขาธิการแทนที่’
เมื่อเป็นเช่นนี้ สกุลสวี่กับสกุลเฉียวก็มีเป้าหมายเดียวกันอยู่แต่เดิม หากเขาผูกดองกับสกุลสวี่ อย่างน้อยไม่ต้องเป็นห่วงว่าวันหน้าจะต้องกระอักกระอ่วนใจจากปัญหาเรื่องจุดยืน
เฉียวโม่ตรึกตรองถึงตรงนี้แล้วไม่คิดต่อให้ลึกลงไปอีกขั้น
ช่างเถอะ ไว้มีโอกาสค่อยหารือกับน้องเจาก็แล้วกัน
“คุณชาย คนจากสกุลโค่วมาเชิญท่านกับคุณหนูรองไปกินอาหารขอรับ” เด็กรับใช้เข้ามารายงาน
เพราะเป็นคำเชื้อเชิญจากตระกูลท่านตา อีกทั้งเป็นตอนที่เขาเพิ่งสอบได้เป็นฮุ่ยหยวน จะด้วยเหตุผลหรือไมตรี เฉียวโม่ล้วนบอกปัดได้ไม่ถนัด เขาทำธุระส่วนตัวครู่หนึ่งแล้วพาเฉียวหว่านนั่งรถม้าของจวนเสนาบดีโค่วมุ่งหน้าไปที่นั่น
ระหว่างทางเฉียวหว่านทำหน้ามุ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
“เหตุใดหว่านวานถึงไม่เบิกบานใจแล้ว” กับน้องสาวผู้นี้ แม้ว่ามิใช่เป็นพี่น้องร่วมมารดา แต่เพราะอายุห่างกันมาก ส่งผลให้เฉียวโม่เอ็นดูตามใจนางมากขึ้นหลายส่วนอย่างช่วยไม่ได้
เฉียวหว่านเป็นเด็กร่าเริงสดใสมาตั้งแต่เกิด ยามอยู่กับพี่ชายที่สนิทสนมที่สุดจึงเก็บซ่อนความในใจไม่อยู่สักนิด นางพูดบ่นขึ้น “ข้ารู้สึกว่าอยู่ในจวนโหวเป็นอิสระดีเจ้าค่ะ ถึงแม้ไปที่เรือนท่านตาได้พบพวกญาติผู้พี่ ข้าจะดีใจมาก แต่พอคิดถึงว่าเวลาอยู่ต่อหน้าพวกท่านยายจะพูดเสียงดังก็ยังทำไม่ได้แล้วรู้สึกเบื่อหน่ายเหลือเกิน”
เฉียวโม่ยีผมนางอย่างขันๆ “หว่านวานเป็นเด็กดี อดทนหน่อยนะ”