หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 737
บทที่ 737
เวลาเจ็ดวันนั้นฉุกละหุกเกินไปบ้างจริงๆ
คนทั้งจวนสกุลหลียุ่งจนหัวไม่วางหางไม่เว้น ในที่สุดก็จัดเตรียมทุกสิ่งได้พร้อมพรักก่อนถึงวันเร่งเจ้าสาว
เหอซื่อเหนื่อยเสียจนนั่งพิงเตาจุดกำยานถือผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อไม่หยุด นางพูดกับฟางมามาสาวใช้คนสนิท “ทีแรกยังกลุ้มใจอยู่ว่าข้าอ้วนกลมไปทั้งตัวตอนตั้งท้องฝูเกอเอ๋อร์ ไม่รู้จะผอมลงได้เมื่อไร คิดไม่ถึงว่าพอทำงานง่วนมาหลายวันนี้ รู้สึกตัวเบาไปหมดแล้ว”
ฟางมามายกน้ำชงน้ำผึ้งมาให้นางดื่มให้ชุ่มคอพลางพูดเตือน “ระวังสุขภาพด้วยนะเจ้าคะ”
เหอซื่อยิ้มแล้ว ดวงตาของนางทอประกายระยับ “เหนื่อยสักปานใดก็คุ้มค่า ชาตินี้ได้เตรียมงานออกเรือนให้บุตรสาวได้ครั้งนี้ครั้งเดียวแล้ว”
นางอยู่ในวัยนี้แล้วยังมีฝูเกอเอ๋อร์ได้ถือว่าเป็นบุญมหาศาล ไม่หวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะมีบุตรอีกแน่
เจาเจาของนางคู่ควรกับสิ่งที่ดีที่สุดในใต้หล้านี้ นางก็ต้องตระเตรียมสินเจ้าสาวอย่างพรั่งพร้อมเต็มที่ ทำให้ใครๆ ไม่อาจหาข้อตำหนิได้
มาตรว่าเหอซื่อไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอุบายอะไร แต่กลับมีความเฉียบไวตามสัญชาตญาณที่มาจากการเป็นบุตรสาวของเศรษฐีบ้านนอก
คนที่คิดว่าสกุลหลียากจนไม่มีอันจะกินเหล่านั้นล้วนกำลังรอดูเรื่องตลกกันอยู่ เรื่องอื่นๆ นางอาจไม่มีปัญญาทำได้ อย่างน้อยเรื่องสินเจ้าสาวต้องทำให้คนพวกนั้นว่ากล่าวไม่ได้
ฮึ นางก็ชอบใช้เงินอุดปากคนช่างนินทาพวกนั้นแบบนี้แหละ
ไม่ผิดจากที่เหอซื่อคาดไว้ พอถึงวันเร่งสินเจ้าสาว ทุกเหย้าเรือนในเมืองหลวงล้วนจับตาดูจวนสกุลหลีอยู่
“จุๆ วันนี้มีเรื่องสนุกให้ชมดูแล้ว มาดูกันเถอะว่าสกุลหลีเตรียมสินเจ้าสาวอะไรให้บุตรสาวบ้าง”
“นั่นน่ะสิ แม้นมีคำกล่าวว่าจะแต่งบุตรสาวต้องแต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์กว่า จะแต่งลูกสะใภ้ต้องเลือกจากตระกูลต่ำต้อยกว่า แต่ศักดิ์ฐานะของสองตระกูลนี้ต่างชั้นกันมากเกินไปบ้าง ฝ่ายหนึ่งคือกวนจวินโหวผู้ทรงเกียรติ ฝ่ายหนึ่งกลับเป็นบุตรสาวของอาลักษณ์เล็กๆ ในสำนักราชบัณฑิต จริงสิ อาลักษณ์สำนักราชบัณฑิตได้เบี้ยหวัดเท่าไรนะ”
“ไม่สามตั้นก็ห้าตั้นกระมัง เอาเป็นว่าเลี้ยงตัวรอดได้ก็ไม่เลวแล้ว”
เพราะหลีกวงเหวินแต่งบุตรสาว จึงมีสหายขุนนางไม่น้อยมาร่วมชมความครึกครื้นด้วย พอได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์พวกนี้ก็ทำหน้าบึ้งตึงทันควัน
สามตั้นห้าตั้นอะไรกัน พวกเขาได้เบี้ยหวัดแปดตั้นชัดๆ กลับโดนลดพรวดเดียวไปมากกว่าครึ่ง ดูแคลนกันเกินไปแล้ว!
“ข้าว่าพวกเจ้าพูดผิดหมด ไม่แน่ว่าทางจวนโหวอาจติงว่าขายหน้า แอบเอาเงินให้ฝ่ายหญิงก็เป็นได้นะ”
มีคนโต้แย้งทันที “มีธรรมเนียมอย่างนี้ที่ไหนกัน หลังหมั้นหมายแล้วฝ่ายชายเอาเงินให้ฝ่ายหญิงไม่เป็นมงคล อีกอย่างพวกเขาเป็นสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ ต้องจัดพิธีมงคลอย่างฉุกละหุกเช่นนี้ ต่อให้เอาเงินให้ก็ซื้อหาของดีๆ พวกนั้นไม่ทันหรอก”
หลายๆ ครอบครัวที่แต่งบุตรสาวล้วนเริ่มเตรียมการตั้งแต่บุตรสาวลืมตาดูโลกแล้ว ยิ่งตระกูลมั่งคั่งสูงศักดิ์ก็ยิ่งพิถีพิถัน สินเจ้าสาวอย่างเช่นเตียงไม้พะยูงสี่เสาฝีมือประณีตวิจิตรมิใช่ของที่ทำออกมาได้ในปีสองปี
“เฮ้อ…ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พวกเขาได้รับพระราชทานสมรสจากฮ่องเต้ มีของพระราชทานสักชิ้นสองชิ้นในสินเจ้าสาวก็มีหน้ามีตาพอแล้ว”
“ถูกของเจ้า ถึงอย่างไรสกุลหลีคงทำบุญทำกุศลมาแปดชาติถึงมีบุตรสาวผู้หนึ่งได้เป็นฮูหยินท่านโหว”
“มิใช่แค่ฮูหยินท่านโหวกระมัง” มีคนกล่าวแทรกขึ้น
“หมายความว่าอะไร”
“พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือว่ากวนจวินโหวเป็นบุตรกำพร้าของเจิ้นหย่วนกง จริงๆ แล้วเขาเป็นท่านกั๋วกง* ต่างหาก”
หลังจากคดีของเจิ้นหย่วนโหวเมื่อยี่สิบปีก่อนพลิกคำตัดสินได้ ก็แต่งตั้งเจิ้นหย่วนโหวผู้ล่วงลับให้เป็นเจิ้นหย่วนกง แต่ฮ่องเต้หมิงคังถือเคล็ดพอสมควร เห็นว่ากวนจวินโหวที่ตนแต่งตั้งเองทั้งน่าเกรงขามทั้งเป็นผู้นำโชค สามารถกำราบพวกต๋าจื่อได้ เลยยังไม่เปลี่ยนคำเรียกขานชั่วคราว ทว่าเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญทุกอย่างของเซ่าหมิงยวนมิได้ต่างจากยศกั๋วกงเลย
ได้ยินคนเอ่ยถึงเรื่องนี้ คนที่มุงดูอยู่ก็ส่งเสียงทอดถอนใจไปตามๆ กัน
ทันใดนั้นเกิดความวุ่นวายชุลมุนระลอกหนึ่ง มีคนไม่น้อยเบียดไปอยู่ข้างหน้า
“ออกมาแล้วๆ”
สินเจ้าสาวที่ผูกผ้าแพรแดงถูกหาบออกมาจากตรอกซิ่งจื่อหีบแล้วหีบแล้ว หาบแรกคือคทาหรูอี้พระราชทานคู่หนึ่ง ลำพังแค่คทาหยกคู่นี้ก็เป็นสิ่งที่คนมากมายใฝ่ฝันอยากได้ก็ยังไม่ได้
โอรสสวรรค์พระราชทานสมรสย่อมสุขสมหวังไปร้อยปี เป็นคำอวยพรให้บ่าวสาวที่ไม่มีคำใดดีไปกว่าคำนี้แล้ว
ที่ตามมาติดๆ เป็นกล่องสินเจ้าสาวสิบใบ กล่องเปิดอ้าไว้ครึ่งหนึ่งใส่ก้อนอิฐดินไว้ใบละหนึ่งก้อน
เหล่าผู้มุงดูมองปราดหนึ่งก็สูดลมหายใจเข้าดังเฮือกใหญ่อย่างพร้อมเพรียงกัน
ตามประเพณีของต้าเหลียง ก้อนอิฐดินขนาดนี้มีค่าเท่ากับที่นาอุดมสมบูรณ์ถึงหนึ่งร้อยฉิ่ง** ก้อนอิฐดินสิบก้อนก็คือที่นาผืนงามพันฉิ่ง
ในฝูงชนด้านข้างมีคนผู้หนึ่งทำสีหน้าเคลิ้มลอยพลางกล่าวรำพึงรำพัน “ข้าใฝ่ฝันอยากเป็นนายน้อยในตระกูลเศรษฐีบ้านนอก มีที่นาผืนงามพันฉิ่ง มีสาวใช้โฉมงามในอ้อมแขนนับไม่ถ้วน ยามอยู่ว่างยังออกไปข้างนอกเกี้ยวพาราสีสาวน้อยน่ารักจิ้มลิ้ม คิดไม่ถึงว่าผ่านไปหลายปีข้ายังคงได้แต่ฝัน ตอนนี้บุตรสาวคนอื่นเพียงออกเรือนมาก็ทำให้ฝันข้าเป็นจริงได้แล้ว….รู้แต่แรกข้าคงไปสู่ขอที่สกุลหลีตั้งแต่สองสามปีก่อนแล้ว!”
สหายที่อยู่ด้านข้างสะกิดๆ คนผู้นั้น “รีบเช็ดน้ำลายออกเถอะ เลิกฝันกลางวันได้แล้ว”
ละเมอเพ้อพกเป็นโรคภัย ต้องรักษา!
หาบสินเจ้าสาวด้านหลังเป็นภาชนะเครื่องใช้เงินทองนานาชนิด เช่น กาน้ำมัจฉาบิน*** ทอง จานชามถาดถ้วยทอง อ่างไฟเงิน เป็นต้น ใส่ไว้เต็มเพียบหลายหาบจนไม้คานแทบโค้งงอ ทั้งยังเป็นเครื่องทองมากกว่าเครื่องเงินอีกด้วย ถัดไปเป็นภูษาแพรพรรณ ฉากกั้นทุกแบบ โต๊ะวางพิณ โต๊ะวาดภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย
คนที่มุงดูอยู่ต่างเบิกตากว้างอย่างสุดระงับ
“ไหนบอกว่าสกุลหลียากจนมิใช่หรือ ที่นาผืนงามกับเครื่องใช้เงินทองเหล่านี้มาจากไหนกัน”
“ดูจากสีสันของเนื้อเงินเนื้อทอง เครื่องใช้พวกนี้มิใช่ของใหม่ น่าจะทำขึ้นนานสักสิบกว่าปีแล้ว ล้วนเป็นของดีหายากทั้งนั้นเลยนะ”
ที่นาอุดมสมบูรณ์พันฉิ่งกับของเก่าสะสมมานานปีหาใช่สิ่งที่ซื้อหากันได้เฉพาะหน้า เป็นข้อพิสูจน์ว่าที่ผู้คนคาดเดากันว่าฝ่ายชายแอบมอบเงินให้ฝ่ายหญิงเพื่อรักษาหน้าตาไว้นั้นไม่ถูกต้อง
“สวรรค์ สินเจ้าสาวมีจำนวนถึงร้อยกว่าหาบเชียวหรือนี่ เป็นรองเพียงงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงเท่านั้นกระมัง”
สหายด้านข้างรีบกระตุกแขนเสื้อคนผู้นั้น “ชมความครึกครื้นไป อย่าพูดจาส่งเดช”
คนทั้งเมืองหลวงล้วนอยากรู้อยากเห็นการส่งสินเจ้าสาวของสกุลหลี คนมุงดูก็ย่อมมีเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้พวกองครักษ์จินหลินต้องออกโรงปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้นถ้อยคำบางคำเก็บไว้ในใจจะดีกว่า
ในเพลานี้เองมีคนร้องอุทานเบาๆ เสียงหนึ่ง “พวกเจ้าว่าในหีบสิบกว่าใบข้างหลังนั่นเป็นอะไร ดูแล้วเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน”
ท้ายขบวนสินเจ้าสาวเป็นหีบใบน้อยใบใหญ่ทำจากไม้การบูรแบบเดียวกันอีกสิบแปดใบ และผูกด้วยผ้าแพรสีแดงเข้ม ทว่าเพราะไม่ได้เปิดอ้าออกถึงกระตุ้นความสนใจใคร่รู้ของคนบางคนขึ้นมา
“ข้าเดาว่าในหีบพวกนั้นคงใส่พวกของเล็กๆ น้อยๆ ไว้ตามใจชอบ สินเจ้าสาวด้านหน้าพวกนั้นก็น่าตกตะลึงมากพอแล้ว ถ้าในหีบพวกนี้เป็นของมีค่าแท้ๆ อีก สกุลหลีจะมิใช่มีเหมืองเงินเหมืองทองหรือไร”
จะเป็นสิ่งใด ได้เห็นก็จะรู้เองมิใช่หรือ
กลางฝูงชนมีบุรุษแต่งกายเฉกชาวยุทธ์พเนจรชมดูความครึกครื้นอย่างสนอกสนใจ เขาได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านแล้วงอนิ้วดีดหินก้อนหนึ่งออกไป มันพุ่งไปโดนขาของบ่าวผู้ชายที่แบกหีบไว้พอดี
บ่าวชายผู้นั้นตัวเซเกือบล้มลง หีบที่แบกไว้บนบ่าก็เอียงโคลงเคลงไปด้วย ส่งผลให้ฝาที่ปิดสนิทแต่เดิมเปิดอ้าออก มีก้อนเงินกระเด็นหล่นออกมาหลายก้อน
ทั้งสี่ทิศเงียบกริบไปทันใด เหล่าผู้มุงดูละม้ายโดนท่านเซียนเสกคาถาให้นิ่งค้างอยู่กับที่ด้วยสีหน้าท่าทางอ้าปากกว้างมองดูหีบไม้การบูรที่ฝาเปิดออก
ในหีบมีก้อนเงินส่องประกายวาววับวางเรียงรายอยู่ แต่เพราะใส่จนแน่นมากเกินไป พอหีบโคลงเคลงทีเดียวถึงดันฝาเปิดออก
บ่าวชายรีบเก็บก้อนเงินบนพื้นใส่หีบปิดฝาให้เรียบร้อยแล้วกลับเข้าขบวนตามเดิม
จนกระทั่งขบวนส่งสินเจ้าสาวเคลื่อนห่างไปไกลแล้ว ชาวบ้านที่มุงดูอยู่ยังคล้ายตกอยู่ในห้วงฝัน
หีบสิบกว่าใบใส่ก้อนเงินไว้จนแน่นแทบล้นทะลักออกมา เงินก้นหีบของบุตรสาวตระกูลไหนกันถึงมีมากมายเหลือเฟือเท่านี้
“พวกเจ้าว่าในหีบพวกนั้นยังมีทองคำด้วยหรือไม่ จะบอกพวกเจ้าโดยไม่ปิดบัง ด้านข้างหีบไม้การบูรสิบแปดใบนั่น ข้ายังเห็นหีบไม้ยางพาราอีกหกใบด้วยนะ”
ทุกคนนิ่งเงียบไปกันหมดแล้ว
ดูเหมือนใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!