หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 738
บทที่ 738
ขบวนส่งสินเจ้าสาวอันยาวเหยียด มีเด็กน้อยวิ่งตามอยู่ด้านหลังเล่นไล่จับกันอย่างสนุกสนานส่งเสียงหัวเราะสดใสดังไปทั่วบริเวณ ทว่าผู้ใหญ่ที่มุงดูอยู่กลับตะลึงพรึงเพริดไปกับความอลังการของสินเจ้าสาวเป็นนานครู่ใหญ่ก็ยังดึงสติคืนมาไม่ได้
“จะว่าไปแล้ว สกุลหลีเหมือนมีอาคมของขลังจริงๆ ได้กวนจวินโหวเป็นบุตรเขยไม่ว่า พวกเจ้ายังจำเมื่อปีกลายกันได้กระมัง ชาวสกุลหลีทั้งครอบครัวบุกไปอาละวาดถึงกององครักษ์จินหลิน ผลปรากฏว่ารอดมาได้อย่างปลอดภัย…”
คนด้านข้างส่งเสียงไอดังๆ ตัดบทคนที่กล่าวอย่างอัศจรรย์ใจอยู่ผู้นั้น
ตอนนี้เองมีชายชราผมสีดอกเลาผู้หนึ่งเอ่ยปากขึ้น “ยังไม่พูดถึงว่าสกุลหลีจะมีอาคมของขลังหรือไม่ บุตรสาวของนายท่านใหญ่สกุลหลีจะออกเรือนไปพร้อมทรัพย์สินมากมายอย่างนี้กลับไม่น่าแปลกประหลาด”
“เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้” ทุกคนยิ่งสนใจใคร่รู้เป็นทวีคูณ พากันไต่ถามขึ้น
ชายชราลูบเครา “คนรุ่นหลังเช่นพวกเจ้านี้ไม่รู้หรอกว่าเมื่อครั้งนายท่านใหญ่ของจวนตะวันตกแห่งสกุลหลีตบแต่งภรรยาใหม่ เดิมทีมีคนไม่น้อยรอหัวเราะเยาะเขา ผลปรากฏว่าขบวนสินเจ้าสาวผูกแพรแดงยาวนับสิบลี้จนเป็นที่ฮือฮาไปทั้งเมืองหลวง ด้วยเหตุฉะนี้ข้าคาดได้แต่แรกแล้วว่าสินเจ้าสาวของเรือนเขาไม่มีทางอัตคัดขัดสนไปได้”
“เช่นนั้นมารดาของคุณหนูสามสกุลหลีมีความเป็นมาอย่างไรหรือ ไฉนถึงได้ร่ำรวยมั่งมีเพียงนี้” ทุกคนถามซักไซ้ต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ภายในจวนสกุลหลี บรรดาสาวใช้น้อยกำลังพูดคุยถึงสินเจ้าสาวขบวนใหญ่โตของคุณหนูสามกันด้วยสีหน้าเริงรื่นชื่นบาน เหอซื่อรับฟังด้วยรอยยิ้มกว้าง เพียงรู้สึกเบิกบานสำราญใจยิ่ง
ฟางมามาอดกล่าวขึ้นไม่ได้ “ฮูหยินช่างรักใคร่คุณหนูจริงๆ แต่ยังมีฝูเกอเอ๋อร์อีกคนนะเจ้าคะ”
เหอซื่อชายตามองสาวใช้คนสนิทแวบหนึ่ง ก่อนอุ้มบุตรชายมาจูบทีหนึ่ง “วันหลังพอฝูเกอเอ๋อร์เติบใหญ่แล้วห้ามว่าแม่ลำเอียงนะ แม่จะบอกเจ้าให้ สินเจ้าสาวของสตรีพึงเก็บไว้ให้บุตรสาว บุตรชายต้องใฝ่หาความก้าวหน้าด้วยตนเอง พากเพียรเล่าเรียนศึกษา ภายภาคหน้าไขว่คว้าบรรดาศักดิ์นายหญิงตราตั้งกลับมาให้แม่”
ฝูเกอเอ๋อร์ย่อมฟังไม่เข้าใจเป็นธรรมดา แต่เขาคุ้นเคยกับที่มารดาจูบตนแบบนี้มากที่สุด จึงเริ่มหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
เหอซื่อเม้มปากยิ้มแล้ว “ฟางมามาเห็นหรือไม่ ฝูเกอเอ๋อร์เห็นด้วยแล้ว”
ฟางมามาทั้งขบขันทั้งอึ้งงัน “…” ฮูหยินนี่นะ กลั่นแกล้งเด็กแบเบาะ ไม่กระดากใจบ้างหรือ
เหอซื่อต้องเก็บส่วนหนึ่งไว้ให้บุตรชายอยู่แล้ว แม้จะไม่มากเท่าของบุตรสาว แต่เพียงพอให้เขาตบแต่งภรรยาได้อย่างสมเกียรติในวันหน้า
“อุ๊ย คุณชายน้อยปัสสาวะแล้วเจ้าค่ะ” ฟางมามายื่นมือเข้าไปคลำด้านในผ้าห่อตัวทารกแล้วรีบรับตัวฝูเกอเอ๋อร์ไปเปลี่ยนผ้าอ้อม
เหอซื่อได้อยู่ว่างๆ แล้ว นางกุมถ้วยน้ำชงน้ำผึ้งด้วยสองมือดื่มช้าๆ พลางปล่อยความคิดลอยไปไกล
มาตรว่าบิดาของนางเป็นแค่เศรษฐีบ้านนอกไร้ตำแหน่งยศศักดิ์ใด แต่ท่านเชี่ยวชาญการค้าขายอย่างมาก ตอนที่นางเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ครอบครัวก็มีที่นาผืนงามเป็นพันฉิ่งและทรัพย์สินเงินทองมากมายก่ายกอง
นางเป็นบุตรสาวโทน อีกทั้งออกเรือนมาที่ตระกูลปัญญาชน ท่านพ่อหวั่นใจว่าสกุลหลีจะดูแคลนนาง ในครั้งนั้นท่านแทบจะยกทรัพย์สมบัติเกือบทั้งหมดของครอบครัวให้เป็นสินเจ้าสาวของนาง ด้วยเหตุนี้ยังต้องหมางใจครั้งใหญ่กับญาติพี่น้องในวงศ์ตระกูล
จะว่าไปแล้วหลายปีมานี้เพราะมีเงินทองในมือล้นเหลือช่วยให้นางได้กินดีอยู่ดี ถึงทนผ่านความเย็นชาหมางเมินของสามีในช่วงที่ผ่านมาได้ ซึ่งนี่ต้องขอบคุณบิดาที่รักใคร่นาง
บัดนี้ถึงเวลาที่บุตรสาวของนางออกเรือน นางก็ต้องมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้บุตรสาว เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้หลายปีให้หลังบุรุษที่ตกลงปลงใจครองคู่ด้วยกันในตอนแรกไม่อาจพึ่งพาได้อีก อย่างน้อยบุตรสาวของนางยังมีเงินทองเป็นจำนวนมาก
เฮ้อ…บุตรสาวใกล้จะไปเป็นคนเรือนอื่นแล้ว ไม่สามารถมาคารวะข้าได้อีกทุกวัน คิดไปแล้วก็น่าเศร้าใจนัก
ด้านหลิวซื่อที่ยังอยู่ในระหว่างอยู่เดือนฟังสาวใช้เล่าสาธยายถึงขบวนส่งสินเจ้าสาวอันเชิดหน้าชูตาของคุณหนูสามด้วยสีหน้าตื่นเต้นคึกคักแล้ว รอยยิ้มบนหน้ายิ่งกว้างขึ้น
คุณหนูสี่หลีเยียนมุ่นคิ้วบอกให้สาวใช้ออกไป “ท่านแม่กำลังพักรักษาตัวอยู่ อย่ารบกวนท่าน”
“แม่ไม่รำคาญสักหน่อย ได้ยินเรื่องพวกนี้แล้วกลับดีใจอย่างยิ่ง”
หลีเยียนข่มใจไว้ แต่เพราะในห้องไม่มีคนนอกอีก นางถึงเอ่ยถามขึ้น “ท่านแม่ ท่านไม่กังวลใจบ้างเลยหรือเจ้าคะ”
“กังวลใจเรื่องใด”
“พี่เจาออกเรือนไปอย่างมีหน้ามีตาเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะท่านป้าสะใภ้ใหญ่มีเงินทอง พอถึงตอนพวกข้า…” หลีเยียนกล่าวถึงตรงนี้ก็หน้าแดง ทว่าหลังสูญเสียบิดาไปอย่างกะทันหันทำให้หลายเดือนมานี้นางเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ยามอยู่กับมารดาจึงไม่มีอะไรที่ปล่อยวางไม่ได้ “รอถึงตอนข้ากับน้องฉานออกเรือนแล้วสินเจ้าสาวต่างจากของพี่เจามากไป คนอื่นต้องนินทาลับหลังเป็นแน่ ข้ากลัวท่านแม่จะเดือดเนื้อร้อนใจ…”
หลิวซื่อหลุดหัวเราะพรืด “เด็กโง่ แม่จะเดือดเนื้อร้อนใจเรื่องอะไร แม่มีแต่จะดีใจสิไม่ว่า”
หลีเยียนกะพริบตาปริบๆ อย่างฉงนใจ
หลิวซื่อเห็นบุตรสาวทำหน้าตางุนงง จึงเอ่ยอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน “พวกเจ้าไม่มีบิดาแล้ว วันหน้าจะพูดคุยทาบทามเรื่องแต่งงานก็ต้องยากลำบากกว่าผู้อื่น ถ้าหากพี่เจาของเจ้าออกเรือนไปแบบไม่มีสมบัติพัสถานติดตัวอีก คนอื่นยิ่งปักใจว่าสกุลหลีมีฐานะยากจน ไม่เป็นผลดีต่อเรื่องแต่งงานของพวกเจ้ามากกว่า ตอนนี้สินเจ้าสาวพี่เจาของพวกเจ้าทำให้พวกที่ชอบดูถูกคนอื่นเหล่านั้นแทบตาบอด รอเมื่อถึงตอนเจ้ากับน้องสาวพูดคุยเรื่องแต่งงาน คนพวกนั้นก็จะให้เกียรติมากขึ้นเอง”
หลีเยียนแจ่มแจ้งในบัดดล
หลิวซื่อเม้มปากยิ้ม “ดังนั้นแม่จะเดือดเนื้อร้อนใจไปด้วยเหตุใด พวกเจ้าเป็นพี่น้องในสกุลเดียวกัน ยามรุ่งเรืองก็รุ่งเรืองไปด้วยกัน ยามตกต่ำก็ตกต่ำไปด้วยกัน คนอื่นจะพูดติฉินนินทาบ้างแล้วมีอันใด คนที่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริงหาใช่พวกเขาไม่”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลิวซื่อทำสีหน้าขึงขังขึ้น “เยียนเอ๋อร์ เจ้าจำไว้นะ เวลาประสบปัญหาใดต้องมองไปในด้านดีก่อน เปิดใจกว้าง หนทางของชีวิตจึงจะเปิดกว้าง”
“ท่านแม่ ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“ยังมีจุดหนึ่งที่ยิ่งต้องจำไว้”
“ท่านแม่โปรดบอกด้วยเจ้าค่ะ”
“เดินตามพี่เจาของเจ้าไม่มีผิดพลาดแน่” หลิวซื่อหยุดเว้นจังหวะแล้วกล่าวสำทับอย่างจริงจัง “จุดนี้สำคัญยิ่งกว่าคำสอนก่อนหน้านั้น”
หลีเยียนพูดไม่ออก “…” ความจริงนางรู้ว่าท่านแม่ยกสินเจ้าสาวของตนเกือบครึ่งหนึ่งให้เป็นสินเจ้าสาวของพี่เจาแล้ว
ขบวนสินเจ้าสาวยาวสิบลี้ของสกุลหลีกลายเป็นหัวข้อที่ชาวเมืองหลวงหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติในวงน้ำชายามบ่ายอย่างรวดเร็ว
ตอนรุ่ยอ๋องไปที่เรือนหลีเจี่ยว สีหน้าเขาปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายหลากอยู่บ้าง
หลังจากจิตใจที่ตื่นเต้นเจียนคลั่งตอนรู้ว่าอนุคนอื่นตั้งครรภ์ก่อนหน้านี้สงบลงไปนานแล้ว อีกทั้งไม่จำเป็นต้องอกสั่นขวัญแขวนอีกต่อไป พอหลีเจี่ยวใกล้จะคลอดบุตรเต็มทีหลังประคับประคองมาถึงตอนนี้ได้อย่างปลอดภัยในที่สุด เป็นเหตุให้เขาเอาใจใส่นางยิ่งขึ้น
“ท่านอ๋องทรงเป็นอะไรไปหรือเพคะ”
รุ่ยอ๋องถอนใจ “เจี่ยวเหนียงคงรู้เรื่องที่น้องเจาของเจ้าต้องเลื่อนวันแต่งงานเร็วขึ้นเพราะได้รับพระราชทานสมรสแล้วกระมัง”
หลีเจี่ยวลอบสะดุดใจ แต่ยังแสดงท่าทางห่วงใย “หม่อมฉันได้ยินแล้วเพคะ หรือว่าเพราะฉุกละหุกเกินไปเลยทำให้การแต่งงานของน้องเจามีอะไรขาดตกบกพร่องไป”
ท่านย่าสูงวัยมากแล้ว ท่านพ่อเป็นพวกไม่ได้เรื่องได้ราว ส่วนแม่เลี้ยงก็เป็นคนโง่เขลา กำหนดวันแต่งงานเร่งรีบแบบนี้จะก่อเรื่องน่าขบขันก็ไม่น่าแปลกใจสักนิด
ข้าอยากฟังจริงๆ ว่าเกิดเรื่องน่าขบขันอะไร
นางเข้ามาเป็นอนุในวังอ๋องแล้ว จะปักหลักยืนได้มั่นหรือไม่ขึ้นอยู่กับเด็กในครรภ์ของนาง ส่วนว่าสกุลเดิมเป็นอย่างไรล้วนไม่สลักสำคัญ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่เคยรักนางจากใจจริงเลย
รุ่ยอ๋องกลั้นยิ้มไม่อยู่ เขากล่าวปลอบนาง “เจี่ยวเหนียงไม่ต้องเป็นห่วงนะ สกุลเดิมของเจ้าไม่เพียงมิได้ก่อเรื่องชวนขัน กลับมีหน้ามีตาสุดประมาณเลยทีเดียว”
หลีเจี่ยวใจหล่นวูบ
“สินเจ้าสาวของน้องสาวเจ้าแม้แต่ข้ายังรู้สึกตกใจ ที่นาผืนงามพันฉิ่ง แก้วแหวนเงินทองนับไม่ถ้วน มีมากถึงร้อยหาบเศษ สมดังคำกล่าวว่าขบวนสินเจ้าสาวยาวสิบลี้โดยแท้”
ไม่คิดเลยว่าสกุลเดิมของหลีซื่อจะร่ำรวยมากกว่าที่เขานึกไว้ น่าเสียดายนัก ถ้ารู้เช่นนี้แต่แรก น่าจะทำพิธีรับตัวนางเข้าวังในตำแหน่งชายารองเสียเลย
มีพระบิดาเป็นอย่างนั้น ชีวิตของพระโอรสก็ไม่สุขสบายนักหรอกนะ
“เจี่ยวเหนียง เจ้าเป็นอะไรไป”
“หม่อมฉัน…หม่อมฉันปวดท้อง…” สีหน้าของหลีเจี่ยวซีดเผือด
“หมอตำแย เรียกหมอตำแยมาเร็วเข้า!” รุ่ยอ๋องตะโกนเสียงดัง
รุ่ยอ๋องจัดเตรียมหมอตำแยเตรียมรอไว้ในวังถึงเจ็ดแปดคนแต่แรก พอได้ยินเสียงร้องเรียกก็รีบรุดมากันหมด หลีเจี่ยวถูกประคองเข้าห้องคลอดบุตร หลังจากทำคลอดอยู่นานหลายชั่วยาม นางก็ให้กำเนิดบุตรอย่างราบรื่นในที่สุด
หลีเจี่ยวเปียกชุ่มไปทั้งกายคล้ายปลาที่เพิ่งช้อนขึ้นมาจากน้ำ แววตานางอ่อนระโหยขณะเอ่ยถามขึ้น “เป็นชายหรือหญิง”