หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 739
บทที่ 739
เด็กชาย…เด็กชาย…ต้องเป็นเด็กชายแน่!
ถึงแม้นับแต่ตั้งครรภ์เป็นต้นมา หลีเจี่ยวจะมีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าเป็นบุตรชาย แต่ครั้นถึงชั่วเสี้ยวเวลานี้จริงๆ นางยังคงตื่นเต้นสุดจะเปรียบ และรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงกว่าตอนเบ่งคลอด
ห้องคลอดบุตรตกอยู่ในความเงียบ
“ตกลงเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิงกันแน่” หลีเจี่ยวใจหล่นวูบโดยพลัน
“ขอแสดงความยินดีกับอี๋เหนียงด้วย เป็นท่านหญิงน้อยเจ้าค่ะ”
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด…” หลีเจี่ยวลุกพรวดขึ้นนั่งจนทุกคนสะดุ้งตกใจ
“อี๋เหนียง ท่านเพิ่งคลอดบุตร จะขยับตัวส่งเดชไม่ได้นะเจ้าคะ”
หลีเจี่ยวถลึงตามองคนที่พูดขึ้นด้วยสายตาขุ่นขวางราวกับอยากจะกินเลือดกินเนื้ออีกฝ่าย “อุ้มเด็กมาให้ข้าดู…อุ้มเด็กมาให้ข้าดูสิ”
“อี๋เหนียง อุ้มท่านหญิงน้อยไปให้ท่านอ๋องทอดพระเนตรแล้วเจ้าค่ะ”
“พวกเจ้าต้องโกหกข้าเป็นแน่ อุ้มเด็กมาให้ข้า!” หลีเจี่ยวแผดเสียงตะโกนลั่น แต่เพราะยังไร้เรี่ยวแรงหลังคลอดบุตร เสียงของนางที่ดังไปเข้าหูทุกคนจึงไม่ดังนัก แต่สีหน้าท่าทางน่ากลัวของนางกลับชวนให้หนังศีรษะชาวาบๆ
ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
อี๋เหนียงผู้นี้คงมิได้สติฟั่นเฟือนไปแล้วกระมัง ไฉนคิดไม่ตกเช่นนี้นะ
แม้ว่าก่อนหน้านี้ในวังอ๋องเคยมีท่านหญิงน้อยแล้วแต่ก็เลี้ยงไม่รอด ถ้าจะนับกันจริงๆ ท่านหญิงน้อยที่ถือกำเนิดตอนนี้คือธิดาองค์โตของวังอ๋อง
ถึงจะเปรียบไม่ได้กับท่านชายน้อย ทว่าเทียบกับท่านหญิงน้อยที่ถือกำเนิดทีหลังแล้วมีเกียรติมากกว่าเป็นอันมาก
เมื่อมีธิดาองค์โตของวังอ๋องอยู่เคียงข้าง อี๋เหนียงท่านนี้ก็มีที่พึ่งพิงไปชั่วชีวิต ไยคนเราถึงไม่รู้จักพอเฉกนี้เล่า
“เด็ก…ข้าจะดูเด็ก…” หลีเจี่ยวควบคุมสติไม่อยู่แล้ว นางผลักไสข้ารับใช้ใกล้ตัวสุดแรง
ของเหลวอุ่นจัดไหลพรวดออกมาระลอกหนึ่ง ข้ารับใช้ตาไวร้องอุทานด้วยความตกใจ “แย่แล้ว! อี๋เหนียงตกเลือดแล้ว”
รุ่ยอ๋องมองดูบุตรสาวที่เพิ่งคลอดออกมาด้วยสีหน้าปลาบปลื้มใจ แม้นเมื่อแรกได้ยินว่าเป็นเด็กหญิง เขาจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่มันถูกแทนที่ด้วยความปีติยินดีอย่างรวดเร็ว
เป็นเด็กหญิงแล้วจะกลัวอะไร หลังจากนี้ยังมีอนุที่จะคลอดบุตรอีกสามคน อย่างไรก็คงไม่มีทางเป็นเด็กหญิงทั้งหมด
ขณะนี้เขาไม่มีบุตรสักคนเดียว ถึงเป็นบุตรสาว เขาก็จะถนอมกล่อมเกลี้ยงประหนึ่งดั่งไข่มุกในอุ้งมือ นี่เป็นบุตรคนแรกที่เขาตั้งตารอคอยมาหลายปีเชียวนะ
“ขอแสดงความยินดีกับท่านอ๋องด้วยเพคะ ท่านหญิงน้อยโฉมงามจริงๆ”
รุ่ยอ๋องพยักหน้าอย่างเบิกบานสำราญใจ “ใช่ ดูสิ ปากนิดจมูกหน่อย ตาโตแป๋วแหวว…” คำชมบุตรสาวพรั่งพรูออกจากปากเป็นชุดโดยไม่มีตระหนี่
ทุกคนเห็นท่านอ๋องไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเพราะคลอดออกมาเป็นท่านหญิงน้อย ก็ล้อมวงกันเข้าไปรอรับเงินรางวัล
เวลานี้เองเกิดเสียงดังอึกทึกมาจากห้องคลอดบุตรระลอกหนึ่ง รุ่ยอ๋องได้ยินแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ “เอะอะอะไรกัน ระวังจะทำให้ท่านหญิงน้อยตกใจ”
ข้ารับใช้นางหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นออกมา “ท่านอ๋อง อี๋เหนียงตกเลือดเพคะ”
“ตกเลือด?” รุ่ยอ๋องมองห้องคลอดบุตรแวบหนึ่ง ค่อยก้มหน้ามองบุตรสาวที่เพิ่งลืมตาดูโลกอีกที ถึงที่สุดแล้วเขายังมีความสงสารเมตตาต่อคนที่มีทายาทให้เขาอยู่หลายส่วน จึงเอ่ยสั่งว่า “พยายามรักษาสุดความสามารถ ถ้าอี๋เหนียงปลอดภัย ข้าจะตกรางวัลให้อย่างงาม”
ขณะที่ในวังรุ่ยอ๋องมีทั้งคนดีใจและคนทุกข์ใจ ด้านจวนกวนจวินโหวนั้นเต็มไปด้วยความชื่นมื่นรื่นเริง ตั้งแต่สิงโตหินหน้าประตูใหญ่ไปจนถึงต้นหอมหมื่นลี้ข้างซุ้มประตูวงเดือนล้วนผูกผ้าไหมแดงประดับประดาไว้จนทั่ว
ทรัพย์สินของฝ่ายหญิงถูกยกมาวางเรียงในลานโถงให้คนชมดู ข้าวของเครื่องใช้ที่ผูกผ้าแพรแดงเพิ่มบรรยากาศงานมงคลให้แก่จวนกวนจวินโหวอันใหญ่โตอีกหลายส่วน
เซ่าหมิงยวนมองดูแท่งเงินและทองคำเป็นหีบๆ พลางลูบปลายคาง
มิน่าเมื่อก่อนเขามอบเงินให้เจาเจา นางถึงทำหน้าไม่ยินดียินร้าย ที่แท้ภรรยาข้าไม่ได้ขัดสนเงินทอง
ครั้นนึกถึงคำว่า ‘ภรรยา’ หัวใจของชายหนุ่มก็หวานชื่นไปทุกซอกมุมราวกับแช่อยู่ในน้ำผึ้ง ริมฝีปากแย้มออกยิ้มอยู่คนเดียว
“ท่านโหว ท่านโหวอาวุโสมาแล้วขอรับ”
เซ่าหมิงยวนรีบออกไปต้อนรับ
หลังจากประสบชะตากรรมโดนจำคุกคราหนึ่ง จิ้งอันโหวแลดูชราภาพไปมาก จอนผมแทบจะเป็นสีขาวทั้งหมด แต่สีหน้าท่าทางกลับกระฉับกระเฉงไม่เลว
“ท่านพ่อ ท่านมาแล้วหรือ รีบเข้าไปนั่งในเรือนเถอะขอรับ”
เซ่าหมิงยวนทั้งเคารพนับถือและซาบซึ้งในบุญคุณของจิ้งอันโหวจากส่วนลึกของใจ เขากุลีกุจอเข้าไปประคองบิดาบุญธรรมเดินเข้าข้างใน
จิ้งอันโหวตบแขนเขาเบาๆ “ประคองอะไรกัน ข้ายังไม่ถึงขั้นเดินเหินไม่ไหวนะ”
สองพ่อลูกเข้าเรือนแล้วถอดรองเท้าขึ้นไปอยู่บนเตียงเตา
เตียงเตาที่จุดไฟไว้จนอุ่นผะผ่าวขับไล่ไอหนาวให้สลายไปสิ้นทันใด
“ท่านพ่อ ดื่มชาขอรับ”
จิ้งอันโหวรับถ้วยชามาดื่มแล้วพรูลมหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่งถึงกล่าวยิ้มๆ “ในที่สุดก็ได้เห็นเจ้าเป็นฝั่งเป็นฝาสักที”
ยี่สิบกว่าปีที่ต้องอกสั่นขวัญแขวนจนบัดนี้ ในที่สุดก็รอมาถึงวันที่เมฆหมอกจางหายได้เห็นแสงจันทร์งามกระจ่างแล้ว
“ข้ามีวันนี้ได้ต้องยกความดีความชอบให้ท่านพ่อขอรับ”
จิ้งอันโหวละอายแก่ใจอยู่สักหน่อย “ข้าก็ไม่ได้ทำอะไร หลายปีนี้ยังปล่อยให้เจ้าต้องคับข้องหมองใจอีก”
ชายหนุ่มมองดวงหน้าแก่ชราของบิดาบุญธรรมแล้วปลาบแปลบใจ เขากล่าวด้วยน้ำใสใจจริงว่า “ท่านพ่ออย่าคิดอย่างนี้สิขอรับ ท่านทำอะไรๆ เพื่อข้ามามากเกินไปแล้ว”
มิใช่ว่าใครก็ตามล้วนสามารถเอาความปลอดภัยของคนทั้งวงศ์ตระกูลเป็นเดิมพันเพื่อปกป้องสายเลือดของแม่ทัพผู้จงรักภักดีได้ หนำซ้ำเพราะมีเขาอยู่จึงเป็นต้นเหตุให้สามีภรรยาบาดหมางกัน และเกิดช่องว่างระหว่างบิดากับบุตรชาย ก่อนชาติกำเนิดเขาจะเปิดเผยออกมา ท่านพ่อบุญธรรมส่งพี่สะใภ้ หลานชายคนโตและน้องสามไปที่อื่น เหลือแต่พี่ใหญ่ที่อยู่ติดคุกด้วยกัน ตอนนี้พี่ใหญ่มีปมในใจกับท่านพ่ออย่างเห็นได้ชัด
ขอบตาของจิ้งอันโหวร้อนผ่าว เขารีบก้มหน้าดื่มน้ำชาคำหนึ่งถึงสงบจิตใจลงได้ จากนั้นเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “เจ้าได้แต่งงานมีภรรยา ข้าก็วางใจอย่างสิ้นเชิงสักที”
เขานิ่งคิดแล้วกล่าวเสริมขึ้น “แล้วก็ต้องมีลูกสักสองสามคนโดยไว บิดามารดาของเจ้าในปรโลกจะได้ดีใจไปด้วย”
เซ่าหมิงยวนยกยิ้มพลางกล่าว “ข้าจะพยายามเต็มที่ขอรับ”
จิ้งอันโหวละล้าละลังเล็กน้อย
แม้ว่าบุตรชายจะอายุยี่สิบกว่าแล้ว ทั้งยังเคยแต่งงานมาครั้งหนึ่ง แต่ไม่ทันเข้าหอก็ต้องไปทำศึก เท่าที่เขารู้จักบุตรชายผู้นี้ ยามยกทัพออกรบต้องไม่ทำตัวเหลวไหลเป็นแน่
หากเป็นเช่นนี้… จิ้งอันโหวมองเซ่าหมิงยวนอย่างพินิจ ตกลงว่าเขาทำเป็นหรือไม่นะ
ตามหลักแล้วเรื่องพรรค์นี้ต้องจัดหาคนมาสอนให้ก่อนแต่งงาน แต่ตอนตบแต่งเฉียวซื่อเป็นภรรยา เซ่าหมิงยวนเร่งรีบกลับเมืองหลวงแต่งงานตามพระราชโองการ จึงตระเตรียมไม่ทันและไม่มีคนจัดการให้ ส่วนตอนนี้คนที่ดูแลจวนจิ้งอันโหวเป็นลูกสะใภ้คนโต คงให้พี่สะใภ้ช่วยเป็นธุระเรื่องพวกนี้ให้น้องชายสามีไม่ได้กระมัง
เช่นนี้เขาต้องออกโรงเองแล้ว
จิ้งอันโหวคิดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ปวดเศียรเวียนเกล้า
คนหยาบกระด้างโผงผางอย่างเขาจะรู้วิธีบอกเล่าเรื่องพรรค์นี้ให้บุตรชายฟังอย่างอ้อมค้อมได้อย่างไรกัน นี่มิใช่สร้างความลำบากใจให้กันหรือไร
ท่านโหวอยู่มาอายุปูนนี้แล้วยังต้องเกาท้ายทอยแกรกๆ
ถ้าเจ้าใหญ่กับเจ้ารองปรองดองกัน ให้พี่ชายเป็นคนพูดเรื่องนี้ก็จะเหมาะเจาะที่สุด
เมื่อคิดถึงว่าตนยังมีภารกิจอันแสนยากเย็นนี้อยู่ จิ้งอันโหวก็หมดแก่ใจดื่มน้ำชา เขาลุกลงจากเตียงเตา “ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีธุระ อีกประเดี๋ยวค่อยมาใหม่อีกที”
“เชิญท่านพ่อตามสบายขอรับ” เซ่าหมิงยวนเดินออกไปส่งบิดาถึงหน้าประตูใหญ่ด้วยตนเองแล้วประคองท่านขึ้นรถม้า
ครึ่งชั่วยามต่อมา องครักษ์เข้ามารายงานว่า “ท่านโหว ท่านโหวอาวุโสมาอีกแล้วขอรับ”
เซ่าหมิงยวนชายตามององครักษ์พร้อมกับพูดเตือน “ระวังคำพูดของเจ้าด้วย”
ท่านพ่อมาถึงที่นี่สองครั้งสองหนในชั่วเวลาสั้นๆ หรือแค่จะมาคุยสัพเพเหระกับเขาหรือ
เมื่อพาบิดาเข้าเรือน ถอดรองเท้าขึ้นไปอยู่บนเตียงเตาและยกน้ำชามาให้ตามลำดับซ้ำเดิมอีกครั้ง เซ่าหมิงยวนยังนับว่าควบคุมตนได้ดีมิได้เป็นฝ่ายเอ่ยปากไต่ถาม
ทว่าจิ้งอันโหวข่มใจไม่อยู่แล้ว บุตรชายบุญธรรมจวนจะเข้าหอรอมร่อ หากทำไม่เป็นจริงๆ จะไม่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะล่ะหรือ
“แค่กๆ หมิงยวน…”
“ท่านพ่อมีสิ่งใดจะกำชับหรือขอรับ”