หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 740
บทที่ 740
จิ้งอันโหวเห็นสีหน้าขึงขังจริงจังของบุตรชายบุญธรรมแล้ว ความกล้าที่รวบรวมไว้เมื่อครู่นี้หายวับไปในพริบตา เขากระแอมเบาๆ เสียงหนึ่งก่อนกล่าว “แค่กๆ พ่อปวดเบา จะไปห้องเวจก่อนนะ”
เซ่าหมิงยวนอึ้งงันไป ตกลงว่ามีเรื่องยุ่งยากอะไรกันแน่ ท่านพ่อถึงกับต้องหนีไปเข้าห้องเวจ หรือว่าจวนจิ้งอันโหวเงินทองขาดมือ
ผ่านไปไม่นานนักจิ้งอันโหวถึงเดินกลับเข้ามาอย่างยืดยาด
“ท่านพ่อมีเรื่องอะไรใช่หรือไม่ขอรับ ถ้าท่านพบกับปัญหาก็บอกข้าได้ หากไม่เหลือบ่ากว่าแรง ข้าต้องช่วยท่านแน่นอน”
จิ้งอันโหวผงกศีรษะ สีหน้าเขาฉายอารมณ์หลายหลาก “มันต้องอาศัยตัวเจ้าเองจริงๆ”
จะอย่างไรเขาก็พูดไม่ออกจากปากอยู่ดี มอบตำราลับให้บุตรชายไปเลยเป็นอันสิ้นเรื่อง
ท่านโหวอาวุโสล้วงหนังสือเล็กๆ เล่มหนึ่งจากแขนเสื้อยัดใส่อ้อมแขนบุตรชาย “มีอะไรไม่เข้าใจค่อยถาม ข้ากลับก่อน”
กล่าวจบจิ้งอันโหวก็หมุนกายเดินออกไป แต่อารามรีบร้อนเกินไปจนเกือบชนเข้ากับขอบประตู
“ท่านพ่อ ระวังด้วยขอรับ” เซ่าหมิงยวนไม่เสียเวลาดูหนังสือเล่มเล็ก รีบประคองบิดาไว้ จากนั้นออกไปส่งท่านขึ้นรถม้าที่หน้าจวนอีกคำรบหนึ่ง
จวบจนรถม้าลับตาไปตรงหัวมุมถนน เขาถึงหันหลังกลับเข้าไป
ท่านพ่อมอบอะไรให้ข้า
เซ่าหมิงยวนหยิบหนังสือเล่มเล็กในอกเสื้อออกมา เห็นหน้าปกห่อด้วยกระดาษหนังวัวที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นฝีมือห่อของคนที่ไม่เคยทำงานละเอียดประณีตมาก่อน อีกทั้งบนปกก็ไม่มีแม้แต่ชื่อหนังสือ
ชายหนุ่มอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น จึงยกมือพลิกเปิดดูแล้วใบหน้าแดงก่ำเป็นกุ้งต้มสุกทันควัน
ด้วยเนื้อความด้านในมีมากเกินไป เพียงแวบเดียวนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มเต็มวัยที่ยังไม่เคยเข้าหอเช่นเขาถึงกับตั้งรับไม่ทันจริงๆ
“ท่านแม่ทัพ ท่านไม่เป็นไรกระมังขอรับ” องครักษ์ด้านข้างถามไถ่อย่างเป็นห่วง แต่อดชำเลืองสายตาไปที่หนังสือเล่มเล็กในมือเซ่าหมิงยวนไม่ได้
เขาลุกลนปิดหนังสือแล้วเก็บเข้าอกเสื้อ จากนั้นส่งเสียงไอเบาๆ ก่อนเอ่ยตอบ “ไม่เป็นไร”
เซ่าหมิงยวนรู้สึกราวกับมีถ่านไฟร้อนระอุนาบตรงกลางอก เขาชักเท้าออกเดินจ้ำอ้าวไปเลย
องครักษ์สองคนสบตากัน หนึ่งในนั้นพลันยักคิ้วหลิ่วตา “พวกเจ้าลองเดาดูสิว่าในมือท่านแม่ทัพคืออะไร”
“ข้าไม่เห็นนะ ยังไม่ทันได้ดูเลยท่านแม่ทัพก็เก็บขึ้นแล้ว”
“ฮึๆ แต่ข้ารู้”
พอถ้อยคำนี้ดังขึ้น องครักษ์สองสามคนที่เงี่ยหูฟังอยู่ไม่ไกลก็เข้ามาล้อมวงด้วย “บอกมาสิว่าเป็นอะไรกันแน่ เมื่อครู่นี้ท่านแม่ทัพถึงกับหน้าเปลี่ยนสีไปเลย”
“ไม่กระมัง เจ้าอยู่ห่างจากท่านแม่ทัพมากกว่าข้าเสียอีก ขนาดข้ายังมองไม่เห็น แล้วเจ้ามองเห็นได้หรือ”
“ไม่ต้องเห็นหรอก ก่อนพี่ใหญ่ข้าจะแต่งงาน ข้าเคยแอบดูมาแล้ว เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ห่อปกเอาไว้ขนาดเท่านี้ ดังนั้นข้ามองไกลๆ ปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นอะไร”
“อย่ามัวยักท่า รีบบอกมาเถอะ”
“เป็น…ท่านแม่ทัพ!”
ทุกคนงุนงงไปตามๆ กัน “ท่านแม่ทัพอะไร”
“ทะ…ท่านแม่ทัพ…”
เซ่าหมิงยวนทำหน้าตึงมองพวกองครักษ์ที่ซุบซิบนินทาอยู่ “เหตุใดไม่พูดต่อเล่า”
องครักษ์ทั้งหลายตกใจยกใหญ่ ต่างถอยหลบไปด้านข้างอย่างว่องไว ปล่อยให้สหายที่ถึงคราวเคราะห์ผู้นั้นยืนโดดเด่นอยู่คนเดียว
องครักษ์ดวงตกมองท่านแม่ทัพตาละห้อยอย่างน่าสงสาร
“ไปวิ่งที่ลานฝึกยุทธ์ร้อยรอบ!”
“ท่านแม่ทัพ!” ท่านกำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว เหตุใดถึงเลือดเย็นแล้งน้ำใจถึงเพียงนี้ได้!
“หือ?”
“ข้าไปประเดี๋ยวนี้เลยขอรับ” องครักษ์ดวงตกวิ่งปรูดออกไป
เซ่าหมิงยวนกวาดตามององครักษ์คนอื่นก่อนหมุนกายเดินไปด้วยหน้าตาเคร่งขรึม
เหล่าองครักษ์ที่รอดตัวมาได้ลอบถอนหายใจโล่งอก
ทว่าท่านแม่ทัพที่เดินอยู่เบื้องหน้าหยุดฝีเท้าแล้วกล่าวเสียงเรียบโดยไม่หันหน้ามา “พวกเจ้าก็ไปด้วย วิ่งห้าสิบรอบ!”
เจ้าพวกนี้กินอิ่มแล้วอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ เรื่องพรรค์นี้สอดรู้สอดเห็นกันได้หรือ
จากนั้นเซ่าหมิงยวนก็กลับถึงเรือนพำนัก ถอดรองเท้าขึ้นไปบนเตียงเตาแล้วหยิบหนังสือเล่มเล็กออกมาอ่านศึกษาอย่างเอาจริงเอาจัง
ในเรือนหยาเหอของจวนสกุลหลี เหอซื่อกำลังทุ่มเทใจไปที่เรื่องการสอนบทเรียนก่อนวิวาห์ให้บุตรสาวอยู่เช่นเดียวกัน
มารดาบังเกิดเกล้าของนางด่วนจากไป ส่วนบิดามีหรือจะคิดถึงเรื่องพวกนี้ได้ตามประสาบุรุษ นางก็เลยออกเรือนมาอย่างไม่รู้ประสีประสา ฝ่ายท่านพี่ในตอนนั้นเหยียบย่างมาที่ห้องนางแทบนับครั้งได้เพราะกำลังเศร้าโศกกับการตายของภรรยาคนเก่า จนกระทั่งเนิ่นนานหลังจากนั้นมีอยู่คืนหนึ่งท่านพี่เมาสุรา นางถึงกระจ่างแจ้งว่าความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยานั้นเป็นอย่างไร
นางไม่อยากให้บุตรสาวต้องพบกับความลำบากซ้ำรอยนางแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรก็จะปล่อยให้เจาเจาไม่รู้เรื่องรู้ราวไม่ได้
“ไปเชิญคุณหนูสามมาที่นี่” เหอซื่อสั่งให้สาวใช้ไปเชิญเฉียวเจา แต่นางคิดๆ แล้วลุกขึ้นยืน “ช่างเถอะ ข้าไปเองดีกว่า”
หลังได้ยินอาจูมารายงาน เฉียวเจาเดินออกไปต้อนรับ “อากาศหนาวเช่นนี้ ท่านแม่มาได้อย่างไรเจ้าคะ”
เหอซื่อจับจูงมือบุตรสาวพาเข้าเรือน “รู้ว่าข้างนอกหนาวแล้วเจ้ายังจะออกมาด้วยเหตุใด”
สองแม่ลูกเดินเคียงคู่กันเข้าสู่ห้องด้านในแล้ว อาจูยกน้ำชาชั้นดีมาให้เหอซื่อ
นางรับถ้วยน้ำชาไปวางลงด้านข้าง กล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “เจาเจา พรุ่งนี้เจ้าก็จะออกเรือนแล้ว แม่อยากมาคุยกับเจ้าตามประสาแม่ลูก”
เฉียวเจาพยักหน้าให้อาจู นางก็ถอยออกไปเงียบๆ
เหอซื่อมองบุตรสาวนิ่งๆ พลางกล่าวทอดถอนใจ “ผ่านวันพรุ่งนี้ไป เจาเจาของข้าก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว”
เฉียวเจาอมยิ้มหลุบตาลง นางพอจะรู้แล้วว่าที่มารดาอยากมาคุยตามประสาแม่ลูกหมายถึงอะไร
ไม่ผิดคาดเมื่อเหอซื่อหยิบหนังสือเล่มเล็กที่ห่อปกอย่างพิถีพิถันเล่มหนึ่งจากอกเสื้อมาวางบนโต๊ะเล็กด้านข้างอย่างรวดเร็ว
เฉียวเจาตวัดตามองแวบเดียวก็หน้าร้อนผะผ่าว
ยังคงเป็นสถานการณ์ที่เคยคุ้นกับหนังสือเล่มเล็กที่คุ้นตา ไม่ว่าอะไรๆ จะแปรเปลี่ยนไปร้อยแปดพันประการ การสอนบทเรียนก่อนวิวาห์ให้บุตรสาวของมารดาไม่เคยเปลี่ยนแปลง
นางก็ถือได้ว่าเป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน หรือไม่รอให้ท่านแม่พูดตามสบายสักครู่หนึ่ง นางค่อยแสดงท่าทางว่าเข้าใจก็แล้วกัน ท่านแม่จะได้ไม่ต้องลำบากใจด้วย
เฉียวเจายังจดจำภาพเหตุการณ์ในอดีตตอนโค่วซื่อมารดาของตนมาพูดชี้แนะสั่งสอนในคืนก่อนออกเรือนได้จนบัดนี้
นางกับมารดาไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันนัก ถึงระหว่างทั้งสองจะมีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด แต่กลับรู้สึกห่างเหินกันมาก ด้วยเหตุนี้นึกภาพออกได้เลยว่าในสถานการณ์อย่างนั้นจะกระอักกระอ่วนปานใด
“เจาเจา เจ้าดูนี่” เหอซื่อเปิดหนังสือเล่มเล็กออกด้วยสีหน้าเรียบเฉย พลางชี้ที่ภาพวาดฝีมือประณีตพร้อมกับพูดยิ้มๆ “แม่ตั้งใจซื้อเล่มที่แพงที่สุดเลยนะ เจ้าเห็นหรือไม่ว่าวาดได้สมจริงขนาดไหน”
เฉียวเจาอึ้งงัน “…”
ข้าคิดผิดเสียแล้ว แม้ว่ายังเป็นสถานการณ์เดิมกับหนังสือเล่มเล็กเล่มเดิม แต่ท่านแม่ที่เคารพเปลี่ยนคนไปแล้ว!
“อันนี้ไม่ได้ เจาเจา พอถึงเวลาจะทำตามนี้ไม่ได้นะ แบบนี้ตั้งครรภ์ได้ยาก...ประเดี๋ยวก่อน ตอนนี้เจ้ายังอายุน้อย มีครรภ์เร็วเกินไปก็ไม่ดี…” เหอซื่อพลิกดูเร็วๆ รอบหนึ่งก่อนจะเอาพู่กันจุ่มหมึกแดงทำเครื่องหมายตรงจุดสำคัญๆ ไว้ให้บุตรสาว “ตอนนี้ยังไม่อยากมีบุตร สามารถดูจากสองสามหน้านี้ได้ ถ้าวันหลังอยากตั้งครรภ์แล้วใช้ท่านี้…”
“ท่านแม่ หรือไม่ให้ข้าค่อยๆ ดูเองเถอะเจ้าค่ะ”
เหอซื่อปฏิเสธเสียงแข็ง “นี่จะได้อย่างไรกัน เจ้ายังเด็ก ดูคนเดียวจะเข้าใจที่ไหนกัน ให้แม่อธิบายให้เจ้าฟังอย่างละเอียดถึงจะสะดวกที่สุด”
เฉียวเจานวดๆ หว่างคิ้วอย่างจนใจ “ท่านแม่ อันที่จริงข้าดูเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
หากไม่เข้าใจจริงๆ คืนพรุ่งนี้นางค่อยศึกษากับเซ่าหมิงยวนได้ ให้คุยถกเรื่องทำนองนี้กับมารดาออกจะน่าตะขิดตะขวงอยู่บ้างจริงๆ
เหอซื่อทำหน้าเคร่งขรึม “เจาเจา แม่รู้ว่าเจ้าเหนียมอาย แม่รู้แม่เข้าใจ แต่เจ้าตั้งใจฟังดีกว่านะ”
เฉียวเจาพูดอะไรไม่ออกแล้ว “…”
ผ่านไปนานหนึ่งเค่อ เหอซื่อถึงลุกขึ้นยืนอย่างพึงพอใจ “เอาล่ะ แม่กลับไปก่อนนะ เจ้าเก็บภาพนี้ให้ดี มีอะไรไม่เข้าใจอีกก็มาถามแม่ได้”
เฉียวเจาระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ แล้วรีบออกไปส่งมารดา
วันรุ่งขึ้น กวนจวินโหวจะตบแต่งภรรยาแล้ว ชาวเมืองหลวงแห่กันออกมาชมความครึกครื้น ได้ยินเสียงดนตรีดีดสีตีเป่าตลอดทางที่แบกเกี้ยวเจ้าสาวไปจนถึงหน้าประตูใหญ่จวนตะวันตกของสกุลหลี
เมื่อเสียงรัวกลองดังขึ้น ขบวนรับเจ้าสาวก็เข้าสู่จวนสกุลหลีอย่างครึกครื้นรื่นเริง