หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 741
บทที่ 741
หลีกวงเหวินมองดูบุตรสาวที่แต่งกายประทินโฉมเรียบร้อยแล้วในใจพลันรู้สึกหม่นเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
ที่แท้การส่งบุตรสาวออกเรือนเป็นความรู้สึกแบบนี้นี่เอง มีทั้งความปีติยินดีทั้งความตื่นเต้น หากที่มากกว่าคือหดหู่ใจ
เขาไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้กับบุตรสาวคนโต แต่หาใช่ว่าเขาไม่รักนาง แค่ว่ายังไม่ทันได้สัมผัสกับความรู้สึกพวกนี้ บุตรสาวคนโตที่นั่งในเกี้ยวคันเล็กๆ ก็ถูกหามเข้าวังรุ่ยอ๋องไปแล้ว ส่งผลให้เขาเพียงรู้สึกอับอายจนหน้าชาวาบๆ
หากบุตรสาวคนโตแต่งงานตามธรรมเนียมประเพณี เวลานี้คงกลับมาสกุลเดิมส่งน้องสาวออกเรือนได้แล้ว ทว่ายามนี้นางเป็นอนุอยู่ในวังอ๋อง ถึงจะให้กำเนิดท่านหญิงน้อย พวกเขาก็ไม่มีหน้าไปเยี่ยมเยียน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางกับสกุลเดิมจะไปมาหาสู่กันได้ตามปกติ
ช่างเถิด เขาจะถือเสียว่าไม่มีบุตรสาวผู้นั้นแล้ว
หลีกวงเหวินดึงความคิดคืนมา มองดูบุตรสาวคนรองในชุดเสื้อคลุมเจ้าสาวแล้วลืมเลือนไปชั่วขณะว่าสมควรพูดว่าอะไรบ้าง
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งส่งเสียงไอเบาๆ เสียงหนึ่ง ตอนนี้ถึงเวลาที่บิดาของเจ้าสาวต้องกล่าวคำอบรมสั่งสอนบุตรสาวได้แล้ว เจ้าพูดจาสิ!
หลีกวงเหวินตั้งสติได้ในที่สุด เขากระแอมไอให้คอโล่งก่อนอ้าปากเอ่ยขึ้น “ออกไปอยู่เรือนสามี จงสำรวมตนเคารพให้เกียรติ”
เอ่อ…คำกล่าวนี้แค่ฟังไว้ก็พอ ไม่ต้องถือเป็นจริงเป็นจัง
เหอซื่ออ้าปากพูดต่อว่า “ทุกราตรีพินิจทบทวนตน จงเชื่อฟังอยู่ในโอวาท”
หลีกวงเหวินเบะมุมปาก คำกล่าวนี้ก็ไม่ต้องไปถือเป็นจริงเป็นจังหรอก แต่ว่าบุตรสาวข้าออกจะเฉลียวฉลาดขนาดนี้คงเข้าใจอยู่แล้ว
เฉียวเจาวางสองมือกับพื้นก้มลงโขกศีรษะ “ขอปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านพ่อท่านแม่เจ้าค่ะ”
นางโขกศีรษะสี่ทีอย่างเป็นพิธีรีตอง ตรงหางตาพลันมีน้ำตารื้นขึ้น
ในอดีตนางคือบุตรสาวสกุลเฉียว บัดนี้นางเป็นบุตรสาวสกุลหลีแล้ว แต่ยังคงออกเรือนไปอยู่ที่ตระกูลเดียวกันกับบุรุษคนเดียวกัน
คราครั้งนี้นางจะไม่ปล่อยให้ความสุขของตนเองหลุดมือไปอย่างแน่นอน
พอเฉียวเจาลุกขึ้น เหอซื่อหยิบผ้าคลุมศีรษะสีแดงเข้มจากมืออาจูมาคลุมศีรษะบุตรสาว จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยจนปิดไม่มิด “พาคุณหนูกลับไปรอที่ห้องเถอะ”
เฉียวเจากลับเข้าห้องแล้ว เพราะนางมีผ้าแดงคลุมศีรษะอยู่ จึงมองเห็นแค่บริเวณรอบฝ่าเท้าตน
ถึงอากาศจะหนาวเหน็บ แต่ในห้องจุดตี้หลงไว้ แล้วก็เป็นด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้พอสวมเสื้อคลุมเจ้าสาวบนตัวไม่นานเท่าไรก็เริ่มรู้สึกอึดอัด
เฉียวเจาอดคิดไม่ได้ว่าเวลานี้เซ่าหมิงยวนน่าจะโขกศีรษะให้พ่อตาแม่ยายแล้วกระมัง นางหวังว่าเขาจะว่องไวสักหน่อย รีบๆ มารับตัวนางไปสักที ไม่เช่นนั้นนางจะเป็นลมแล้ว
แขนเสื้อของนางถูกกระตุกทีหนึ่งกะทันหัน จากนั้นเสียงพูดอย่างระมัดระวังของปิงลวี่ก็ดังขึ้น “คุณหนู ท่านอยากกินขนมโก๋ดอกกุ้ยหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวเจากลั้นยิ้มไม่อยู่ นางตบหลังมือสาวใช้น้อยเบาๆ “รีบเก็บขึ้นซะ ข้าไม่กิน”
นางมิใช่คนที่ถือธรรมเนียมเคร่งครัด แต่วันนี้ทั้งวันล้วนไปห้องเวจไม่ได้ นางไม่อยากกลายเป็นตัวตลก ย่อมไม่กล้าดื่มกินสุ่มสี่สุ่มห้า
“คุณหนูหิวมาสองวันแล้วนะเจ้าคะ” น้ำเสียงของปิงลวี่เต็มไปด้วยความสงสาร แต่ยังเก็บขนมโก๋ดอกกุ้ยกลับไปอย่างเชื่อฟัง นางคิดๆ แล้วกินมันลงไปเสียเอง
เฉียวเจาได้กลิ่นหอมของขนมโก๋ดอกกุ้ยอบอวลไปทั้งห้องแล้วหมดคำพูด “…”
ชั่วประเดี๋ยวต่อมาก็มีสาวใช้มาพูดเร่งให้เจ้าสาวไปที่โถงรับแขก
เฉียวเจาไปที่โถงรับแขกโดยมีฮูหยินซึ่งรับหน้าที่ส่งตัวเจ้าสาวกับพวกสาวใช้ล้อมหน้าล้อมหลัง นางมองผ่านผ้าคลุมศีรษะเห็นแต่รองเท้าทรงสูงสีดำสะอาดเอี่ยมอ่องกับชายเสื้อคลุมเจ้าบ่าวสีแดงมุมหนึ่ง
เฉียวเจาเริ่มประหม่าขึ้นมาฉับพลัน
เจ้าบ่าวเจ้าสาวคารวะอำลาฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกับหลีกวงเหวินและภรรยาซ้ำอีกหนตามคำบอกของผู้ดำเนินพิธี
หลีกวงเหวินมองดูบุตรเขยที่หน้าตาสดชื่นผ่องใสกับบุตรสาวที่มีผ้าคลุมศีรษะไว้จนไม่เห็นหน้าเห็นตาแล้วเช็ดๆ ตรงหางตา
น่าหงุดหงิดนัก รีบๆ ให้พิธีการไร้สาระนี่จบสิ้นไปทีได้หรือไม่
ผู้ที่มีความคิดนี้หาใช่หลีกวงเหวินคนเดียวไม่ เซ่าหมิงยวนก็คิดแบบเดียวกัน
แม้ว่าเขาโค้งกายคารวะอำลาท่านพ่อตาแม่ยายอยู่ แต่ดวงตาทั้งคู่ชำเลืองมองไปทางเจ้าสาวบ่อยๆ อย่างห้ามใจไม่อยู่
อืม…ผ้าคลุมศีรษะของเจาเจาช่างงามชวนพิศดีแท้ ฝีตะเข็บเป็นระเบียบมากกว่าที่ข้านึกไว้ ซ้ำยังปักลายไว้บนผ้าอีกด้วยหรือนี่!
ฝ่ายหลีกวงเหวินเห็นแล้วก็มีน้ำโห
เจ้าหนุ่มบัดซบถึงกับอดใจรอไม่ไหวขนาดนี้ เห็นแล้วอยากชกสั่งสอนนัก!
“แค่กๆ ฮุยเอ๋อร์ ยังไม่แบกน้องสาวของเจ้าไปขึ้นเกี้ยวอีก!”
ส่งบุตรสาวไปขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวซะ ดูสิว่าเจ้าคนบัดซบผู้นี้ยังจะมองอะไรอีก
ไม่ถูก พอขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว อีกประเดี๋ยวก็ต้องไปที่เรือนคนอื่นแล้ว…
ครั้นคิดไปเช่นนี้ หลีกวงเหวินคับอกคับใจยิ่งขึ้น
“น้องเจา พี่สามแบกเจ้าไปขึ้นเกี้ยวนะ” สุ้มเสียงกังวานใสแบบกึ่งชายหนุ่มกึ่งเด็กหนุ่มดังขึ้น สายตาของเฉียวเจามองเห็นแต่แผ่นหลังของร่างผอมบางของหลีฮุย
เฉียวเจาขึ้นไปขี่หลังเขาแล้วพูดกระซิบ “รบกวนพี่สามด้วยเจ้าค่ะ”
“สมควรแล้ว น้องเจาเกาะให้แน่นๆ นะ” มาตรว่าเรือนกายของเด็กหนุ่มยังคงผอมบาง แต่เขายืดตัวขึ้นได้อย่างมั่นคง จากนั้นแบกเฉียวเจาเดินไปที่เกี้ยวเจ้าสาวที่จอดอยู่ด้านนอกด้วยฝีเท้าเป็นจังหวะ
เฉียวเจาเกาะไหล่ของหลีฮุยไว้ จู่ๆ นางก็คิดถึงเฉียวโม่พี่ชายของตนขึ้นมา
ตอนออกเรือนครั้งนั้น คนที่แบกนางคือพี่ใหญ่ เขาบอกกับนางอย่างนี้เช่นกัน “น้องเจา พี่ใหญ่แบกเจ้าไปขึ้นเกี้ยวนะ”
หญิงสาวไม่เคยรู้สึกได้อย่างชัดเจนเท่ากับเสี้ยวขณะนี้ว่าในสกุลหลีนางมิได้มีแต่ท่านย่ากับท่านพ่อท่านแม่ที่รักเอ็นดูตน ยังมีญาติพี่น้องเพิ่มมากขึ้น
“น้องเจา เจ้าวางใจได้ ข้าจะพยายามก่อร่างสร้างตัวเพื่อให้เจ้ามีสกุลเดิมเป็นที่พึ่งพาได้” หลีฮุยกล่าวคำนี้แล้วหน้าแดงเรื่อๆ เขาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
“ขอบคุณพี่สามมากเจ้าค่ะ ข้าเชื่อว่าการสอบขุนนางระดับมณฑลคราวหน้า ท่านต้องมีชื่อขึ้นบนป้ายประกาศผลแน่นอน”
หลีฮุยดันตัวเฉียวเจาขึ้นให้เข้าที่แล้วเดินไปหยุดยืนหน้าเกี้ยวเจ้าสาวสีแดงเข้ม
ยามมองดูน้องสาวที่มีผ้าแดงคลุมศีรษะไว้ก้าวเข้าไปในเกี้ยวเจ้าสาวพร้อมเสียงบรรเลงดนตรีดังกระทบหูไม่ขาดสาย หลีฮุยอดยกมือขึ้นเช็ดๆ หางตาไม่ได้
เขาคิดมาโดยตลอดว่าจะได้แบกพี่เจี่ยวขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว เขากับนางกำพร้ามารดาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นบุรุษย่อมไม่เป็นไร แต่พี่สาวของเขาไม่เคยมีความสุขเลย
เขาคิดอยู่ในใจมานานแล้วว่าจะมุมานะพยายามมากๆ จะได้เป็นที่พึ่งพิงซึ่งทรงพลังที่สุดให้พี่เจี่ยว และชดเชยความเสียใจและน้อยเนื้อต่ำใจของนาง
ทว่าบัดนี้พี่เจี่ยวไม่ต้องการเขาเป็นที่พึ่งแล้ว
ไม่เป็นไร เขายังมีท่านพ่อ ท่านแม่ น้องชายและน้องสาว เขายังเป็นคุณชายในเรือนนายท่านใหญ่ของจวนตะวันตกแห่งสกุลหลี ไม่ว่าเพื่อตนเองหรือคนในครอบครัว เขายังคงต้องพยายามเช่นเดิม
เมื่อเกี้ยวถูกยกขึ้น เสียงเป่าปี่สั่วน่า* เป็นจังหวะทำนองประจำงานมงคลดังขึ้น ฝูงชนเนืองแน่นพากันห้อมล้อมริ้วขบวนรับเจ้าสาวประดุจมังกรลำตัวยาวเหยียดเดินวนในเมืองจนไปถึงหน้าจวนกวนจวินโหวในที่สุด
สิงโตหินสูงราวครึ่งจั้งเศษคู่หนึ่งที่ตั้งเด่นเป็นสง่าน่าเกรงขามอยู่หน้าประตูมีดอกไม้แพรสีแดงผูกไว้ตรงคอ แลดูมีชีวิตชีวากว่าปกติ
เฉียวเจาที่นั่งวิงเวียนตาลายอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวพลันรู้สึกว่าเกี้ยวไหวโยกเบาๆ ระลอกหนึ่ง นางก็รู้ว่าเจ้าบ่าวยิงธนู** ใส่ม่านประตูเกี้ยวแล้ว ต่อจากนั้นมีเด็กหญิงทำหน้าที่เชิญเจ้าสาวออกมาจากเกี้ยวทันที
พอออกมาอยู่ข้างนอก ได้สัมผัสกับลมเย็นที่พัดโชยมาทำให้สมองของเฉียวเจาปลอดโปร่งแจ่มใสขึ้น ความรู้สึกอึดอัดแน่นหน้าอกอันตรธานหายไปในทันใด
ขั้นตอนหลังจากนั้นดำเนินไปตามพิธีการแต่งงานทั่วไปทุกอย่าง กว่าจะจบสิ้นพิธีไหว้ฟ้าดินที่ยิบย่อยวุ่นวายแล้วส่งเข้าห้องหอ เฉียวเจาก็รู้สึกมึนศีรษะตัวลอยๆ แล้ว
ครั้งที่แล้วนางไม่รู้สึกว่ายากทานทนเช่นนี้ หรือว่าร่างใหม่ของนางนี้อ่อนแอกว่ามากขนาดนี้
เฉียวเจาคิดถึงขาสั้นๆ ของตนเองแล้วมาดหมายในใจว่าวันหลังจะดื่มนมวัวเพิ่มขึ้น อย่างน้อยๆ ต้องตัวสูงขึ้นอีกสักสองชุ่นจึงจะดี
“คุณหนู กินผลไม้สักนิดเถอะเจ้าค่ะ” ปิงลวี่ยกจานใส่ผลผิงกั่ว*** หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ มีไม้จิ้มเสียบไว้เข้ามา “ท่านเขยสั่งกำชับไว้เอง บอกว่ากินแบบนี้สะดวกดี ไม่ทำให้เครื่องประทินโฉมเลอะหน้าเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาผงกศีรษะเบาๆ รับผิงกั่วที่ปิงลวี่คอยหยิบส่งให้มากินไปครึ่งจานถึงรู้สึกสดชื่นขึ้น
อาจูกระวีกระวาดหยิบผ้าชุบน้ำอุ่นหมาดๆ มาให้คุณหนูของตนเช็ดมือ หลังเก็บกวาดทำความสะอาดเรียบร้อย เฉียวเจานั่งตัวตรงอยู่ริมเตียงเงียบๆ รอคอยเซ่าหมิงยวนเข้ามา
ราวกับว่าเวลาเดินช้าลง นางรออยู่นานเท่าไรก็สุดรู้ ถึงมีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ดังขึ้นข้างหู ตามมาด้วยเสียงเปิดประตูในเวลารวดเร็ว
สายลมเย็นเฉียบคละเคล้ากลิ่นหอมของสุราโชยเข้ามา
เซ่าหมิงยวนพยักหน้านิดหนึ่งกับสาวใช้สองนาง ก่อนจะสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปหาเจ้าสาวซึ่งนั่งอยู่ที่เตียง
อาจูกับปิงลวี่สบตากันแล้วเปลี่ยนคำเรียกขานเอ่ยประสานเสียงกันว่า “ฮูหยิน พวกข้าออกไปก่อนนะเจ้าคะ”